สิริมงคล ๘ ประการ เสริมบุญบารมี ให้ชีวิตรุ่งเรืองตลอดไป

สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้มีคติธรรมและข้อคิด เกี่ยวกับสิริมงคล ๘ ประการ ซึ่งเป็นข้อควรปฏิบัติ เพื่อให้เป็นที่รัก ของเหล่าเทวดาทั้งปวง และเสริมบุญบารมี ให้ชีวิตรุ่งเรืองตลอดไป มาฝาก ครับ



หลายๆ ท่าน อาจจะรู้อยู่แล้วว่า สิริมงคลทั้ง ๘ ประการ ที่ช่วยเสริมบุญบารมี ช่วยให้ชีวิตของเรา เจริญรุ่งเรืองตลอดไปนั้น มีอะไรบ้าง หรือหลายๆ ท่านอาจจะยังไม่รู้ หรือไม่เคยได้ยินมาก่อน คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิดของครูบาอาจารย์ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ได้เสริมบุญบารมีให้กับตัวเอง ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองตลอดไป สิริมงคลที่คุ้มครองเรา ทั้ง ๘ ประการนี้ ครูบาอาจารย์ท่านได้กล่าวว่า ถ้าผู้ใดรักษาสิริ หรือสิริมงคลทั้ง ๘ ประการได้ เทวดาก็จะมารักษา และคุ้มครองท่านผู้นั้น เพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่ตนเอง ซึ่งคำว่า สิริ นั้น มีความหมาย ๒ ประการ คือ
๑. สิริ ที่แปลว่า รวมกัน เช่น เรามักจะได้ยินคำว่า สิริรวมอายุ ได้เท่านั้นได้เท่านี้ ซึ่งหมายความว่า รวมอายุทั้งหมด ได้เท่านั้นได้เท่านี้ปี
๒. สิริ ที่แปลว่า ศรี มิ่งขวัญ มงคล ความดี หรือความงาม หรือสิ่งที่อาศัยอยู่ในบุคคลผู้ทำความดี เป็นต้น และเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น หรือมีอยู่ในตัวผู้ใดแล้ว ก็จะทำให้คนผู้นั้น เกิดความสุข เกิดความเจริญรุ่งเรือง เกิดความดีงามต่างๆ ซึ่งอาจจะตรง หรือใกล้กับคำว่า โชควาสนา และตามหลักโหราศาสตร์ มีความเชื่อกันว่า สิริ มีอยู่ในตัวของคนทุกคน หากแต่ว่า ใครจะรู้จักรักษาสิริ ให้อยู่กับตนเองได้ดี หรือทำลายสิริของตนเองเสีย ส่วนหลักเกณฑ์ หรือข้อปฏิบัติ ในการรักษาสิรินั้น ครูบาอาจารย์ ท่านได้แบ่งไว้ ๘ ประการ
ซึ่ง หากผู้ใด ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ทั้ง ๘ ประการนี้ได้ เทวดาฝ่ายดีจะเข้ารักษา และอำนวยอวยพรให้คนผู้นั้น มีความสุข มีความเจริญ และบังเกิดโชคลาภอยู่เสมอ แต่ถ้าหากผู้ใด รักษาไม่ได้ เทวดาที่เป็นกาลกิณี ก็จะเข้ามาอยู่ และให้โทษ ให้อาภัพอับโชค และเสื่อมถอยในคุณงามความดี ซึ่งข้อปฏิบัติทั้ง ๘ ประการนี้ มีดังต่อไปนี้



๑.ให้เว้นจากการเสพกาม หรือมีเพศสัมพันธ์ ในวัน ที่ตรงกับวันพระ และก่อนถึงวันพระ ๑ วัน ซึ่งได้แก่ วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม และในวันแรม ๑๓ ค่ำ ในเดือนคี่ รวมถึงวันตรุษสงกรานต์ วันสุริยคราส จันทรคราส วันเข้าพรรษา และในวันเกิดของตนเอง การที่ครูบาอาจารย์ ท่านห้ามเสพกาม ในวันพระ และวันเข้าพรรษานั้น เพราะในวันดังกล่าว เป็นวันที่พระพุทธเจ้ากำหนด ให้เป็นวันฟังธรรม ที่เรียกว่า วันธัมมัสสวนะ (อ่านว่า ทำ-มัด-สะ-วะ-นะ) เป็นวันที่เทวดา และมนุษย์ ต้องขวนขวายทำความดี เพื่อชำระกิเลส ชาวพุทธส่วนใหญ่ ก็จะถือศีล ๘ และสวดมนต์ภาวนา เพื่ออบรมตนให้ไกลจากกิเลส และเข้าใกล้นิพพานยิ่งขึ้น ส่วนวันตรุษสงการณ์นั้น ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย เป็นวันที่เหมาะ สำหรับทำบุญ เพื่อต้อนรับสิ่งที่ดี ดังนั้น จึงไม่ควรเสพกาม และในวันสุริยคราส จันทรคราส ถือว่าเป็นวันอัปมงคล หากเสพกามในวันนี้ มีความเชื่อกันว่า จะทำให้วิญญาณของ ภูต ผี ปีศาจ เปรต หรืออสุรกาย มาจุติในท้องได้ ส่วนวันเกิดของตนเองนั้น เป็นวันที่ต้องทำบุญ เพื่อตอบแทนพระคุณแม่ เพราะในวันที่เราลืมตาดูโลกนั้น เป็นวันที่แม่เจ็บปวดทรมานที่สุด ดังคำที่ว่า วันเกิดลูก คือวันคล้ายวันตายของแม่ ดังนั้น เมื่อถึงวันเกิดของตนเองเมื่อใด ก็ควร ที่จะไปกราบเท้าแม่ ทำให้ท่านมีความสุข เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของท่าน

๒. เมื่อเราจะบริโภคอาหาร หรือทานอาหาร ให้บ่ายหน้าไปสู่ทิศบูรพา คือ ทิศตะวันออก ถ้าหากเราทำได้ ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า เทวดาจะรักใคร่ และให้ศีลให้พร ซึ่งในข้อนี้ ก็เป็นปริศนาธรรมของคนโบราณ ที่วางไว้ให้คิด คำว่าทิศบูรพานี้ นอกจากแปลว่าทิศตะวันออกแล้ว ยังแปลว่าทิศเบื้องหน้าอีกด้วย ซึ่งทิศเบื้องหน้านี้ ครูบาอาจารย์ท่านหมายถึง บิดามารดาของเรา กล่าวคือ เมื่อเราได้สิ่งใดที่อร่อยมา ท่านให้นึกถึงบิดามารดา เป็นอันดับแรก ถ้ามีโอกาส เราต้องให้มารดาบิดาท่านได้กินก่อน เพราะพ่อแม่ เป็นพระอรหันต์ของลูก การที่ให้ข้าวให้น้ำแก่พอแม่ จึงเป็นสิริมงคลสูงสุดแก่ชีวิต เทวดาทั้งหลาย ตลอดถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็ทรงสรรเสริญ และอีกประการหนึ่ง ทิศเบื้องหน้านี้ ยังหมายถึง การมองหาคนอื่น ที่พอจะแบ่งปันอาหาร ที่เราพอมีอยู่นี้ให้แก่เขาบ้าง เป็นการแสดงออก ถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ละความเห็นแก่ตัว ให้น้อยลง ในสมัยก่อนนั้น เวลาทานข้าวอยู่ หากมีใครเดินผ่านมา ก็จะเชื้อเชิญให้มารับประทานด้วยกัน ซึ่งมีส่วนช่วย ให้คนในสังคมนั้น อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

๓. เมื่อเวลาจะถ่ายอุจจาระ ให้บ่ายหน้าไปทางทิศปัจฉิม คือ ทิศตะวันตก หากเราทำได้อย่างนี้ เทวดาจะรักใคร่ และอวยพรให้ ซึ่งข้อนี้อธิบายได้ว่า อุจจาระนั้น หมายถึง สิ่งที่ไม่ดี เรื่องที่ทำให้เกิดความทุกข์ ความเสียใจ ตลอดถึงกิเลสตัณหาต่างๆ สิ่งเหล่านี้ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ถ้าเราทิ้งได้ ก็ให้ทิ้งไป เพราะหากเราเก็บไว้ นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์แล้ว ยังสร้างโทษให้กับตัวเองอีกด้วย เปรียบเหมือนกับอุจจาระ ที่เก็บไว้ ก็มีแต่จะเป็นทุกข์ ให้บ่ายหน้าไปทางทิศปัจฉิม ซึ่งปัจฉิมในภาษาพระ ได้แก่ทิศเบื้องหลัง คือ ทิ้งแล้ว ให้หันหลังกลับ ไม่ต้องกลับไปมอง ทิ้งไว้ข้างหลัง เหมือนกับอุจจาระ ทิ้งแล้ว ก็ไม่ต้องเสียดาย และความทุกข์ก็เช่นกัน เมื่อทิ้งแล้วก็อย่าไปเสียดายมัน

๔. ชายหญิง ที่นอนด้วยกัน ต้องให้ผู้หญิงนอนข้างซ้าย ผู้ชายนอนข้างขวา และที่สำคัญ ฝ่ายหญิงห้ามเดินข้ามเท้าฝ่ายชาย ถ้าหากปฏิบัติได้ดังนี้ เทวดาจะรักษา และอำนวยอวยพรให้ สิริข้อนี้ เป็นปริศนาธรรม สอนการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ระหว่างชายหญิง ว่าทำอย่างไร จึงจะเป็นสิริมงคล คือ มีความดีงาม มีความสุข มีความอบอุ่น และมีเจริญรุ่งเรือง การนอนร่วมกันนั้น หมายถึง การตกลงปลงใจเป็นสามีภรรยากัน การให้รู้จักฐานะ และหน้าที่ ของแต่ละคน สามีนอนข้างขวานั้น หมายถึง เป็นผู้ที่รับภาระหนักทุกอย่าง ในฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัว ส่วนผู้หญิงให้นอนข้างซ้าย หมายถึง ให้ช่วยประคับประคองสามี คอยช่วยเหลือเกื้อกูล ในยามที่สามี ต้องรับภาระหนัก เหมือนกับการยกของ ถ้าใช้มือขวายกไม่ไหว ก็ใช้มือซ้ายเข้ามาช่วย การที่ ไม่ให้ฝ่ายหญิง เดินข้ามเท้าฝ่ายชาย ก็หมายความว่า ให้ภรรยามีความเคารพต่อสามี ในฐานะ เป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว ไม่ก้าวล้ำเส้น คิดจะเป็นหัวหน้าครอบครัวเอง ซึ่งบางคู่ ภรรยาถือทิฐิ คิดว่าตัวเองเก่งกว่า เหนือกว่า จึงดูถูก ข่มเหง ดุด่าสามีสารพัด จนทำให้ครอบครัวนั้น ขาดความงาม ไม่มีความเจริญ และหาความสุขไม่ได้ ทำให้สังคมดูหมิ่นดูแคลน เป็นต้น

๕. ชายหญิงที่อยู่ด้วยกัน ท่านห้าม มิให้ใช้ผ้านุ่งร่วมกัน และให้แยกว่า ชุดไหนเป็นชุด สำหรับใส่กลางคืน ชุดไหนเป็นชุด สำหรับใส่กลางวัน ถ้าใช้ผ้านุ่งร่วมกัน หรือเอาชุดกลางคืน มาใส่กลางวัน เอาชุดกลางวัน ไปใส่กลางคืน ท่านว่าจะเสียศรี ดูไม่เหมาะ เทวดารังเกียจ และไม่อำนวยอวยพรให้ คำว่า ผ้านุ่ง ในที่นี้ ครูบาอาจารย์ท่าน หมายถึง เรื่องภายในครอบครัว ผ้านุ่งกลางวัน หมายถึง เรื่องที่ดี ที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว ที่ควรนำมาเปิดเผย ให้ผู้คนได้รับรู้ เหมือนเสื้อผ้าที่สวยงาม ควรนุ่งอวดให้คนเห็น ส่วนผ้านุ่ง ในเวลากลางคืน หมายถึง เรื่องที่ไม่ดี เรื่องเสียหาย เรื่องไม่งาม ภายในครอบครัว ไม่ควรนำมาเปิดเผย เหมือนชุดนอน ไม่ควรนุ่งมาอวดในที่สาธารณะ หรือตามห้างสรรพสินค้า สามีภรรยาที่อยู่ร่วมกันแล้ว ต้องรู้จักแยกแยะ ว่าเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องในครอบครัว เรื่องไหนที่ควรเปิดเผย เรื่องไหนไม่ดี ก็ควรปกปิด โดยเฉพาะเรื่องไม่ดีของคู่ครอง ที่นำมาเปิดเผย แล้วทำให้เขาเสียหาย หรืออับอาย แต่ถ้าเป็นเรื่องดี เรื่องที่น่าภูมิใจ ก็นำมาเปิดเผยได้ ถ้าทำได้ดังนี้ สิริ คือ ความสุข ความร่มเย็น ความเป็นมงคล ก็จะเกิดขึ้นในครอบครัว และในชีวิต

๖. เวลาหลังตื่นนอน ก่อนออกจากบ้าน ให้เอาน้ำล้างหน้า ตกแต่งใบหน้า ให้ดูดีสวยงาม จึงจะเป็นมงคลแก่ชีวิต เทวดา ก็จะตามรักษา และอำนวยอวยพร ให้โชคดีตลอดวัน ซึ่งคนโบราณ เชื่อกันว่า ราศี หรือสิ่งที่จะทำให้เรา เกิดความโชคดีนั้น อยู่ที่ใบหน้า ดังนั้น ท่านจึงให้ล้างหน้า ทำความสะอาด และตกแต่งใบหน้า ให้ดูดีเสมอ ก่อนออกจากบ้าน แต่ความจริงแล้ว ในข้อนี้ ครูบาอาจารย์ ท่านไม่ได้หมายถึง เฉพาะการแต่งหน้าแต่งตา ให้ดูสวยดูดีเท่านั้น แต่ยังหมายถึง การทำใบหน้า ให้เบิกบานแจ่มใส มีรอยยิ้ม ไม่บูดบึ้ง และอารมณ์ดี เพราะการแต่งหน้าให้สวยงาม แต่ใบหน้าบึ้งตึง คงจะไม่ช่วยให้ราศีของเราดีขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดีเบิกบาน ถึงเราไม่แต่งหน้า หรือทาปาก ก็ยังดูดี และมีเสน่ห์อย่างมาก

๗. เวลาเที่ยง ให้เอาน้ำพรมที่หน้าอก ตรงหัวใจ ถ้าทำอย่างนี้ได้ จะเกิดสิริมงคลแก่ตน เพราะคนโบราณ เชื่อกันว่า เวลาเที่ยงนั้น ราศีจะย้ายจากใบหน้า มาอยู่ที่อก หากเอาน้ำมาพรมที่อก ก็จะทำให้รู้สึกสดชื่น มีโชคลาภ การงานก็จะเจริญ แต่ในความเป็นจริง เวลาเที่ยงวัน เป็นเวลาที่อากาศร้อนจัด เหงื่อไหลไคลย้อย เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะ ทำให้อารมณ์เสีย และหงุดหงิดง่าย และจะพลอยทำให้การงาน ที่ทำอยู่นั้นเสียหาย ครูบาอาจารย์ ท่านให้เอาน้ำลูบอก เพื่อดับความร้อนในร่างกาย ช่วยทำให้จิตใจเย็นลง แต่สำหรับบางท่าน สถานที่อาจจะไม่เอื้ออำนวย หรือไม่สะดวก ที่จะนำน้ำมาลูบอก ก็ไม่เป็นไร เพราะอันที่จริงแล้วในข้อนี้ ครูบาอาจารย์ ท่านต้องการให้เรา ใช้หลักความใจเย็น คือ ทำอะไรให้ใจเย็นๆ อย่าผลีผลามและวู่วาม เพราะถ้าเราใจร้อน บวกกับอากาศที่ร้อน ก็จะก่อให้เกิด การทะเลาะเบาะแว้งกัน ได้ง่าย

๘. เวลาเย็น ให้เอาน้ำ ล้างเท้าก่อนเข้านอน เพราะคนโบราณ เชื่อกันว่า ในตอนเย็นนั้น ราศีของคน จะอยู่ที่หัวแม่เท้า และใจกลางเท้า ถ้าได้ล้างเท้าก่อนเข้านอน ก็จะทำให้นอนหลับฝันดี เทวดา ก็จะคุ้มครอง อวยพรให้โชคให้ลาภ และป้องกันอันตราย ไม่ให้เกิดขึ้นกับเราอีกด้วย แต่ในความเป็นจริงในข้อนี้ ครูบาอาจารย์ ท่านหมายถึงว่า เมื่อถึงเวลาเข้านอนแล้ว ให้ปล่อยวางธุระ ทั้งหมดทิ้งเสีย ให้เข้านอนพักผ่อนให้เต็มที่ เก็บกำลังชาร์ตแบตเตอรี่ใหม่ เตรียมพร้อม สู้กับงานต่อ ในวันถัดไป เมื่อทำได้อย่างนี้ ก็จะทำให้เรา มีกำลังต่อสู้กับงานต่อไป ได้อีกยาวนาน ซึ่งการดูแลสุขภาพ การพักผ่อนให้เพียงพอนั้น มีความสำคัญมาก พอๆ กับการทำงานหาเงิน เพราะหากมีเงินมากๆ แล้ว จะมีประโยชน์อะไร ถ้าต้องเอาเงินที่หาได้ มาเป็นค่ารักษาตัวเอง ดังนั้น ท่านจึงให้ปล่อยวาง ธุระทั้งหมดเสีย และพักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่ เมื่อถึงเวลาที่เราต้องพักผ่อน

เป็นยังไงบ้างครับคุณผู้ชม สิริมงคล ๘ ประการ เสริมบุญบารมี ให้ชีวิตรุ่งเรือง ซึ่ง สิริทั้ง ๘ ประการนี้ เป็นข้อปฏิบัติ ที่คนรุ่น ปู่ย่า ตายาย ได้บัญญัติไว้ หากใครปฏิบัติตามได้ ก็จะเกิดความสุข ความเจริญอย่างยิ่ง แต่การจะให้มีความสุข ความเจริญ ได้อย่างบริบูรณ์ เราต้องรู้จักประยุกต์ใช้ให้ถูกต้อง หากท่านใด ได้ปฏิบัติตาม วิธีการรักษาสิริทั้ง ๘ ประการนี้ รับรองว่า ความเป็นสิริ ความเป็นมงคล และความสุข ความเจริญ จะบังเกิดแก่ตัวท่าน และครอบครัวอย่างแน่นอน ครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

กรรมของคน ชอบใส่ร้ายป้ายสี และนินทาผู้อื่น

หนทาง 7 สาย กรรมดีกรรมชั่ว ชีวิตหลังความตาย

การเบียดเบียนผู้อื่น จะนำทุกข์มาให้ตนเอง

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

รวมคติธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก

บาปกรรมหนัก 3 ข้อ ของการเป็นชู้ คบชู้และนอกใจ

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

วันเข้าพรรษา มีความสำคัญอย่างไร

คู่เวรคู่กรรม เกิดมาทำลาย หรือเพื่อชดใช้กรรม