การทำหน้าที่สัมพันธ์กันของบริขารเจ็ด (สัมมาสมาธิ)



การทำหน้าที่สัมพันธ์กันของบริขารเจ็ด

๑. กลุ่มสัมมาทิฏฐิ

ภิกษุ ท. ! ในบรรดาองค์เจ็ดแห่งอริยสัมมาสมาธินั้น สัมมาทิฏฐิเป็น ธรรมนำหน้า. นำหน้าอย่างไรเล่า? คือ เขารู้มิจฉาทิฏฐิ ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ รู้สัมมาทิฏฐิ ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ; ความรู้ของเขานั้น เป็น สัมมาทิฏฐิ.

ภิกษุ ท. ! มิจฉาทิฏฐิ เป็นอย่างไรเล่า?
นั้นคือทิฏฐิที่เห็นว่า
“ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล),
ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล),
การบูชาที่บูชาแล้วไม่มี (ผล)
ผล, วิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี,
โลกนี้ ไม่มี, โลกอื่น ไม่มี ,
มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี,
โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี,
สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มีอยู่” ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! นี้คือ มิจฉาทิฏฐิ.

ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ เป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุ ท. ! เรากล่าวแม้สัมมาทิฏฐิว่ามีอยู่ ๒ ชนิด คือ
สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ (สาสว) เป็นส่วนแห่งบุญ (ปุญฺญภาคิย) มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก (อุปธิเวปกฺก) ก็มีอยู่ ;
สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ
(อริย) ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ (อนาสว) นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก (โลกุตฺตร) เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน (มคฺคงฺค) ก็มีอยู่.

ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก นั้นเป็นอย่างไรเล่า?
นั้นคือสัมมาทิฏฐิที่ว่า
“ทาน ที่ให้แล้ว มี (ผล),
ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล),
การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล),
ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี,
โลกนี้ มี, โลกอื่น มี,
มารดา มี, บิดา มี,
โอปปาติกะสัตว์ มี,
สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มีอยู่” ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! นี้คือ สัมมาทิฏฐิที่ยงเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก.

ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน นั้นเป็นอย่างไรเล่า?
นั้นคือสัมมาทิฏฐิที่ได้แก่ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิที่เป็นองค์แห่งมรรค ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอนาสวจิต ของผู้เป็นอริยมัคคสมังคี ผู้เจริญอยู่ซึ่งอริยมรรค ใดแล ;
ภิกษุ ท. ! นี้คือ สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน.

เขานั้น เพียรพยายามเพื่อละเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิ เพื่อทำสัมมาทิฏฐิให้ถึงพร้อม ; การกระทำของเขานั้นเป็น สัมมาวายามะ.
เขามีสติละเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิ มีสติทำสัมมาทิฏฐิให้ถึงพร้อม แล้วแลอยู่; สติของเขานั้นเป็น สัมมาสติ.
ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า ธรรม ๓ อย่าง นั้น ย่อมติดตามแวดล้อม ซึ่งสัมมาทิฏฐิ ๑; สามอย่างนั้นได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ.

๑. คำกล่าวที่ว่า ธรรม ๓ อย่าง มีสัมมาทิฏฐิรวมอยู่ด้วย ติดตามแวดล้อมสัมมาทิฏฐิ นั้นหมายความว่า มีสัมมาทิฏฐิพื้นฐานเป็นการเริ่มต้น ช่วยให้เกิดสัมมาทิฏฐิสมบูรณ์แบบ เต็มตามความหมายของคำคำนั้น.


๒. กลุ่มสัมมาสังกัปปะ

ภิกษุ ท. ! ในบรรดาองค์เจ็ดแห่งอริยสัมมาสมาธินั้น สัมมาทิฏฐิเป็น ธรรมนำหน้า. นำหน้าอย่างไร? คือ เขารู้มิจฉาสังกัปปะ ว่าเป็นมิจฉาสังกัปปะ, รู้สัมมาสังกัปปะ ว่าเป็นสัมมาสังกัปปะ ; ความรู้ของเขานั้นเป็น สัมมาทิฏฐิ.

ภิกษุ ท. ! มิจฉาสังกัปปะ เป็นอย่างไรเล่า?
กามสังกัปปะ
พ๎ยาปาทสังกัปปะ
วิหิงสาสังกัปปะ.
ภิกษุ ท. ! นี้คือ มิจฉาสังกัปปะ.

ภิกษุ ท. ! สัมมาสังกัปปะ เป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุ ท. ! เรากล่าวแม้สัมมาสังกัปปะว่ามี ๒ ชนิด คือ
สัมมาสังกัปปะ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก ก็มีอยู่;
สัมมาสังกัปปะ อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน ก็มีอยู่.
ภิกษุ ท. ! สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก นั้นเป็นอย่างไรเล่า? นั้นคือ
เนกขัมมสังกัปปะ
อัพ๎ยาปาทสังกัปปะ
อวิหิงสาสังกัปปะ.
ภิกษุ ท. ! นี้คือ สัมมาสังกัปปะ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก.

ภิกษุ ท. ! สัมมาสังกัปปะ อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน นั้นเป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุ ท. ! ธรรมคือ
ความตรึก (วิตกฺก)
ความตรอง (วตกฺก)
ความดำริ (สงฺกปฺป)
ความคิดแน่วแน่ (อปฺปนา)
ความคิดแน่วแน่ถึงที่สุด (พฺยปฺปนา)
การงอกงามแห่งความคิดถึงที่สุดของจิต (เจตโส อภินิโรปนา)
และเจตสิกธรรมเครื่องปรุงแต่งการพูดจา (วจีสงฺขาโร)
ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอนาสวจิต ของผู้เป็นอริยมัคคสมังคี ผู้เจริญอยู่ซึ่งอริยมรรค ใดแล ;
ภิกษุ ท. ! นี้คือ สัมมาสังกัปปะ อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน.
เขานั้น เพียรพยายาม เพื่อละเสียซึ่งมิจฉาสังกัปปะ เพื่อทำสัมมาสังกัปปะให้ถึงพร้อม ;
ความเพียรพยายามของเขานั้น เป็น สัมมาวายามะ. เขามีสติละเสียซึ่งมิจฉาสังกัปปะ
มีสติทำสัมมาสังกัปปะให้ถึงพร้อม แล้วแลอยู่; สติเขานั้นเป็น สัมมาสติ.
ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า ธรรม ๓ อย่าง นั้น ย่อม ติดตามแวดล้อมซึ่งสัมมาสังกัปปะ ; สามอย่างนั้นได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ.


๓. กลุ่มสัมมาวาจา

ภิกษุ ท. ! ในบรรดาองค์เจ็ดแห่งอริยสัมมาสมาธินั้น สัมมาทิฏฐิเป็นธรรมนำหน้า. นำหน้าอย่างไร? คือ
เขารู้มิจฉาวาจา ว่าเป็นมิจฉาวาจา,
รู้สัมมาวาจา ว่าเป็นสัมมาวาจา ;
ความรู้ของเขานั้น เป็น สัมมาทิฏฐิ.

ภิกษุ ท. ! มิจฉาวาจา เป็นอย่างไรเล่า?
มุสาวาท
ปิสุณวาท
ผรุสวาท
สัมผัปปลาปวาท.
ภิกษุ ท. ! นี้คือ มิจฉาวาจา.
ภิกษุ ท. ! สัมมาวาจา เป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุ ท. ! เรากล่าวแม้สัมมาวาจาว่ามีอยู่ ๒ ชนิด คือ สัมมาวาจาที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก ก็มีอยู่ ;
สัมมาวาจา อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพานก็มีอยู่.

ภิกษุ ท. ! สัมมาวาจา ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญมีผลเนื่องอยู่กับของหนัก นั้นเป็นอย่างไรเล่า? นั้นคือ
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากมุสาวาท
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากปิสุณวาท
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากผรุสวาท
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากสัมผัปปลาวาท.
ภิกษุ ท. ! นี้คือสัมมาวาจา ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก.

ภิกษุ ท. ! สัมมาวาจา อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน นั้นเป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุ ท. ! ธรรมคือ
การงด (อารติ)
การเว้นขาด (ปฏิวิรัติ)
และเจตนาเป็นเครื่องเว้น (เวรมณี)
จากวจีทุจริตทั้งสี่ (ตามที่กล่าวแล้วข้างบน) ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอนาสวจิต ของผู้เป็นอริยมัคคสมังคี ผู้เจริญอยู่ซึ่งอริยมรรค ใดแล ;
ภิกษุ ท. ! นี้คือ สัมมาวาจา อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะนำขึ้นสู้ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน.

เขานั้น เพียรพยายาม เพื่อละเสียซึ่งมิจฉาวาจา เพื่อทำสัมมาวาจาให้ถึง พร้อม; ความเพียรพยายามของเขานั้น เป็น สัมมาวายามะ.
เขามีสติละเสียซึ่งมิจฉาวาจา มีสติทำสัมมาวาจาให้ถึงพร้อม แล้วแลอยู่; สติของเขานั้น เป็นสัมมาสติ.
ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า ธรรม ๓ อย่าง นั้น ย่อม ติดตามแวดล้อมซึ่งสัมมาวาจา; สามอย่างนั้นได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ.


๔. กลุ่มสัมมากัมมันตะ

ภิกษุ ท. ! ในบรรดาองค์เจ็ดแห่งอริยสัมมาสมาธินั้น สัมมาทิฏฐิเป็นธรรมนำหน้า. นำหน้าอย่างไร? คือ
เขารู้มิจฉากัมมันตะ ว่าเป็นมิจฉากัมมันตะ,
รู้สัมมากัมมันตะ ว่าเป็นสัมมากัมมันตะ;
ความรู้ของเขานั้น เป็น สัมมาทิฏฐิ.

ภิกษุ ท. ! มิจฉากัมมันตะ เป็นอย่างไรเล่า?
ปาณาติบาต
อทินนาทาน
กาเมสุมิจฉาจาร.
ภิกษุ ท. ! นี้คือ มิจฉากัมมันตะ.

ภิกษุ ท. ! สัมมากัมมันตะ เป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษะ ท. ! เรากล่าวแม้สัมมากัมมันตะว่ามีอยู่ ๒ ชนิด คือ
สัมมากัมมันตะ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก ก็มีอยู่ ;
สัมมากัมมันตะ อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน ก็มีอยู่.

ภิกษุ ท. ! สัมมากัมมันตะ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญมีผลเนื่องอยู่กับของหนัก นั้นเป็นอย่างไรเล่า? นั้นคือ
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากปาณาติบาต
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากอทินนาทาน
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร.
ภิกษุ ท. ! นี้คือ สัมมากัมมันตะ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก.

ภิกษุ ท. ! สัมมากัมมันตะ อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน นั้นเป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุ ท. ! ธรรมคือ
การงด
การเว้น
การเว้นขาด
และเจตนา เป็นเครื่องเว้น จากกายทุจริตทั้งสาม (ตามที่กล่าวแล้วข้างบน)
ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอนาสวจิต ของผู้เป็นอริยมัคคสมังคี ผู้เจริญอยู่ซึ่งอริยมรรค ใดแล ;
ภิกษุ ท. ! นี้คือ สัมมากัมมันตะ อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน.
เขานั้น เพียรพยายาม เพื่อละเสียซึ่งมิจฉากัมมันตะ เพื่อทำสัมมากัมมันตะให้ถึงพร้อม ความเพียรพยายามของเขานั้น เป็น สัมมาวายามะ.
เขามีสติละเสียซึ่งมิจฉากัมมันตะ มีสติทำสัมมากัมมันตะให้ถึงพร้อม แล้วแลอยู่ ; สติของเขานั้นเป็น สัมมาสติ.
ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า ธรรม ๓ อย่าง นั้น ย่อม ติดตามแวดล้อมซึ่งสัมมากัมมันตะ ; สามอย่างนั้นได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ.


๕. กลุ่มสัมมาอาชีวะ

ภิกษุ ท. ! ในบรรดาองค์เจ็ดแห่งอริยสัมมาสมาธินั้น สัมมาทิฏฐิเป็นธรรมนำหน้า. นำหน้าอย่างไร? คือ
เขารู้มิจฉาอาชีวะ ว่าเป็นมิจฉาอาชีวะ
รู้สัมมาอาชีวะ ว่าเป็นสัมมาอาชีวะ ;
ความรู้ของเขานั้น เป็น สัมมาทิฏฐิ.

ภิกษุ ท. ! มิจฉาอาชีวะ เป็นอย่างไรเล่า?
การพูดโกหก (กุหนา)
การพูดหลอกลวง (ลปนา)
การพูดหว่านล้อม (เนมิตฺตกตา)
การพูดทำให้เจ็บใจจนต้องยอมตกลง (นิปฺเปสิกตา)
การล่อลาภด้วยลาภ (ลาเภนลาภํชิคึสนตา).
ภิกษุ ท. ! นี้คือ มิจฉาอาชีวะ.

อาชีพที่ไม่ควรประกอบ ภิกษุทั้งหลาย ! การค้าขาย ๕ ประการนี้ อันอุบาสกไม่พึงกระทำ ๕ ประการอย่างไรเล่า? คือ
๑ การค้าขายศัสตรา (สตฺถวณิชฺชา)
๒ การค้าขายสัตว์ (สตฺตวณิชฺชา)
๓ การค้าขายเนื้อสัตว์ (มํสวณิชฺชา)
๔ การค้าขายน้ำเมา (มชฺชวณิชฺชา)
๕ การค้าขายยาพิษ (วิสวณิชฺชา)
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แลการค้าขาย ๕ ประการ อันอุบาสกไม่พึงกระทำ
ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๓๒/๑๗๗


ภิกษุ ท. ! สัมมาอาชีวะ เป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุ ท. ! เรากล่าวแม้สัมมาอาชีวะว่ามีอยู่ ๒ ชนิด คือ
สัมมาอาชีวะ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก ก็มีอยู่ ;
สัมมาอาชีวะอันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นไปสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน ก็มีอยู่.

ภิกษุ ท. ! สัมมาอาชีวะ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญมีผลเนื่องอยู่กับของหนัก นั้นเป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุ ท. ! อริยสาวกในกรณีนี้สะมิจฉาอาชีวะแล้ว สำเร็จการเป็นอยู่ด้วยสัมมาอาชีวะ.
ภิกษุ ท. ! นี้คือ สัมมาอาชีวะ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก.

ภิกษุ ท. ! สัมมาอาชีวะ อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน นั้นเป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุ ท. ! ธรรมคือ
การงด
การเว้น
การเว้นขาด
และเจตนาเป็นเครื่องเว้นจากมิจฉาอาชีวะ ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอานาสวจิต ของผู้เป็นอริยมัคคสมัคคี ผู้เจริญอยู่ซึ่งอริยมรรค ใดแล ;
ภิกษุ ท. ! นี้คือ สัมมาอาชีวะ อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน.
เขานั้น เพียรพยายามเพื่อละเสียซึ่งมิจฉาอาชีวะ ใวฝเพื่อทำสัมมาอาชีวะให้ถึงพร้อม; ความเพียรพยายามของเขานั้น เป็น สัมมาวายามะ.
เขามีสติสะเสียซึ่งมิจฉาอาชีวะ มีสติทำสัมมาอาชีวะให้ถึงพร้อม แล้วแลอยู่; สติของเขานั้น เป็นสัมมาสติ.
ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า ธรรม ๓ อย่าง นั้น ย่อม ติดตามแวดล้อมซึ่งสัมมาอาชีวะ; สามอย่างนั้นได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ.

- อุปริ. ม. ๑๔/๑๘๑ - ๑๘๖/๒๕๔ - ๒๗๘.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาค ๒ หน้าที่ ๑๒๘๖

(ผู้ศึกษาพึงสังเกตเห็นความสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อน ว่าองค์มรรคเจ็ดองค์ข้างต้น ถูกจัดให้เป็นบริวารขององค์สุดท้ายคือ สัมมาสมาธิ แล้วทำให้สัมมาสมาธินั้น ได้นามสูงขึ้นไปว่าอริยสัมมาสมาธิ. องค์ห้าองค์ข้างต้น คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ถูกจัดให้แวดล้อมด้วย สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายะ สัมมาสติ.

โดยเหตุที่สัมมาวายามะ และสัมมาสติ ไปทำหน้าที่แวดล้อมองค์ห้าองค์ข้างต้นเสีย จึงไม่ถูกยกขึ้นมาจัดเป็นกลุ่มเฉพาะของตน จึงไม่มีกลุ่มที่หกที่เจ็ด.
ส่วนสัมมาทิฏฐินั้น มีความสำคัญจนจัดเป็นกลุ่มๆ กลุ่มหนึ่งของตัวเอง แล้วยังไปทำหน้าที่เป็นผู้แวดล้อม ในกลุ่มทั้งห้าอีกด้วยทุกกลุ่ม.
ส่วนสัมมาวายามะก็ดี สัมมาสติก็ดี ซึ่งไม่มีกลุ่มของตน เพราะเข้าไปแทรกทำหน้าที่อยู่ในกลุ่มนั้นๆ ทุกกลุ่ม เพื่อให้หน้าที่ในกลุ่มนั้นๆ สมบูรณ์ ราวกะว่าซ่อนตัวอยู่อย่างลึกลับ แต่ก็ไม่ได้หายไปไหน.
สัมมาทิฏฐิได้ชื่อว่าเป็นผู้นำหน้าของทุกกลุ่ม เพราะเข้าไปรู้ลักษณะองค์ธรรม อันเป็นชื่อประจำกลุ่มนั้นๆ ซึ่งได้ทรงจำแนกไว้ทั้งสองประเภท คือประเภทเป็นไปกับด้วยอาสวะ และประเภทที่ไม่เป็นไปกับด้วยอาสวะ และยังรู้ถึงฝ่ายตรงกันข้าม คือ เป็นฝ่าย “มิจฉา” หรือฝ่ายผิด อย่างครบถ้วนอีกด้วย จึงทำให้สัมมาวายามะและสัมมาสติแห่งกลุ่มนั้นๆ ดำเนินไปโดยถูกทาง ดังนั้น จึงได้ชื่อว่าเป็น “ผู้นำหน้า”.

ผู้ศึกษาพึงสังเกตจนเข้าใจความสัมพันธ์กัน ดังกล่าวนี้อย่างแจ่มแจ้งแล้วจนเป็นเหตุให้ท่านทราบว่า กิจแห่งองค์มรรคทั้งหลาย สัมพันธ์กันด้วยดีอย่างไร มรรคจึงจะเป็นไปถึงขนาดที่ดับทุกข์ได้โดยไม่เหลือ).

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

ผลกรรม ของมือที่สาม นอกใจคนรักของตน

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน

รวมคติธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก

การเบียดเบียนผู้อื่น จะนำทุกข์มาให้ตนเอง

พุทธประวัติ EP.2 ตอน พวกสากยะอยู่ใต้อำนาจพระเจ้าโกศล และแดนสากยะขึ้นอยู่ในแคว้นโกศล

ฆราวาสธรรม 4 ประการ ธรรมะที่นำพาชีวิตให้ร่ำรวย

ฝึกปล่อยวาง ด้วยคำสอนของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท