ทำบุญทำทาน ทำอย่างไร ให้ได้อานิสงส์สูงสุด

สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้มีคติธรรมและข้อคิด เกี่ยวกับ การทำบุญทำ ต้องทำอย่างไร เพื่อให้ได้อานิสงส์สูงสุด มาฝากครับ



หลายท่านๆ เวลาทำบุญ อาจจะนึกสงสัยว่า ที่เราทำบุญทำทานอยู่นี้ จะได้บุญได้อานิสงส์มากน้อยเพียงใด ซึ่งพระพุทธศาสนานั้น ไม่ได้วัดผลบุญว่า จะได้มากได้น้อย ด้วยการตีความว่า ต้องทำบุญด้วยวัตถุ เป็นปริมาณมากๆ หรือเป็นตัวเงินมากๆ แต่อย่างใด แต่บุญที่เรา ได้จากทานนั้น วัดกันด้วย “ใจ หรือเจตนาที่ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข เป็นที่ตั้งใหญ่สุด” ต่อมาก็คือ เรื่องวัตถุที่จะให้ทาน อาการของการให้ และสุดท้ายก็คือผู้รับทานนั้นเอง คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิด ของครูบาอาจารย์ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ในการทำบุญทำทาน ครับ

คำว่า เจตนานั้น หมายถึงความประสงค์ หรือเป้าหมายในการทำบุญ ซึ่งท่านพุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวเปรียบเทียบเป็นน้ำไว้ ๓ แบบ ดังนี้

๑.การทำบุญ ที่เหมือนเอาน้ำโคลนมาอาบ คือ เป็นการทำบุญ ที่เจือด้วยบาป เช่น การฆ่าสัตว์ เบียดเบียนผู้อื่น เพื่อนำมาทำบุญ ล้มวัว ล้มหมู หรือสัตว์อื่นๆ เอามาต้มยำทำแกง หวังจะเอาบุญ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากบาป ก็เหมือนเอาน้ำโคลนมาล้างตัว ถึงอาบอย่างไร ก็มีกลิ่นเหม็นติดตัว อยู่วันยังค่ำ การทำบุญแบบนี้ หากจะกล่าวให้เข้าใจจริงๆ ก็อาจจะเรียกได้ว่า เป็นการทำบุญ ที่จะได้บาปแทน เพราะแม้เจตนาจะดี ที่ต้องการถวายทานก็ตาม แต่เราต้องไปเบียดเบียน ชีวิตผู้อื่นมา หรือแม้แต่บางคน ก็ไปจี้ไปปล้นเขามา ไปโกงเขามาเพื่อทำบุญ หรือใช้วิธีบังคับ เบียดบังเอาเงินมาสร้างบุญ เป็นต้น ซึ่งมีเรื่องเล่าในอดีต ของวัด “คณิกาผล” ที่คนผู้หนึ่งเป็นคนสร้าง โดยเบียดบังเงินค่าตัว ของหญิงคณิกาในสมัยก่อน เก็บเอาไว้เพื่อจะไปสร้างวัด แม้เจตนาจะดี ต้องการทำบุญ แต่เป็นบุญที่เกิดมา จากกองทุกข์ของคนอื่น เมื่อผู้สร้าง ได้ไปถามครูบาอาจารย์ ถึงเรื่องอานิสงส์ ของการสร้างวัด จะเป็นอย่างไร ครูบาอาจารย์ท่านก็ตอบว่า ได้เพียงเศษเสี้ยวนิดหนึ่งเท่านั้น ทำให้ผู้สร้าง เกิดความเสียใจอย่างมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะการสร้างวัด ก็เสร็จไปเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสงสารยิ่งนัก



๒.การทำบุญ เหมือนเอาน้ำหอมมาอาบ คือ เป็นการทำบุญ แบบที่หลายๆ คนเข้าใจ ก็คือ การหวังผลแห่งบุญ แห่งทาน ว่าจะทำให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน และความสะดวกสบาย ได้มาในลาภยศชื่อเสียง เปรียบไปแล้ว ก็เหมือนกับ การเอาน้ำหอมมาอาบ แม้จะสะอาดกว่าน้ำโคลน แต่ก็ยังมีกลิ่นติดตัวคละคลุ้ง ไม่สะอาดหมดจดจริงๆ ซึ่งในสมัยนี้ มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ทำบุญเพราะหวังในผลแห่งบุญ หรือผลแห่งทาน ซึ่งจะว่าไป ก็คงเป็นเพราะกมลสันดาน ของปุถุชน มักมีกิเลส เรื่องของความต้องการ ในโภคทรัพย์ และความสะดวกสบายของชีวิต และบางคนก็ขอโน่น ขอนี่ ให้ได้ไปสวรรค์ชั้นนั้น ชั้นนี้ หรือหวังอานิสงส์อย่างมากมาย จากการทำบุญ จึงพากันเข้าใจผิด คิดไปด้วยว่า ยิ่งทำบุญ แบบให้สิ่งของมาก ก็จะยิ่งได้บุญมากตามไปด้วย ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านได้เตือนสติว่า ใจ หรือเจตนาที่ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุขนั้น เป็นที่ตั้งใหญ่สุด

๓.การทำบุญ เหมือนเอาน้ำสะอาดมาอาบ คือ เป็นการทำบุญ ที่ได้บุญมากที่สุด เพราะเจตนาเพื่อละกิเลส ถ่ายถอนความตระหนี่ ถี่เหนียวในจิตใจ ไม่ได้หวังในผลใด นอกเหนือจากนี้ อุปมาแล้ว ก็เหมือนการอาบน้ำ ด้วยน้ำสะอาด เมื่ออาบแล้ว ก็รู้สึกสดชื่น ร่างกายสะอาดอย่างแท้จริง

อย่างที่สองคือเรื่องของ “วัตถุทาน” พระพุทธศาสนา กล่าวถึงเรื่องวัตถุ ที่จะนำมาทำบุญไว้หลายด้าน ครูบาอาจารย์ ท่านได้แนะนำให้เข้าใจว่า วัตถุทานที่จะทำ เพื่อให้ได้บุญมากนั้น เกิดจาก ๑.วัตถุสิ่งของนั้น เป็นของที่เราได้มาอย่างซื่อสัตย์สุจริต คือหามาได้ ด้วยน้ำพักน้ำแรงเราเอง ไม่ได้เบียดบังใครมา ซึ่งข้อนี้สำคัญที่สุด ในเรื่องของวัตถุ ๒. วัตถุสิ่งของนั้น ก็ควรจะเป็นของ ที่ประณีต อย่างน้อย ก็เป็นระดับเดียวกับผู้ที่ให้ทานนั้นกิน หรือใช้อยู่ ซึ่งไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นของดีๆ แต่หมายถึง วัตถุทานที่มีคุณภาพ ที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้อื่น ต่อการบำรุงพระพุทธศาสนาได้จริง ไม่เป็นภาระให้กับผู้อื่น หรือทางวัด ซึ่งของที่ประณีตนั้น จะบ่งบอกถึงความสามารถของจิตใจ ในการสละสิ่งของ เพื่อละกิเลสได้ดีกว่า คนที่ให้ทาน แต่ยังตระหนี่อยู่ มักจะให้ของเลวกว่าตนเองใช้ ในขณะที่ คนทำทานแบบไม่มีความตระหนี่ จะสามารถให้ของดีได้ โดยไม่หวงแหน ซึ่งก็เป็นการวัดกัน ในเรื่องของใจอีกเช่นกัน

อย่างที่สามคือ “อาการของการให้” คนที่อยากจะให้ทานจริงๆ กับคนที่ไม่เต็มใจจะให้ทาน จะออกอาการต่างกัน ซึ่งคนที่ให้ด้วยอาการเคารพ ยกของทูลขึ้นหัว และน้อมให้ด้วยกิริยาเคารพ อย่างเต็มใจ ย่อมได้บุญมากกว่า คนที่ให้แบบโยนของ แบบส่งๆ ให้แน่นอน เพราะจิตใจของคน ที่เต็มใจให้ จะแช่มชื่นเบิกบานมากกว่า คนที่ให้แบบส่งๆชุ่ยๆ เหมือนกับไม่เต็มใจจะให้

อย่างสุดท้ายก็คือ “ผู้รับทาน” ผู้รับทานนั้น เป็นผู้ที่เหมาะสมจะรับทาน คือเป็นคนดีมีศีลธรรม ยิ่งมีศีลธรรมมาก ก็จะยิ่งได้บุญมากเป็นลำดับ ยกตัวอย่างเช่น หากเราได้ ให้ทานกับโจรที่บาดเจ็บ ให้ข้าวให้น้ำ รักษาตัวจนหาย แล้วเขา ก็ออกไปปล้นชิงชาวบ้าน สร้างความเดือดร้อนต่อ ก็ย่อมได้บุญน้อย แต่หากเป็นผู้ที่มีศีลธรรม เป็นนักปราชญ์ เมื่อช่วยเหลือหรือให้ทานเขาไปแล้ว เขาก็จะนำตนเองไปสร้างประโยชน์ สร้างความเจริญให้กับผู้อื่น และสังคม ผู้ที่ทำบุญ ช่วยเหลือคนดีเอาไว้ ก็ย่อมได้บุญมาก ซึ่งข้อนี้ เป็นคำตอบว่า เหตุใดเอกสาฎกพราหมณ์ จึงได้ผลบุญมากมาย ก็เพราะผู้รับทานของตนเอง เป็นถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้มีบุญคุณสูงสุดกับโลกนี้ ผลบุญจึงมากมายตามไปด้วย

ปัจจัยทั้ง ๔ ข้อนี้ เป็นองค์ประกอบสำคัญ ในการทำบุญด้วยทาน ให้มีผลอานิสงส์มาก บุญมาก หรือน้อย วัดกันที่ “เจตนาเป็นหลักใหญ่สุด” ที่สำคัญ อย่าได้ทำบุญ แบบขาดสติปัญญา ทุ่มหมดหน้าตัก จนทำให้ตนเองไม่มีกิน หรือผู้อื่นเดือดร้อน รำคาญไปด้วย แทนที่จะได้บุญ จะได้บาปไปแทน ครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กรรมของคน ชอบใส่ร้ายป้ายสี และนินทาผู้อื่น

ลูกประเภทไหน ที่เกิดมาทวงหนี้ เกิดมาใช้หนี้พ่อแม่

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

คู่เวรคู่กรรม เกิดมาทำลาย หรือเพื่อชดใช้กรรม

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

รวมคติธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก

วันเข้าพรรษา มีความสำคัญอย่างไร

หนทาง 7 สาย กรรมดีกรรมชั่ว ชีวิตหลังความตาย

พระอเสขะ คือ ผู้ที่หมดความยึดถือทุกสิ่ง