วันปีใหม่ เริ่มชีวิตใหม่ ด้วยใจที่มีความสุข
สวัสดีครับ เนื่องในวันเริ่มต้นปีใหม่
ผมมีธรรมะและข้อคิด ในการเริ่มต้นชีวิตใหม่
เพื่อให้ใจมีความสุข มาฝากครับ
การที่เราจะมีความสุข อย่างแท้จริงนั้น มิใช่อยู่ที่การปรารถนาสิ่งใดแล้ว ได้สมปรารถนาทุกอย่าง ซึ่งความจริง หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แต่อยู่ที่ว่า เราจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้รู้ว่าสมควร แก่ความปรารถนาของเราแล้ว ทำให้อยู่ได้ เป็นสุข และทำจิตใจของเรา ให้เป็นสุขได้ ซึ่งอันนี้ จะทำให้เราได้ความสุขที่แท้จริง เพราะความสุขที่แท้จริง มิใช่อยู่ที่ การสนองความปรารถนาของเรา อยู่เรื่อยไป ที่ไม่จบสิ้น วันนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิด ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) มาให้ทุกท่านได้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิด ในการเริ่มต้นใช้ชีวิต ในวันปีใหม่ครับ
มนุษย์เรานั้น จะปรารถนาสิ่งใหม่เข้ามาอยู่เรื่อยๆ หากไม่มีความปรารถนาที่ชอบธรรม หรือเอาธรรมะ มาเป็นเครื่องจำกัดความปรารถนา เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้จักปฏิบัติ ให้ถูกต้อง ต่อเรื่องความใหม่ และความเก่า เพราะความใหม่บางที เราก็ไม่อาจจะได้เรื่อยไป อย่างเช่น ร่างกายของเรา ก็ไม่สามารถ จะให้เป็นร่างกาย ที่ใหม่อยู่ได้ตลอดกาล เมื่อวันเวลาล่วงผ่าน มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ ตอนแรก ก็ต้องมีการเจริญเติบโตขึ้น เมื่อเติบโตขึ้น สู่วัยหนุ่มสาวแล้ว ต่อจากนั้น ก็จะต้อง มีความแก่ชรา เข้ามาเบียดเบียนครอบงำ และสุดท้าย ร่างกายของเรา ก็เสื่อมโทรมลงไป แต่ถ้าเรา ปรับใจไม่ได้ เราต้องการแต่ความใหม่อยู่เรื่อยไป ก็เกิดอาการขัดแย้ง กับความปรารถนา เพราะคนเรานั้น ไม่อาจจะได้ใหม่เรื่อยไป แต่จะต้องเจอกับเก่าด้วย เพราะมีสิ่งที่จำเป็นจะต้องเก่า และสิ่งใหม่ที่มี ก็ต้องกลายเป็นเก่า นอกจากนั้น ก็มีสิ่งเก่า ที่เราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะเราอาศัยอยู่ในโลกใบนี้
โลกนี้ เป็นเรื่องของสังขาร ซึ่งสังขารนั้น มีหลักธรรมดาว่า ย่อมเป็นไปตามกฎ ของพระไตรลักษณ์ คือ มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ต้องเปลี่ยนแปลง มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เมื่อใหม่แล้ว ก็กลายเป็นเก่า และเมื่อเราจำเป็นต้องประสบ พบกับสิ่งที่เก่า เราจะทำอย่างไร ความเก่าใหม่ ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน ความเก่า ที่เป็นสภาวะตามธรรมชาติ ของสังขารนี้ ก็อย่างหนึ่ง แต่ความเก่า ความใหม่ ที่มีผลต่อจิตใจของเรานี้ ก็อยู่ที่จิตใจ ของเรานี่เอง ซึ่งถ้าเรามีความรู้สึก หดหู่ ใจคอไม่สบาย จิตใจว้าเหว่ หงอยเหงา ก็เป็นลักษณะของจิตใจที่เก่า แต่ถ้าเป็นจิตใจ ที่สดชื่น เบิกบานผ่องใส อันนี้ ก็คือจิตใจที่ใหม่ เมื่อเรารู้หลักนี้แล้ว เราก็ทำความใหม่ ให้เกิดขึ้นได้เสมอ คือ ทำใจของเรา ให้ใหม่อยู่เสมอ เพราะฉะนั้น สิ่งทั้งหลายจะเก่า ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก ถ้าเรารู้จักทำใจของเราให้ใหม่อยู่เสมอ
การที่เรามากำหนดว่า ให้มีปีใหม่ ทั้งๆ ที่วัน เดือน ปี ก็หมุนเวียน อยู่ธรรมดาอย่างนั้น มันก็เป็นอุบายอย่างหนึ่ง ของชาวโลก ที่จะทำจิตใจของตนเอง ให้รู้สึกเบิกบานผ่องใส และมีความร่าเริง เมื่อมองลึกลงไป ก็จะเห็นว่า ที่เรามีความเบิกบานผ่องใส สดชื่นนั้น เป็นด้วยอะไร ก็เป็นด้วยจิตใจของเรานี่เอง ไม่ใช่เป็นเพราะ วันเก่า หรือวันใหม่ แต่อย่างใด
ความใหม่ ที่เป็นของประณีต ก็คือ เวลาขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นวันที่เรากำหนดกันว่า เป็นสิริมงคลนั้น คนจะมาแสดงความรัก ความปรารถนาดีต่อกัน มีไมตรีจิตมิตรภาพ อย่างเช่น พ่อแม่ก็แสดงความเมตตาต่อลูก คนทั่วไป ก็ไปแสดงความเคารพนับถือกัน ส่งความสุข ให้แก่กันในวันปีใหม่ ส่งบัตรอวยพร แสดงความปรารถนาดีต่อกัน คนที่รับ ก็มีความสุขสดชื่นขึ้น มาจากไมตรีจิตมิตรภาพ ความปรารถนาดีของผู้อื่น ซึ่งทั้งหมดนี้ แสดงว่า ความใหม่ที่มีผลต่อจิตใจอย่างแท้จริง ก็เป็นเรื่องของธรรมะนั่นเอง ความรักความปรารถนาดีต่อกัน หรือมีไมตรีจิต มิตรภาพนั้น เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ธรรมะทำให้จิตใจ สดชื่นเบิกบานผ่องใส แล้วความใหม่ก็จะเกิดขึ้น ผู้ที่รู้ และเข้าใจอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ต้องรอวันเวลา ที่เป็นเรื่องสมมติ ในทางโลกมาช่วย ให้เกิดความใหม่ แต่เราสามารถเอาธรรมะมาใช้ ทำจิตใจของตน ให้ใหม่ได้เสมอ ไปตลอดกาล เมื่อรู้หลักอย่างนี้แล้ว เราก็ปฏิบัติธรรม เช่น เมตตา มีความรักความปรารถนาดี ศรัทธา มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ธรรมเหล่านี้ เกิดขึ้นในจิตใจเมื่อไร ก็มีความสดชื่นเบิกบานเมื่อนั้น แล้วเรา ก็จะมีความใหม่อยู่เสมอ
ธรรมะที่ว่าใหม่อยู่เสมอนั้น ที่จริงแล้วคือ ไม่ขึ้นต่อกาลเวลานั่นเอง ความจริงนั้น ธรรมะไม่มีเก่า ไม่มีใหม่ เป็นของที่คงอยู่อย่างเดิมตลอดเวลา ซึ่งมีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา ราชรถที่ตกแต่ง ประดับประดาอย่างดี ก็ยังมีวันเก่าคร่ำคร่าไป แต่ สตญฺจ ธมฺโม น ชรํ อุเปติ ธรรมะของสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่แก่ชราเลย
เพราะ ธรรมะคือ หลักความจริง ซึ่งความจริง เป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่รู้จักเก่า และเมื่อไม่เก่า ก็ไม่ใหม่ด้วย เป็นความจริงอยู่อย่างนั้น และความดีงาม ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราประพฤติเมื่อใด ก็เป็นความดีงามเมื่อนั้น เพราะฉะนั้น ธรรมะนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีเก่า ไม่มีใหม่ เป็นความจริงที่ดำรงอยู่ตลอดไป
เมื่อเราต้องการ ที่จะให้ตนเอง พ้นจากการครอบงำของกาลเวลา ที่ว่า จะเก่า จะใหม่นั้น ก็นำเอาธรรมะ เข้ามาไว้ในจิตใจของตน ประพฤติปฏิบัติตามธรรมะแล้ว ก็จะไม่มีความใหม่ ความเก่า แต่จะกลายเป็นอมตะ กลายเป็นไม่ตาย ชีวิตของเราก็จะไม่ตาย ด้วยการรู้เท่าทันสิ่งทั้งหลาย เหมือนคนที่อยู่เหนือกาลเวลา ไม่มีความเก่า ไม่มีความใหม่ กาลเวลาไม่สามารถครอบงำจิตใจของเราได้ จิตใจของเรา เป็นอิสระหลุดพ้น เพราะปราศจากกิเลส ปราศจากความครอบงำของกาลเวลา
เพราะฉะนั้น เราสามารถถือเอาประโยชน์ จากเรื่องความเก่า ความใหม่ของกาลเวลาได้ ทั้งในแง่ที่ว่า หนึ่ง ทำตัวเองให้เป็นคนใหม่ อยู่ตลอดเวลา ด้วยการมีจิตใจ ที่สะอาดบริสุทธิ์ ผ่องใสเบิกบาน
สอง ทำชีวิตของตน ให้เป็นอมตะ เป็นชีวิตที่ไม่ตาย ด้วยการเอาธรรมะ ที่เป็นสิ่งอันไม่ตาย ที่ไม่ขึ้นต่อกาลเวลานั้น เข้ามาไว้ในจิตใจ และการประพฤติปฏิบัติของตน ซึ่งคุณของพระธรรมนั้น ท่านระบุว่า “อกาลิโก” แปลว่า ไม่ขึ้นต่อกาลเวลา คือ ไม่ว่าจะประพฤติเวลาใดก็ตาม ก็เกิดผลดีเวลานั้น
เมตตาธรรม ความรักความปรารถนาดี เรานำเข้ามาใส่ไว้ในใจเวลาใด เวลานั้น จิตใจของเราก็จะสดชื่นเบิกบาน เป็นจิตใจที่ดีงาม
ศรัทธา เราปลูกฝังขึ้นไว้ในใจ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระรัตนตรัย นึกถึงบุญกุศล ขึ้นมาเวลาใด จิตใจของเรา ก็ผ่องใสมีพลังขึ้นมาในเวลานั้น
สติ เกิดขึ้นในใจเวลาใด ใจของเราก็มีหลัก สามารถยั้งหยุด จากความชั่วร้ายทั้งหลายได้ และหันไปหยิบยก เอาสิ่งที่ดีงามขึ้นมาคิด มาทำ
ปัญญา เกิดขึ้นในใจเวลาใด เวลานั้น จิตใจของเรา ก็สว่างโล่ง รู้เห็น เข้าใจเท่าทันสิ่งทั้งหลาย ตามความเป็นจริง รู้ทิศรู้ทาง ที่จะเดินหน้าต่อไป
เพราะฉะนั้น ธรรมะ จึงเป็นอกาลิโก แปลว่า ไม่ขึ้นต่อกาลเวลา และก็ทำให้เป็นอมตะด้วย นี่คือหลักที่จะทำให้ พุทธศาสนิกชน ได้ประโยชน์จาก เรื่องกาลเวลา และความเก่าความใหม่ ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ครับ
การที่เราจะมีความสุข อย่างแท้จริงนั้น มิใช่อยู่ที่การปรารถนาสิ่งใดแล้ว ได้สมปรารถนาทุกอย่าง ซึ่งความจริง หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แต่อยู่ที่ว่า เราจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้รู้ว่าสมควร แก่ความปรารถนาของเราแล้ว ทำให้อยู่ได้ เป็นสุข และทำจิตใจของเรา ให้เป็นสุขได้ ซึ่งอันนี้ จะทำให้เราได้ความสุขที่แท้จริง เพราะความสุขที่แท้จริง มิใช่อยู่ที่ การสนองความปรารถนาของเรา อยู่เรื่อยไป ที่ไม่จบสิ้น วันนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิด ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) มาให้ทุกท่านได้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิด ในการเริ่มต้นใช้ชีวิต ในวันปีใหม่ครับ
มนุษย์เรานั้น จะปรารถนาสิ่งใหม่เข้ามาอยู่เรื่อยๆ หากไม่มีความปรารถนาที่ชอบธรรม หรือเอาธรรมะ มาเป็นเครื่องจำกัดความปรารถนา เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้จักปฏิบัติ ให้ถูกต้อง ต่อเรื่องความใหม่ และความเก่า เพราะความใหม่บางที เราก็ไม่อาจจะได้เรื่อยไป อย่างเช่น ร่างกายของเรา ก็ไม่สามารถ จะให้เป็นร่างกาย ที่ใหม่อยู่ได้ตลอดกาล เมื่อวันเวลาล่วงผ่าน มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ ตอนแรก ก็ต้องมีการเจริญเติบโตขึ้น เมื่อเติบโตขึ้น สู่วัยหนุ่มสาวแล้ว ต่อจากนั้น ก็จะต้อง มีความแก่ชรา เข้ามาเบียดเบียนครอบงำ และสุดท้าย ร่างกายของเรา ก็เสื่อมโทรมลงไป แต่ถ้าเรา ปรับใจไม่ได้ เราต้องการแต่ความใหม่อยู่เรื่อยไป ก็เกิดอาการขัดแย้ง กับความปรารถนา เพราะคนเรานั้น ไม่อาจจะได้ใหม่เรื่อยไป แต่จะต้องเจอกับเก่าด้วย เพราะมีสิ่งที่จำเป็นจะต้องเก่า และสิ่งใหม่ที่มี ก็ต้องกลายเป็นเก่า นอกจากนั้น ก็มีสิ่งเก่า ที่เราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะเราอาศัยอยู่ในโลกใบนี้
โลกนี้ เป็นเรื่องของสังขาร ซึ่งสังขารนั้น มีหลักธรรมดาว่า ย่อมเป็นไปตามกฎ ของพระไตรลักษณ์ คือ มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ต้องเปลี่ยนแปลง มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เมื่อใหม่แล้ว ก็กลายเป็นเก่า และเมื่อเราจำเป็นต้องประสบ พบกับสิ่งที่เก่า เราจะทำอย่างไร ความเก่าใหม่ ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน ความเก่า ที่เป็นสภาวะตามธรรมชาติ ของสังขารนี้ ก็อย่างหนึ่ง แต่ความเก่า ความใหม่ ที่มีผลต่อจิตใจของเรานี้ ก็อยู่ที่จิตใจ ของเรานี่เอง ซึ่งถ้าเรามีความรู้สึก หดหู่ ใจคอไม่สบาย จิตใจว้าเหว่ หงอยเหงา ก็เป็นลักษณะของจิตใจที่เก่า แต่ถ้าเป็นจิตใจ ที่สดชื่น เบิกบานผ่องใส อันนี้ ก็คือจิตใจที่ใหม่ เมื่อเรารู้หลักนี้แล้ว เราก็ทำความใหม่ ให้เกิดขึ้นได้เสมอ คือ ทำใจของเรา ให้ใหม่อยู่เสมอ เพราะฉะนั้น สิ่งทั้งหลายจะเก่า ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก ถ้าเรารู้จักทำใจของเราให้ใหม่อยู่เสมอ
การที่เรามากำหนดว่า ให้มีปีใหม่ ทั้งๆ ที่วัน เดือน ปี ก็หมุนเวียน อยู่ธรรมดาอย่างนั้น มันก็เป็นอุบายอย่างหนึ่ง ของชาวโลก ที่จะทำจิตใจของตนเอง ให้รู้สึกเบิกบานผ่องใส และมีความร่าเริง เมื่อมองลึกลงไป ก็จะเห็นว่า ที่เรามีความเบิกบานผ่องใส สดชื่นนั้น เป็นด้วยอะไร ก็เป็นด้วยจิตใจของเรานี่เอง ไม่ใช่เป็นเพราะ วันเก่า หรือวันใหม่ แต่อย่างใด
ความใหม่ ที่เป็นของประณีต ก็คือ เวลาขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นวันที่เรากำหนดกันว่า เป็นสิริมงคลนั้น คนจะมาแสดงความรัก ความปรารถนาดีต่อกัน มีไมตรีจิตมิตรภาพ อย่างเช่น พ่อแม่ก็แสดงความเมตตาต่อลูก คนทั่วไป ก็ไปแสดงความเคารพนับถือกัน ส่งความสุข ให้แก่กันในวันปีใหม่ ส่งบัตรอวยพร แสดงความปรารถนาดีต่อกัน คนที่รับ ก็มีความสุขสดชื่นขึ้น มาจากไมตรีจิตมิตรภาพ ความปรารถนาดีของผู้อื่น ซึ่งทั้งหมดนี้ แสดงว่า ความใหม่ที่มีผลต่อจิตใจอย่างแท้จริง ก็เป็นเรื่องของธรรมะนั่นเอง ความรักความปรารถนาดีต่อกัน หรือมีไมตรีจิต มิตรภาพนั้น เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ธรรมะทำให้จิตใจ สดชื่นเบิกบานผ่องใส แล้วความใหม่ก็จะเกิดขึ้น ผู้ที่รู้ และเข้าใจอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ต้องรอวันเวลา ที่เป็นเรื่องสมมติ ในทางโลกมาช่วย ให้เกิดความใหม่ แต่เราสามารถเอาธรรมะมาใช้ ทำจิตใจของตน ให้ใหม่ได้เสมอ ไปตลอดกาล เมื่อรู้หลักอย่างนี้แล้ว เราก็ปฏิบัติธรรม เช่น เมตตา มีความรักความปรารถนาดี ศรัทธา มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ธรรมเหล่านี้ เกิดขึ้นในจิตใจเมื่อไร ก็มีความสดชื่นเบิกบานเมื่อนั้น แล้วเรา ก็จะมีความใหม่อยู่เสมอ
ธรรมะที่ว่าใหม่อยู่เสมอนั้น ที่จริงแล้วคือ ไม่ขึ้นต่อกาลเวลานั่นเอง ความจริงนั้น ธรรมะไม่มีเก่า ไม่มีใหม่ เป็นของที่คงอยู่อย่างเดิมตลอดเวลา ซึ่งมีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา ราชรถที่ตกแต่ง ประดับประดาอย่างดี ก็ยังมีวันเก่าคร่ำคร่าไป แต่ สตญฺจ ธมฺโม น ชรํ อุเปติ ธรรมะของสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่แก่ชราเลย
เพราะ ธรรมะคือ หลักความจริง ซึ่งความจริง เป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่รู้จักเก่า และเมื่อไม่เก่า ก็ไม่ใหม่ด้วย เป็นความจริงอยู่อย่างนั้น และความดีงาม ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราประพฤติเมื่อใด ก็เป็นความดีงามเมื่อนั้น เพราะฉะนั้น ธรรมะนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีเก่า ไม่มีใหม่ เป็นความจริงที่ดำรงอยู่ตลอดไป
เมื่อเราต้องการ ที่จะให้ตนเอง พ้นจากการครอบงำของกาลเวลา ที่ว่า จะเก่า จะใหม่นั้น ก็นำเอาธรรมะ เข้ามาไว้ในจิตใจของตน ประพฤติปฏิบัติตามธรรมะแล้ว ก็จะไม่มีความใหม่ ความเก่า แต่จะกลายเป็นอมตะ กลายเป็นไม่ตาย ชีวิตของเราก็จะไม่ตาย ด้วยการรู้เท่าทันสิ่งทั้งหลาย เหมือนคนที่อยู่เหนือกาลเวลา ไม่มีความเก่า ไม่มีความใหม่ กาลเวลาไม่สามารถครอบงำจิตใจของเราได้ จิตใจของเรา เป็นอิสระหลุดพ้น เพราะปราศจากกิเลส ปราศจากความครอบงำของกาลเวลา
เพราะฉะนั้น เราสามารถถือเอาประโยชน์ จากเรื่องความเก่า ความใหม่ของกาลเวลาได้ ทั้งในแง่ที่ว่า หนึ่ง ทำตัวเองให้เป็นคนใหม่ อยู่ตลอดเวลา ด้วยการมีจิตใจ ที่สะอาดบริสุทธิ์ ผ่องใสเบิกบาน
สอง ทำชีวิตของตน ให้เป็นอมตะ เป็นชีวิตที่ไม่ตาย ด้วยการเอาธรรมะ ที่เป็นสิ่งอันไม่ตาย ที่ไม่ขึ้นต่อกาลเวลานั้น เข้ามาไว้ในจิตใจ และการประพฤติปฏิบัติของตน ซึ่งคุณของพระธรรมนั้น ท่านระบุว่า “อกาลิโก” แปลว่า ไม่ขึ้นต่อกาลเวลา คือ ไม่ว่าจะประพฤติเวลาใดก็ตาม ก็เกิดผลดีเวลานั้น
เมตตาธรรม ความรักความปรารถนาดี เรานำเข้ามาใส่ไว้ในใจเวลาใด เวลานั้น จิตใจของเราก็จะสดชื่นเบิกบาน เป็นจิตใจที่ดีงาม
ศรัทธา เราปลูกฝังขึ้นไว้ในใจ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระรัตนตรัย นึกถึงบุญกุศล ขึ้นมาเวลาใด จิตใจของเรา ก็ผ่องใสมีพลังขึ้นมาในเวลานั้น
สติ เกิดขึ้นในใจเวลาใด ใจของเราก็มีหลัก สามารถยั้งหยุด จากความชั่วร้ายทั้งหลายได้ และหันไปหยิบยก เอาสิ่งที่ดีงามขึ้นมาคิด มาทำ
ปัญญา เกิดขึ้นในใจเวลาใด เวลานั้น จิตใจของเรา ก็สว่างโล่ง รู้เห็น เข้าใจเท่าทันสิ่งทั้งหลาย ตามความเป็นจริง รู้ทิศรู้ทาง ที่จะเดินหน้าต่อไป
เพราะฉะนั้น ธรรมะ จึงเป็นอกาลิโก แปลว่า ไม่ขึ้นต่อกาลเวลา และก็ทำให้เป็นอมตะด้วย นี่คือหลักที่จะทำให้ พุทธศาสนิกชน ได้ประโยชน์จาก เรื่องกาลเวลา และความเก่าความใหม่ ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น