เกิดมาจน เกิดมารวย สาเหตุเพราะอะไร
สวัสดีครับ วันนี้ผมมีคติธรรมและข้อคิด
เรื่องของการเกิดมารวย เกิดมาจน ว่าสาเหตุเพราะอะไร มาฝาก ครับ
หลายๆ ท่าน ที่เกิดมาจน ในตอนนี้ คงจะรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาชีวิตของตัวเอง และหลายๆ ท่าน ที่เกิดมารวย ก็คงจะรู้สึกดีใจ ในโชควาสนาของตัวเองเช่นกัน วันนี้ผมจึงเอาคติธรรมจากครูบาอาจารย์ เรื่องของ ความจน ความรวย ในทางพระพุทธศาสนา มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิตของทุกท่าน ซึ่งผมเอง ก็จะเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับทุกท่าน เพราะว่า หนึ่งในความยากลำบาก ที่น่ากลัวที่สุด ในการดำเนินชีวิตของคนเรา ในระหว่างที่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ก็คือ ความยากจน เพราะว่า ความยากจนนั้น เป็นสิ่งที่บีบคั้น ให้เกิดปัญหาอีกหลายอย่าง ขึ้นในโลกนี้ ความยากจน เป็นความลำบาก ทั้งกาย และใจอย่างแสนสาหัส ที่เกิดจากการไม่มีทรัพย์ บางคนนั้น ถูกความยากจน บีบคั้นอย่างหนัก เพื่อให้ได้ทรัพย์ มาใช้เลี้ยงชีวิตของตน และคนในครอบครัว ให้ผ่านไป ในแต่ละมื้อ แม้ต้องยอมตน เป็นคนรับใช้ผู้อื่น ก็ยินยอม คนจน ต้องใช้หยาดเหงื่อแรงกาย และน้ำตา จากความเจ็บช้ำน้ำใจ เพื่อแลกกับปัจจัย ๔ มาเลี้ยงชีวิต บางคนนั้น ก็ยอมเสี่ยงชีวิต ทำงานหนักทั้งที่ยังป่วย บางคน ก็ยอมขายอวัยวะ เพื่อแลกกับเงินมาซื้อข้าวกิน ชีวิตของคนจน จึงเป็นชีวิตที่ต้องทน กับความร้อน และความหนาว ของสภาพดินฟ้าอากาศให้ได้ ทนความยากลำบากให้ได้ ถ้าทนไม่ได้บางคนนั้น ถึงกับต้องอดตาย นี้คือสภาพของคนจน ที่เราไม่สามารถ บรรยายได้หมดสิ้น พอๆ กับเสียงร่ำไห้ ของคนยากจน ที่ไม่เคยเว้นวรรค แม้แต่นาทีเดียวในโลกใบนี้ ครับ
ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่ทรงปรารถนา ให้ใครเกิดมา เป็นคนยากจน พระองค์ทรงต้องการให้มนุษย์ รื้อผังความจน ออกไปจากชีวิตให้หมดสิ้น และทรงชี้โทษ ของความจนไว้ต่างๆ นานา รวมทั้งทรงพรรณนาถึงคุณ ของการแก้ปัญหาความจน อย่างถูกหลักวิชา ไว้มากมาย ซึ่งหากกล่าวโดยย่อแล้ว มี ๓ ประการ ดังนี้
๑. พระพุทธองค์ ทรงตำหนิความยากจน ไว้ใน “อิณสูตร”
๒. พระพุทธองค์ ทรงชี้ให้เห็นว่า ความยากจน บีบคั้นให้มนุษย์ ทำความชั่วได้ง่าย
๓. พระพุทธองค์ ทรงชี้ให้เห็นว่า ความรวยเป็นคุณูปการ ให้สร้างบุญได้ง่าย โดยสามารถอธิบายรายละเอียด แต่ละหัวข้อ ได้ดังต่อไปนี้
๑. พระพุทธองค์ ทรงตำหนิความยากจน ไว้ใน “อิณสูตร” ซึ่งในเรื่องการสร้างตัว สร้างฐานะของชาวพุทธนั้น พระพุทธองค์ ไม่ทรงห้ามชาวพุทธรวย ในทางตรงข้าม พระองค์ทรงห้ามชาวพุทธ ที่ยอมแพ้ต่อความยากจน โดยถึงกับทรงแจกแจง ความทุกข์ของคนจน อย่างหมดเปลือก เพื่อให้ชาวพุทธ เห็นโทษภัย ของความยากจน ใครที่อยู่ในวัย ที่กำลังสร้างตัวสร้างฐานะ จะได้ไม่เกียจคร้าน ส่วนผู้ที่ ตั้งหลักฐานได้แล้ว จะได้ไม่ประมาทในการสร้างบุญ ดังปรากฏอยู่ ในอิณสูตร ซึ่งพระพุทธองค์ ทรงกล่าวถึงความจนไว้ว่า “ความเป็นคนจน เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก” และทรงอธิบายไว้ดังนี้
๑. ความจน เป็นทุกข์ของคนในโลกนี้ ที่ยังครองเรือนอยู่
๒. คนจน เข็ญใจยากไร้ย่อมกู้หนี้ แม้การกู้หนี้ ก็เป็นทุกข์ในโลกนี้
๓. ครั้นกู้หนี้แล้ว ก็ย่อมต้องใช้ดอกเบี้ย แม้การต้องใช้ดอกเบี้ย ก็เป็นทุกข์ในโลกนี้
๔. คนจน เข็ญใจยากไร้ ครั้นใช้ดอกเบี้ยแล้ว ไม่ให้ดอกเบี้ยตามกำหนดเวลา พวกเจ้าหนี้ ย่อมตามมาทวง แม้การ ถูกตามทวงหนี้ ก็เป็นทุกข์ในโลกนี้
๕. คนจน เข็ญใจยากไร้ เมื่อถูกเจ้าหนี้ทวงแล้ว ยังไม่มีให้ พวกเจ้าหนี้ ก็เลยติดตาม แม้การถูกติดตาม ก็เป็นทุกข์ในโลกนี้
๖. คนจน เข็ญใจยากไร้ ถูกเจ้าหนี้ติดตามทัน ยังไม่ทันจะให้ พวกเจ้าหน้าที่ ก็จับเขามาจองจำเสียแล้ว แม้การถูกจองจำ ก็เป็นทุกข์ในโลกนี้
ซึ่งการที่พระองค์ ทรงกล่าวเช่นนี้ เพราะต้องการเตือนสติ ให้ชาวพุทธทั้งหลายอย่างเรา “ไม่ประมาท” ในการดำเนินชีวิต คือ
๑. ให้กลัวความยากจน
๒. ให้ตั้งใจ กำจัดความยากจน อย่างถูกวิธี
๓. ให้ป้องกัน ความยากจน ข้ามภพข้ามชาติ
เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีสติ ระลึกนึกถึง อันตรายของความยากจน อย่างนี้แล้ว จะได้ไม่ประมาท เอาแต่ขยันหาทรัพย์อย่างเดียว แต่ “ต้องสร้างตัว สร้างฐานะเป็น จนกระทั่งรวยทรัพย์ และขยันทำบุญเป็น จนกระทั่งบรรลุธรรม” ใครก็ตาม ที่ดำเนินตามหลักวิชานี้ ย่อมได้หลักประกันว่า นับแต่นี้ไป ตราบใด ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ถือกำเนิด ในวัฏสงสาร แม้ยังไม่อาจกำจัดกิเลส จนกระทั่งบรรลุธรรม เข้าพระนิพพาน แต่ก็จะ ไม่ตกระกำลำบาก ไม่ต้องพบกับ ความยากจน อีกต่อไป อย่างแน่นอน
๒. พระพุทธองค์ ทรงชี้ให้เห็นว่า ความยากจน บีบคั้นให้มนุษย์ ทำความชั่วได้ง่าย ซึ่งชีวิตของเรานั้น อยู่ได้ด้วย การใช้ปัจจัย ๔ หล่อเลี้ยง แต่เพราะความยากจน จึงทำให้มีชีวิตลำเค็ญ เกิดความขัดสน ในการแสวงหาปัจจัย ๔ ความหิว และความกลัวตาย จึงบีบคั้นให้จิตใจ ตกอยู่ในอำนาจ ความชั่วได้ง่าย เป็นเหตุให้แสวงหาทรัพย์ โดยไม่คำนึงถึง ความผิดชอบชั่วดี แม้ต้องปล้น จี้ ฆ่า ลักขโมย ขายตัว ต้มตุ๋น หลอกลวง ค้าของผิดกฎหมาย ค้ายาเสพติด หรืออื่นๆ เพื่อให้ได้ทรัพย์มา ก็ทำได้ โดยไม่รู้สึกละอาย และผลสุดท้าย ก็กลายเป็นคน มีนิสัยใจบาป หยาบช้า เพราะทน การบีบคั้น จากความยากจนไม่ไหว ซึ่งโดยสรุปแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนไว้ว่า คนจน จะพ้นจากความยากจนได้ ต้องอดทน ต่อความยากจน ในปัจจุบัน และต้องเอาชนะ ความตระหนี่ ด้วยการหมั่นสั่งสมบุญกุศล ไว้ล่วงหน้า อย่าได้ขาด แม้แต่วันเดียว ดังคำสอนของพระองค์ ที่ปรากฏอยู่ ในพิลารโกสิยชาดก ว่า “คนตระหนี่กลัวจน จึงให้ทานไม่ได้ ความตระหนี่นั้น จึงเป็นภัยสำหรับคน ที่ไม่ให้ ดังนั้น พึงกำจัดความตระหนี่ถี่เหนียว ครอบงำมลทินใจเสีย แล้วให้ทานกันเถิด เพราะว่าในภพชาติหน้า บุญเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่ง ของสัตวโลกทั้งหลายได้” เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะพ้นความจนได้นั้น จะต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า
๑. คนยากจน คือ คนขาดแคลนทรัพย์ เพราะความตระหนี่ หวงแหนทรัพย์ มีความประมาท ไม่ทำบุญไว้ในอดีต จึงทำให้ ต้องมาเกิด เป็นคนยากจน ในปัจจุบัน
๒. คนอยากจน คือ คนที่มีทรัพย์ แต่ต้องไปเกิดเป็นคนยากจน เพราะความตระหนี่ หวงแหนทรัพย์ มีความประมาท ไม่ทำบุญไว้ในปัจจุบัน จึงต้องไปเกิด เป็นคนยากจนในอนาคต
๓. คนจนยาก คือ คนที่ยาก จะพบกับความยากจน เพราะไม่มีความตระหนี่ หวงแหนทรัพย์ ไม่ประมาท หมั่นสั่งสมบุญล่วงหน้าไว้ ตั้งแต่ปัจจุบัน ย่อมจะได้ไปเกิด เป็นมหาเศรษฐีในอนาคต
๓. พระพุทธองค์ ทรงชี้ให้เห็นว่า ความรวย เป็นคุณูปการ ให้สร้างบุญได้ง่าย ความรวย หมายถึง การมีทรัพย์ ซึ่งความรวย แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. ความรวยทางโลก เรียกว่า “โลกิยทรัพย์” คือ การมีทรัพย์สิน เงินทอง สมบัติพัสถานมากมาย และมีความสามารถ ใช้จ่ายทรัพย์นั้น ได้อย่างมีความสุข
๒. ความรวยทางธรรม เรียกว่า “อริยทรัพย์” มี ๗ ประการ อันได้แก่ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ และปัญญา เพราะฉะนั้น ความรวย จึงมิใช่สิ่งเลวร้าย แต่อย่างใด แต่เป็นความสุข ความปลื้มใจ เป็นลาภอันประเสริฐ ผู้ที่ปรารถนาความรวย สมควรที่จะวางเป้าหมายไว้ที่ การแสวงหา ทั้งโลกิยทรัพย์ และอริยทรัพย์ มาไว้เป็นของตน
ซึ่งในทางพุทธศาสนา สอนไว้ว่า ความรวย หรือทรัพย์ ที่ตนเองมีนั้น มีไว้เพื่อประโยชน์ แก่บุคคลต่างๆ คือ
๑. เพื่อเลี้ยงตน ให้เป็นสุข
๒. เพื่อเลี้ยงบิดามารดา ให้เป็นสุข
๓. เพื่อเลี้ยงบุตร ภรรยา คนใช้ และบริวารให้เป็นสุข
๔. เพื่อเลี้ยงมิตร และอำมาตย์ให้เป็นสุข
๕. เพื่อบำเพ็ญทักษิณาทาน ในสมณพราหมณ์ ซึ่งหมายความว่า เรายิ่งมีทรัพย์มากเท่าไร เรายิ่งสามารถใช้ทรัพย์ ทำประโยชน์ทั้ง ๕ ประการนี้ ได้มากเท่านั้น และผล ที่ได้จากการใช้ทรัพย์เช่นนี้ ย่อมทำให้เรา ได้ผลบุญมากไปด้วย
ดังนั้น พระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้คนจน แต่สอนให้คน รู้จักตั้งตน ตั้งฐานะให้รวย อย่างสุจริต อันเป็นการทำประโยชน์ ในชาตินี้ ให้สมบูรณ์ และเมื่อรวยแล้ว ก็ควรรวยอย่างมีเป้าหมาย
คือ นำทรัพย์ไปสร้างบุญต่อ เพื่อสร้างประโยชน์ ในภพหน้า ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อันจะเป็นโอกาสให้เรา ได้เดินไปสู่เป้าหมาย
คือ การบรรลุมรรค ผล นิพพาน ในที่สุด ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ขอบคุณที่มา http://purifilm.blogspot.com/2018/01/ep30.html
หลายๆ ท่าน ที่เกิดมาจน ในตอนนี้ คงจะรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาชีวิตของตัวเอง และหลายๆ ท่าน ที่เกิดมารวย ก็คงจะรู้สึกดีใจ ในโชควาสนาของตัวเองเช่นกัน วันนี้ผมจึงเอาคติธรรมจากครูบาอาจารย์ เรื่องของ ความจน ความรวย ในทางพระพุทธศาสนา มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิตของทุกท่าน ซึ่งผมเอง ก็จะเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับทุกท่าน เพราะว่า หนึ่งในความยากลำบาก ที่น่ากลัวที่สุด ในการดำเนินชีวิตของคนเรา ในระหว่างที่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ก็คือ ความยากจน เพราะว่า ความยากจนนั้น เป็นสิ่งที่บีบคั้น ให้เกิดปัญหาอีกหลายอย่าง ขึ้นในโลกนี้ ความยากจน เป็นความลำบาก ทั้งกาย และใจอย่างแสนสาหัส ที่เกิดจากการไม่มีทรัพย์ บางคนนั้น ถูกความยากจน บีบคั้นอย่างหนัก เพื่อให้ได้ทรัพย์ มาใช้เลี้ยงชีวิตของตน และคนในครอบครัว ให้ผ่านไป ในแต่ละมื้อ แม้ต้องยอมตน เป็นคนรับใช้ผู้อื่น ก็ยินยอม คนจน ต้องใช้หยาดเหงื่อแรงกาย และน้ำตา จากความเจ็บช้ำน้ำใจ เพื่อแลกกับปัจจัย ๔ มาเลี้ยงชีวิต บางคนนั้น ก็ยอมเสี่ยงชีวิต ทำงานหนักทั้งที่ยังป่วย บางคน ก็ยอมขายอวัยวะ เพื่อแลกกับเงินมาซื้อข้าวกิน ชีวิตของคนจน จึงเป็นชีวิตที่ต้องทน กับความร้อน และความหนาว ของสภาพดินฟ้าอากาศให้ได้ ทนความยากลำบากให้ได้ ถ้าทนไม่ได้บางคนนั้น ถึงกับต้องอดตาย นี้คือสภาพของคนจน ที่เราไม่สามารถ บรรยายได้หมดสิ้น พอๆ กับเสียงร่ำไห้ ของคนยากจน ที่ไม่เคยเว้นวรรค แม้แต่นาทีเดียวในโลกใบนี้ ครับ
ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่ทรงปรารถนา ให้ใครเกิดมา เป็นคนยากจน พระองค์ทรงต้องการให้มนุษย์ รื้อผังความจน ออกไปจากชีวิตให้หมดสิ้น และทรงชี้โทษ ของความจนไว้ต่างๆ นานา รวมทั้งทรงพรรณนาถึงคุณ ของการแก้ปัญหาความจน อย่างถูกหลักวิชา ไว้มากมาย ซึ่งหากกล่าวโดยย่อแล้ว มี ๓ ประการ ดังนี้
๑. พระพุทธองค์ ทรงตำหนิความยากจน ไว้ใน “อิณสูตร”
๒. พระพุทธองค์ ทรงชี้ให้เห็นว่า ความยากจน บีบคั้นให้มนุษย์ ทำความชั่วได้ง่าย
๓. พระพุทธองค์ ทรงชี้ให้เห็นว่า ความรวยเป็นคุณูปการ ให้สร้างบุญได้ง่าย โดยสามารถอธิบายรายละเอียด แต่ละหัวข้อ ได้ดังต่อไปนี้
๑. พระพุทธองค์ ทรงตำหนิความยากจน ไว้ใน “อิณสูตร” ซึ่งในเรื่องการสร้างตัว สร้างฐานะของชาวพุทธนั้น พระพุทธองค์ ไม่ทรงห้ามชาวพุทธรวย ในทางตรงข้าม พระองค์ทรงห้ามชาวพุทธ ที่ยอมแพ้ต่อความยากจน โดยถึงกับทรงแจกแจง ความทุกข์ของคนจน อย่างหมดเปลือก เพื่อให้ชาวพุทธ เห็นโทษภัย ของความยากจน ใครที่อยู่ในวัย ที่กำลังสร้างตัวสร้างฐานะ จะได้ไม่เกียจคร้าน ส่วนผู้ที่ ตั้งหลักฐานได้แล้ว จะได้ไม่ประมาทในการสร้างบุญ ดังปรากฏอยู่ ในอิณสูตร ซึ่งพระพุทธองค์ ทรงกล่าวถึงความจนไว้ว่า “ความเป็นคนจน เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก” และทรงอธิบายไว้ดังนี้
๑. ความจน เป็นทุกข์ของคนในโลกนี้ ที่ยังครองเรือนอยู่
๒. คนจน เข็ญใจยากไร้ย่อมกู้หนี้ แม้การกู้หนี้ ก็เป็นทุกข์ในโลกนี้
๓. ครั้นกู้หนี้แล้ว ก็ย่อมต้องใช้ดอกเบี้ย แม้การต้องใช้ดอกเบี้ย ก็เป็นทุกข์ในโลกนี้
๔. คนจน เข็ญใจยากไร้ ครั้นใช้ดอกเบี้ยแล้ว ไม่ให้ดอกเบี้ยตามกำหนดเวลา พวกเจ้าหนี้ ย่อมตามมาทวง แม้การ ถูกตามทวงหนี้ ก็เป็นทุกข์ในโลกนี้
๕. คนจน เข็ญใจยากไร้ เมื่อถูกเจ้าหนี้ทวงแล้ว ยังไม่มีให้ พวกเจ้าหนี้ ก็เลยติดตาม แม้การถูกติดตาม ก็เป็นทุกข์ในโลกนี้
๖. คนจน เข็ญใจยากไร้ ถูกเจ้าหนี้ติดตามทัน ยังไม่ทันจะให้ พวกเจ้าหน้าที่ ก็จับเขามาจองจำเสียแล้ว แม้การถูกจองจำ ก็เป็นทุกข์ในโลกนี้
ซึ่งการที่พระองค์ ทรงกล่าวเช่นนี้ เพราะต้องการเตือนสติ ให้ชาวพุทธทั้งหลายอย่างเรา “ไม่ประมาท” ในการดำเนินชีวิต คือ
๑. ให้กลัวความยากจน
๒. ให้ตั้งใจ กำจัดความยากจน อย่างถูกวิธี
๓. ให้ป้องกัน ความยากจน ข้ามภพข้ามชาติ
เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีสติ ระลึกนึกถึง อันตรายของความยากจน อย่างนี้แล้ว จะได้ไม่ประมาท เอาแต่ขยันหาทรัพย์อย่างเดียว แต่ “ต้องสร้างตัว สร้างฐานะเป็น จนกระทั่งรวยทรัพย์ และขยันทำบุญเป็น จนกระทั่งบรรลุธรรม” ใครก็ตาม ที่ดำเนินตามหลักวิชานี้ ย่อมได้หลักประกันว่า นับแต่นี้ไป ตราบใด ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ถือกำเนิด ในวัฏสงสาร แม้ยังไม่อาจกำจัดกิเลส จนกระทั่งบรรลุธรรม เข้าพระนิพพาน แต่ก็จะ ไม่ตกระกำลำบาก ไม่ต้องพบกับ ความยากจน อีกต่อไป อย่างแน่นอน
๒. พระพุทธองค์ ทรงชี้ให้เห็นว่า ความยากจน บีบคั้นให้มนุษย์ ทำความชั่วได้ง่าย ซึ่งชีวิตของเรานั้น อยู่ได้ด้วย การใช้ปัจจัย ๔ หล่อเลี้ยง แต่เพราะความยากจน จึงทำให้มีชีวิตลำเค็ญ เกิดความขัดสน ในการแสวงหาปัจจัย ๔ ความหิว และความกลัวตาย จึงบีบคั้นให้จิตใจ ตกอยู่ในอำนาจ ความชั่วได้ง่าย เป็นเหตุให้แสวงหาทรัพย์ โดยไม่คำนึงถึง ความผิดชอบชั่วดี แม้ต้องปล้น จี้ ฆ่า ลักขโมย ขายตัว ต้มตุ๋น หลอกลวง ค้าของผิดกฎหมาย ค้ายาเสพติด หรืออื่นๆ เพื่อให้ได้ทรัพย์มา ก็ทำได้ โดยไม่รู้สึกละอาย และผลสุดท้าย ก็กลายเป็นคน มีนิสัยใจบาป หยาบช้า เพราะทน การบีบคั้น จากความยากจนไม่ไหว ซึ่งโดยสรุปแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนไว้ว่า คนจน จะพ้นจากความยากจนได้ ต้องอดทน ต่อความยากจน ในปัจจุบัน และต้องเอาชนะ ความตระหนี่ ด้วยการหมั่นสั่งสมบุญกุศล ไว้ล่วงหน้า อย่าได้ขาด แม้แต่วันเดียว ดังคำสอนของพระองค์ ที่ปรากฏอยู่ ในพิลารโกสิยชาดก ว่า “คนตระหนี่กลัวจน จึงให้ทานไม่ได้ ความตระหนี่นั้น จึงเป็นภัยสำหรับคน ที่ไม่ให้ ดังนั้น พึงกำจัดความตระหนี่ถี่เหนียว ครอบงำมลทินใจเสีย แล้วให้ทานกันเถิด เพราะว่าในภพชาติหน้า บุญเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่ง ของสัตวโลกทั้งหลายได้” เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะพ้นความจนได้นั้น จะต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า
๑. คนยากจน คือ คนขาดแคลนทรัพย์ เพราะความตระหนี่ หวงแหนทรัพย์ มีความประมาท ไม่ทำบุญไว้ในอดีต จึงทำให้ ต้องมาเกิด เป็นคนยากจน ในปัจจุบัน
๒. คนอยากจน คือ คนที่มีทรัพย์ แต่ต้องไปเกิดเป็นคนยากจน เพราะความตระหนี่ หวงแหนทรัพย์ มีความประมาท ไม่ทำบุญไว้ในปัจจุบัน จึงต้องไปเกิด เป็นคนยากจนในอนาคต
๓. คนจนยาก คือ คนที่ยาก จะพบกับความยากจน เพราะไม่มีความตระหนี่ หวงแหนทรัพย์ ไม่ประมาท หมั่นสั่งสมบุญล่วงหน้าไว้ ตั้งแต่ปัจจุบัน ย่อมจะได้ไปเกิด เป็นมหาเศรษฐีในอนาคต
๓. พระพุทธองค์ ทรงชี้ให้เห็นว่า ความรวย เป็นคุณูปการ ให้สร้างบุญได้ง่าย ความรวย หมายถึง การมีทรัพย์ ซึ่งความรวย แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. ความรวยทางโลก เรียกว่า “โลกิยทรัพย์” คือ การมีทรัพย์สิน เงินทอง สมบัติพัสถานมากมาย และมีความสามารถ ใช้จ่ายทรัพย์นั้น ได้อย่างมีความสุข
๒. ความรวยทางธรรม เรียกว่า “อริยทรัพย์” มี ๗ ประการ อันได้แก่ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ และปัญญา เพราะฉะนั้น ความรวย จึงมิใช่สิ่งเลวร้าย แต่อย่างใด แต่เป็นความสุข ความปลื้มใจ เป็นลาภอันประเสริฐ ผู้ที่ปรารถนาความรวย สมควรที่จะวางเป้าหมายไว้ที่ การแสวงหา ทั้งโลกิยทรัพย์ และอริยทรัพย์ มาไว้เป็นของตน
ซึ่งในทางพุทธศาสนา สอนไว้ว่า ความรวย หรือทรัพย์ ที่ตนเองมีนั้น มีไว้เพื่อประโยชน์ แก่บุคคลต่างๆ คือ
๑. เพื่อเลี้ยงตน ให้เป็นสุข
๒. เพื่อเลี้ยงบิดามารดา ให้เป็นสุข
๓. เพื่อเลี้ยงบุตร ภรรยา คนใช้ และบริวารให้เป็นสุข
๔. เพื่อเลี้ยงมิตร และอำมาตย์ให้เป็นสุข
๕. เพื่อบำเพ็ญทักษิณาทาน ในสมณพราหมณ์ ซึ่งหมายความว่า เรายิ่งมีทรัพย์มากเท่าไร เรายิ่งสามารถใช้ทรัพย์ ทำประโยชน์ทั้ง ๕ ประการนี้ ได้มากเท่านั้น และผล ที่ได้จากการใช้ทรัพย์เช่นนี้ ย่อมทำให้เรา ได้ผลบุญมากไปด้วย
ดังนั้น พระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้คนจน แต่สอนให้คน รู้จักตั้งตน ตั้งฐานะให้รวย อย่างสุจริต อันเป็นการทำประโยชน์ ในชาตินี้ ให้สมบูรณ์ และเมื่อรวยแล้ว ก็ควรรวยอย่างมีเป้าหมาย
คือ นำทรัพย์ไปสร้างบุญต่อ เพื่อสร้างประโยชน์ ในภพหน้า ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อันจะเป็นโอกาสให้เรา ได้เดินไปสู่เป้าหมาย
คือ การบรรลุมรรค ผล นิพพาน ในที่สุด ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ขอบคุณที่มา http://purifilm.blogspot.com/2018/01/ep30.html
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น