อยู่กับทุกข์ให้เป็น ใจก็ไม่เป็นทุกข์
สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมี คติธรรมและข้อคิด
เรื่องของการอยู่กับความทุกข์ให้เป็นใจก็จะไม่เป็นทุกข์ มาฝากครับ
หลายๆ ท่าน ในตอนนี้คงจะกำลังมีความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน เรื่องงาน เรื่องความรัก หรือเรื่องชีวิต คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมของ พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่านในการดำเนินชีวิต เนื่องจากทุกวันนี้หลายๆ ท่าน อาจจะมีชีวิตที่สะดวกสบาย เพราะมีเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วย ทำให้สามารถ หลีกเลี่ยงความทุกข์ได้ เช่น ร้อนก็เปิดแอร์ อาบน้ำหน้าหนาว ก็มีเครื่องทำน้ำอุ่น หรือไปไหนมาไหน ก็ไม่ต้องเหนื่อย เพราะมีรถยนต์หรือเครื่องบิน ในการเดินทาง แต่ถึงแม้ว่า จะมีความสามารถ ในการพาตัวเอง ให้ไกลจากความทุกข์ ได้มากมายเพียงใด แต่ในความจริงอย่างหนึ่ง ที่เราต้องยอมรับก็คือ มีความทุกข์หลายอย่าง ที่เราไม่อาจหนีพ้นได้ แม้จะร่ำรวยเพียงใด ก็ยังต้องเจอกับความพลัดพราก สูญเสีย ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ต้องพบกับความไม่สมหวัง เก่งเพียงใด ก็ต้องประสบกับความล้มเหลว และที่แน่ๆ ก็คือ ไม่มีใครหนีพ้น ความแก่ชรา ความเจ็บป่วย และความตายไปได้
มีคนจำนวนไม่น้อย เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นกับตัวเอง ก็อดไม่ได้ ที่จะคร่ำครวญ ตีโพยตีพาย หรือวิตกกังวล จนเครียดหนัก หรือถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ กลายเป็นการเอาความทุกข์ มาซ้ำเติมตนเอง ให้หนักกว่าเดิม แทนที่จะเสียแต่เงิน ใจก็พลอยเสียไปด้วย แทนที่จะป่วยกายอย่างเดียว ใจก็ป่วยด้วย หรือพูดอีกอย่าง แทนที่จะเจอธนูดอกเดียว กลับเจอถึงสองดอก ธนูดอกแรกนั้น อาจจะมาจากคนอื่น หรือสิ่งนอกตัว แต่ธนูดอกที่สองนั้น เกิดจากน้ำมือของเราเอง และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ ธนูดอกที่สอง มักก่อความทุกข์ ที่รุนแรงหนักหนา กว่าธนูดอกแรกเสียอีก
มีเรื่องเล่าของหญิงสูงวัยผู้หนึ่ง ไปหาหมอครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่รู้ว่า ตนเองเป็นโรคอะไร วันหนึ่งหมอก็เรียกไปพบ แล้วบอกว่า “ป้าเป็นมะเร็งตับ และอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน” เมื่อได้ฟังหมอบอก ก็รู้สึกตกใจมาก นับแต่นั้นมา ก็เศร้าซึมหมดอาลัยตายอยาก ไม่พูดไม่คุยกับใคร และผ่านไปได้แค่ 12 วัน ก็เสียชีวิตลง ซึ่งก้อนมะเร็งนั้น แม้จะบั่นทอนร่างกาย แต่ก็ไม่ร้ายแรง เท่ากับใจที่ตื่นตระหนก และวิตกกังวล ที่เป็นเช่นนั้น ก็เป็นเพราะไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น แต่พยายามปฏิเสธ และต่อต้านตลอดเวลา ใจที่ดิ้นรนขัดขืนนั้น สามารถตัดรอนชีวิต ได้เร็วยิ่งกว่าก้อนมะเร็งเสียอีก ซึ่งจะว่าไปแล้ว ความทุกข์ของคนในสมัยนี้ ส่วนใหญ่แล้ว เกิดจากใจที่ปฏิเสธ ต่อต้านความจริง ที่เกิดขึ้น ยิ่งกว่าอะไรอื่น ดังนั้น แม้แต่เหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เช่น รถติด ก็ทำให้ผู้คน รู้สึกเครียด และหงุดหงิด ซึ่งเครียดหรือกังวลเท่าใด ก็ไม่ช่วยให้รถเคลื่อนได้เร็วขึ้น มีแต่จะทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น
อะไรเกิดขึ้นกับเรานั้น ก็ไม่สำคัญ เท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร มีสิ่งร้ายเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ มากเท่ากับใจ ที่ปฏิเสธ ต่อต้านสิ่งนั้น หรือพูดอีกอย่างก็คือ ยิ่งเราปฏิเสธต่อต้านสิ่งใด ความทุกข์ ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเจอสิ่งนั้น มีการวิจัยพบว่า คนที่กลัวเข็มฉีดยานั้น เมื่อถูกเข็มแทง จะรู้สึกปวด มากกว่าคนที่วางเฉย ต่อเข็มนั้น ถึงสามเท่า ซึ่งคงไม่ผิด หากจะกล่าวว่า ใจที่ปฏิเสธต่อต้านความทุกข์ ย่อมทำให้ความทุกข์นั้น ทบทวี หรือตรีคูณ มากขึ้น และในทางตรงข้าม ทันทีที่เราหยุดต่อต้านขัดขืน ยอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้น ความทุกข์จะลดลงไปมาก คนที่ยอมรับความจริงได้ ว่าตนเองจะเป็นมะเร็ง หรือเป็นอะไรก็ตาม ไม่ต่อต้านขัดขืน หรือคร่ำครวญ ตีโพยตีพายอีกต่อไป จะพบว่า มีแต่กายเท่านั้น ที่เป็นทุกข์ แต่ใจไม่ทุกข์ด้วย
เป็นธรรมดาของคนเรา เมื่อเจอภัยคุกคาม หรือสิ่งที่ไม่ชอบ ย่อมมีปฏิกิริยา ในทางใดทางหนึ่งเสมอ คือถ้าไม่หนี ก็ต่อสู้ แม้ตัวจะหนีไม่พ้น แต่ใจ ก็ยังดิ้นรนขัดขืน หรือต่อสู้ ซึ่งก็ยิ่งทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น แต่หากเรามีสติ รู้ทันใจที่ดิ้นรนขัดขืน มันก็จะค่อยๆ สงบลง ไม่ว่าการดิ้นรนขัดขืนนั้น จะแสดงออกมา ในรูปของความกลัว ความวิตกกังวล ความโกรธแค้น ความน้อยเนื้อต่ำใจ ก็สามารถสงบลงได้ เมื่อมีสติ หรือรู้ตัว และในทางตรงข้าม การกดข่ม หรือพยายามกำจัดมัน กลับทำให้มัน ดำรงคงอยู่ต่อไป แม้ดูเหมือนจะหายไป แต่แท้จริง มันกลับหลบซ่อน และพร้อมจะปรากฏตัวอีก ด้วยอาการที่รุนแรงกว่าเดิม หากมีอะไรมากระทบ หรือสะกิดใจเรา จะว่าไป ก็คงไม่ต่างจาก การเกาให้หายคัน เวลาถูกยุงกัด หรือเป็นลมพิษ แทนที่ความคันจะหายไป มันกลับเพิ่มมากขึ้น ทำให้เราเกาหนักขึ้น กลายเป็นว่า ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน การอยู่เฉยๆ รับรู้ความคัน ที่เกิดขึ้นกับกาย และรู้ทันใจ ที่ดิ้นรนกระสับกระส่าย กลับช่วยให้ความทุกข์ ทุเลาเบาบางลงได้
การยอมรับความจริง มิได้หมายถึง การยอมจำนน ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ที่จริงแล้ว มันกลับช่วยให้เรา สามารถรับมือกับเหตุร้ายได้ดีขึ้น ซึ่งคนที่ยอมรับ ความเจ็บป่วยได้ นอกจากใจจะทุกข์น้อยลงแล้ว ยังมีเวลาใคร่ครวญ หาทางเยียวยารักษา สามารถใช้สติปัญญาอย่างเต็มที่ ไม่ถูกรบกวนด้วยอารมณ์ต่างๆ ผิดกับคนที่ ไม่ยอมรับความจริง จะมัวแต่ตีโพยตีพาย คร่ำครวญวิตกกังวล จนไม่เป็นอันทำอะไร สิ่งที่ควรทำ จึงไม่ได้ทำ และปัญหาที่ควรแก้ จึงไม่ได้แก้ไข ลองถามตัวเราเองว่า ในแต่ละวันนั้น เราเสียเวลา และพลังงาน ไปกับการคร่ำครวญ หรือวิตกกังวล มากมายเพียงใด บางเรื่องนั้น เกิดขึ้นนานแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ป่วยการที่จะนึกถึง ขณะที่บางเรื่อง ก็ยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่เรา กลับตีโพยตีพายไปล่วงหน้า แม้แต่ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น อยู่ตอนนี้ก็ตาม เราลองตั้งสติ และมองให้รอบด้าน อาจพบว่า มันไม่ใช่เรื่อง ที่เลวร้ายหนักหนา แค่อาจจะไม่ตรง กับความคาดหวังของเราเท่านั้น ลองปล่อยวางความคาดหวังเหล่านั้น ก็จะพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เหลือบ่ากว่าแรง อีกทั้ง อาจจะมีแง่ดีบางอย่าง ที่เราไม่เคยนึกมาก่อนก็ได้ และที่สำคัญก็คือ อย่ามัวจดจ่อ ปักใจอยู่กับสิ่งแย่ๆ ที่เกิดขึ้น จนลืมว่า ชีวิตนี้ ยังมีสิ่งดีๆ อีกมากมาย ที่รอการชื่นชมจากเรา เพราะความทุกข์บางอย่าง เราหนีไม่พ้นก็จริง แต่หากเรียนรู้ ที่จะอยู่กับมันให้เป็น อยู่กับทุกข์ให้ได้ ใจเราก็ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
หลายๆ ท่าน ในตอนนี้คงจะกำลังมีความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน เรื่องงาน เรื่องความรัก หรือเรื่องชีวิต คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมของ พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่านในการดำเนินชีวิต เนื่องจากทุกวันนี้หลายๆ ท่าน อาจจะมีชีวิตที่สะดวกสบาย เพราะมีเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วย ทำให้สามารถ หลีกเลี่ยงความทุกข์ได้ เช่น ร้อนก็เปิดแอร์ อาบน้ำหน้าหนาว ก็มีเครื่องทำน้ำอุ่น หรือไปไหนมาไหน ก็ไม่ต้องเหนื่อย เพราะมีรถยนต์หรือเครื่องบิน ในการเดินทาง แต่ถึงแม้ว่า จะมีความสามารถ ในการพาตัวเอง ให้ไกลจากความทุกข์ ได้มากมายเพียงใด แต่ในความจริงอย่างหนึ่ง ที่เราต้องยอมรับก็คือ มีความทุกข์หลายอย่าง ที่เราไม่อาจหนีพ้นได้ แม้จะร่ำรวยเพียงใด ก็ยังต้องเจอกับความพลัดพราก สูญเสีย ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ต้องพบกับความไม่สมหวัง เก่งเพียงใด ก็ต้องประสบกับความล้มเหลว และที่แน่ๆ ก็คือ ไม่มีใครหนีพ้น ความแก่ชรา ความเจ็บป่วย และความตายไปได้
มีคนจำนวนไม่น้อย เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นกับตัวเอง ก็อดไม่ได้ ที่จะคร่ำครวญ ตีโพยตีพาย หรือวิตกกังวล จนเครียดหนัก หรือถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ กลายเป็นการเอาความทุกข์ มาซ้ำเติมตนเอง ให้หนักกว่าเดิม แทนที่จะเสียแต่เงิน ใจก็พลอยเสียไปด้วย แทนที่จะป่วยกายอย่างเดียว ใจก็ป่วยด้วย หรือพูดอีกอย่าง แทนที่จะเจอธนูดอกเดียว กลับเจอถึงสองดอก ธนูดอกแรกนั้น อาจจะมาจากคนอื่น หรือสิ่งนอกตัว แต่ธนูดอกที่สองนั้น เกิดจากน้ำมือของเราเอง และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ ธนูดอกที่สอง มักก่อความทุกข์ ที่รุนแรงหนักหนา กว่าธนูดอกแรกเสียอีก
มีเรื่องเล่าของหญิงสูงวัยผู้หนึ่ง ไปหาหมอครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่รู้ว่า ตนเองเป็นโรคอะไร วันหนึ่งหมอก็เรียกไปพบ แล้วบอกว่า “ป้าเป็นมะเร็งตับ และอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน” เมื่อได้ฟังหมอบอก ก็รู้สึกตกใจมาก นับแต่นั้นมา ก็เศร้าซึมหมดอาลัยตายอยาก ไม่พูดไม่คุยกับใคร และผ่านไปได้แค่ 12 วัน ก็เสียชีวิตลง ซึ่งก้อนมะเร็งนั้น แม้จะบั่นทอนร่างกาย แต่ก็ไม่ร้ายแรง เท่ากับใจที่ตื่นตระหนก และวิตกกังวล ที่เป็นเช่นนั้น ก็เป็นเพราะไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น แต่พยายามปฏิเสธ และต่อต้านตลอดเวลา ใจที่ดิ้นรนขัดขืนนั้น สามารถตัดรอนชีวิต ได้เร็วยิ่งกว่าก้อนมะเร็งเสียอีก ซึ่งจะว่าไปแล้ว ความทุกข์ของคนในสมัยนี้ ส่วนใหญ่แล้ว เกิดจากใจที่ปฏิเสธ ต่อต้านความจริง ที่เกิดขึ้น ยิ่งกว่าอะไรอื่น ดังนั้น แม้แต่เหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เช่น รถติด ก็ทำให้ผู้คน รู้สึกเครียด และหงุดหงิด ซึ่งเครียดหรือกังวลเท่าใด ก็ไม่ช่วยให้รถเคลื่อนได้เร็วขึ้น มีแต่จะทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น
อะไรเกิดขึ้นกับเรานั้น ก็ไม่สำคัญ เท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร มีสิ่งร้ายเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ มากเท่ากับใจ ที่ปฏิเสธ ต่อต้านสิ่งนั้น หรือพูดอีกอย่างก็คือ ยิ่งเราปฏิเสธต่อต้านสิ่งใด ความทุกข์ ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเจอสิ่งนั้น มีการวิจัยพบว่า คนที่กลัวเข็มฉีดยานั้น เมื่อถูกเข็มแทง จะรู้สึกปวด มากกว่าคนที่วางเฉย ต่อเข็มนั้น ถึงสามเท่า ซึ่งคงไม่ผิด หากจะกล่าวว่า ใจที่ปฏิเสธต่อต้านความทุกข์ ย่อมทำให้ความทุกข์นั้น ทบทวี หรือตรีคูณ มากขึ้น และในทางตรงข้าม ทันทีที่เราหยุดต่อต้านขัดขืน ยอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้น ความทุกข์จะลดลงไปมาก คนที่ยอมรับความจริงได้ ว่าตนเองจะเป็นมะเร็ง หรือเป็นอะไรก็ตาม ไม่ต่อต้านขัดขืน หรือคร่ำครวญ ตีโพยตีพายอีกต่อไป จะพบว่า มีแต่กายเท่านั้น ที่เป็นทุกข์ แต่ใจไม่ทุกข์ด้วย
เป็นธรรมดาของคนเรา เมื่อเจอภัยคุกคาม หรือสิ่งที่ไม่ชอบ ย่อมมีปฏิกิริยา ในทางใดทางหนึ่งเสมอ คือถ้าไม่หนี ก็ต่อสู้ แม้ตัวจะหนีไม่พ้น แต่ใจ ก็ยังดิ้นรนขัดขืน หรือต่อสู้ ซึ่งก็ยิ่งทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น แต่หากเรามีสติ รู้ทันใจที่ดิ้นรนขัดขืน มันก็จะค่อยๆ สงบลง ไม่ว่าการดิ้นรนขัดขืนนั้น จะแสดงออกมา ในรูปของความกลัว ความวิตกกังวล ความโกรธแค้น ความน้อยเนื้อต่ำใจ ก็สามารถสงบลงได้ เมื่อมีสติ หรือรู้ตัว และในทางตรงข้าม การกดข่ม หรือพยายามกำจัดมัน กลับทำให้มัน ดำรงคงอยู่ต่อไป แม้ดูเหมือนจะหายไป แต่แท้จริง มันกลับหลบซ่อน และพร้อมจะปรากฏตัวอีก ด้วยอาการที่รุนแรงกว่าเดิม หากมีอะไรมากระทบ หรือสะกิดใจเรา จะว่าไป ก็คงไม่ต่างจาก การเกาให้หายคัน เวลาถูกยุงกัด หรือเป็นลมพิษ แทนที่ความคันจะหายไป มันกลับเพิ่มมากขึ้น ทำให้เราเกาหนักขึ้น กลายเป็นว่า ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน การอยู่เฉยๆ รับรู้ความคัน ที่เกิดขึ้นกับกาย และรู้ทันใจ ที่ดิ้นรนกระสับกระส่าย กลับช่วยให้ความทุกข์ ทุเลาเบาบางลงได้
การยอมรับความจริง มิได้หมายถึง การยอมจำนน ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ที่จริงแล้ว มันกลับช่วยให้เรา สามารถรับมือกับเหตุร้ายได้ดีขึ้น ซึ่งคนที่ยอมรับ ความเจ็บป่วยได้ นอกจากใจจะทุกข์น้อยลงแล้ว ยังมีเวลาใคร่ครวญ หาทางเยียวยารักษา สามารถใช้สติปัญญาอย่างเต็มที่ ไม่ถูกรบกวนด้วยอารมณ์ต่างๆ ผิดกับคนที่ ไม่ยอมรับความจริง จะมัวแต่ตีโพยตีพาย คร่ำครวญวิตกกังวล จนไม่เป็นอันทำอะไร สิ่งที่ควรทำ จึงไม่ได้ทำ และปัญหาที่ควรแก้ จึงไม่ได้แก้ไข ลองถามตัวเราเองว่า ในแต่ละวันนั้น เราเสียเวลา และพลังงาน ไปกับการคร่ำครวญ หรือวิตกกังวล มากมายเพียงใด บางเรื่องนั้น เกิดขึ้นนานแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ป่วยการที่จะนึกถึง ขณะที่บางเรื่อง ก็ยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่เรา กลับตีโพยตีพายไปล่วงหน้า แม้แต่ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น อยู่ตอนนี้ก็ตาม เราลองตั้งสติ และมองให้รอบด้าน อาจพบว่า มันไม่ใช่เรื่อง ที่เลวร้ายหนักหนา แค่อาจจะไม่ตรง กับความคาดหวังของเราเท่านั้น ลองปล่อยวางความคาดหวังเหล่านั้น ก็จะพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เหลือบ่ากว่าแรง อีกทั้ง อาจจะมีแง่ดีบางอย่าง ที่เราไม่เคยนึกมาก่อนก็ได้ และที่สำคัญก็คือ อย่ามัวจดจ่อ ปักใจอยู่กับสิ่งแย่ๆ ที่เกิดขึ้น จนลืมว่า ชีวิตนี้ ยังมีสิ่งดีๆ อีกมากมาย ที่รอการชื่นชมจากเรา เพราะความทุกข์บางอย่าง เราหนีไม่พ้นก็จริง แต่หากเรียนรู้ ที่จะอยู่กับมันให้เป็น อยู่กับทุกข์ให้ได้ ใจเราก็ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น