เป็นทุกข์ จากการพลัดพราก ปล่อยวางอย่างไรดี
ครูบาอาจารย์ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักนั้น ก็ย่อมจะทำให้มีความทุกข์ เป็นเรื่องธรรมดา และการพบเห็น ในสิ่งที่ไม่รัก ก็ย่อมจะทำให้เป็นทุกข์ เช่นเดียวกัน ส่วนความทุกข์ที่เกิด จากการพลัดพรากนั้น มันเป็นเรื่องที่ทรมานใจ ของหลายๆ คน เป็นอย่างมาก และการที่เราจะไปบังคับ เพื่อไม่ให้พลัดพรากกันนั้น มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะเราทุกคนที่เกิดมา เมื่อถึงเวลา ก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก และสิ่งที่พอใจ ในวันใดวันหนึ่ง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยาก ที่เราจะไม่มีความโศกเศร้าเสียใจ แล้วทำไม เราจึงต้องโศกเศร้าเสียใจด้วย ท่านว่าการที่เราโศกเศร้าเสียใจนั้น ก็เป็นเพราะ เรามีความผูกพันในสิ่งอันเป็นที่รัก แต่ถ้าหากเราไม่มีความผูกพัน ไม่ติดข้องแล้ว เราก็จะไม่เสียใจ และจะปล่อยวางได้ในระดับหนึ่ง ท่่านว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มันไม่มีอะไร เที่ยงแท้แน่นอน เมื่อมีเริ่มต้น มันก็ย่อมมีการสิ้นสุด
ถึงแม้ว่า เราจะต้องการ หรือไม่ต้องการก็ตาม เมื่อถึงเวลา เราก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งของ หรือคนที่เรารัก เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงไปได้ และยิ่งถ้าเรารักมาก เราเองก็จะยิ่งโศกเศร้าเสียใจอย่างมาก และได้รับความทุกข์ อย่างแสนสาหัส ซึ่งบางคนนั้นอาจจะถึงขั้น ทิ้งการทิ้งงาน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เจ็บไข้ได้ป่วย หรือถึงขั้นฆ่าตัวตายก็มี และที่เสียใจมากจนเป็นบ้า ก็มีเช่นเดียวกัน หรือบางคน ก็ซึมเศร้าหงอยเหงา และจมอยู่กับอดีต เหมือนคนที่ไร้อนาคต หมดหวังในชีวิต ก็มีเช่นกัน ฉะนั้นการที่เรา ปล่อยให้ความโศกเศร้าเสียใจ เข้าครอบงำ ก็ย่อมจะทำให้เกิดโทษอย่างมากมาย ดังนั้น เราควรจะระงับความโศกเศร้าเสียใจ ด้วยคำสอน หรืออุบายที่พระพุทธเจ้า และพระสาวก ท่านทรงสอนเตือนสติ และปลอบใจ สำหรับคนที่มีความทุกข์ ในเรื่องของการพลัดพราก เพื่อให้คลายจากความทุกข์ ความโศกเศร้าไปได้ ก็มีเรื่องของผู้หญิง ที่ชื่อ กิสาโคตมี ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า ในอดีตกาล ณ กรุงสาวัตถี มีหญิงสาวยากจนคนหนึ่ง นางชื่อว่า กิสาโคตมี และกิสาโคตมีนี้ เมื่อนางแต่งงานได้สามีแล้ว พ่อแม่ และญาติของสามี ก็ดูถูกนางต่างๆ นานา ว่านางเป็นลูกสาวของตระกูลที่ยากจน แต่นางก็ทนอยู่กับสามีได้ จนต่อมาไม่นาน นางกิสาโคตมี ก็ได้คลอดลูกชายออกมา และหลังจากนั้น ก็ได้รับการยกย่อง จากพ่อแม่ และญาติของสามีอย่างดี แต่ความดีใจของนาง ก็อยู่ไม่นาน เมื่ออยู่ๆ ลูกชายของนางก็ตายลง ในขณะที่กำลังวิ่งเล่น นางกิสาโคตมีจึงร้องให้ แทบจะเป็นบ้า ซึ่งนางโศกเศร้าเสียใจอย่างมาก และด้วยความไม่มีสติ นางจึงอุ้มร่างลูกชายที่ตายแล้ว วิ่งไปทั่วเมือง เพื่อจะร้องขอยาให้ลูกชาย แล้วก็มีชายคนหนึ่ง ได้แนะนำว่า ให้นางไปขอยาจากพระพุทธเจ้า เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางจึงรีบไปขอทันที พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า ถ้าเธอไม่อยากให้ลูกชายตาย ก็จงไปนำเมล็ดผักกาด หยิบมือหนึ่ง มาบ้านของคน ที่ยังไม่เคยมีใครตาย เมื่อได้ยินดังนั้น นางกิสาโคตมี ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก นางรีบอุ้มลูกชาย วิ่งเข้าไปในเมืองอีกครั้ง และเมื่อไปที่บ้านหลังแรก นางก็ได้รับคำตอบว่า บ้านหลังนี้เคยมีคนตายมาแล้ว แต่นางก็ไม่ยอมแพ้ นางรีบไปขอบ้านหลังอื่นๆ ต่อ ซึ่งก็ได้รับคำตอบเช่นเดิม นางกิสาโคตมี ตระเวนหาบ้าน ที่ไม่เคยมีคนตายมาก่อน จนกระทั้งเย็น แต่นางก็ไม่ได้เมล็ดผักกาด แม้แต่เมล็ดเดียว เพราะว่าทุกบ้านที่นางไปนั้น ก็ล้วน เคยมีคนตายมาแล้วทั้งสิ้น นางกิสาโคตมีจึงได้สติ เพราะคิดว่า ลูกชายของนางเท่านั้นที่ตายไป แต่ในบ้านทุกหลังที่นางไป ก็ล้วนมีคนเคยตายเช่นกัน เมื่อนางคิดได้อย่างนี้ นางก็สลดใจ และคลายความโศกเศร้าลง จากนั้น นางก็อุ้มร่างลูกชายออกไปนอกเมือง เอาศพลูกชายไปไว้ที่ป่าช้า พร้อมกับกล่าวว่า ความไม่เที่ยง ไม่ได้เกิดขึ้น แค่กับคนจน คนรวย หรือใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เกิดกับชาวโลกเหมือนกันทั้งหมด หลังจากนั้น นางก็กลับไป เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสถามนางว่า เธอได้เมล็ดผักกาดมาแล้วหรือ นางกิสาโคตมี ก็ตอบปฏิเสธ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เธอเข้าใจว่า ลูกชายของเธอเท่านั้นที่ตายไป แต่ความตายนั้น เป็นธรรมที่ยั่งยืน สำหรับสัตว์ทั้งหลาย โลกใบนี้ เป็นโลกของความทุกข์ เมื่อมีการเกิด ก็ต้องมีการแก่ การเจ็บ และการตายเกิดขึ้น แต่ที่เราเป็นทุกข์ ก็เพราะเราพยายามที่จะฝืนมัน ซึ่งธรรมดาของโลกมันเป็นเช่นนี้ สรรพสิ่งทั้งหลาย จะเปลี่ยนแปรอยู่ทุกขณะ ไม่มีอะไรจะคงอยู่ ในสถานะเดิม ความสุขในโลก ก็เปรียบเสมือนความฝัน ส่วนของ ที่ขอยืมเขามา อย่างเช่น ทรัพย์สมบัติ ข้าวของเงินทอง ทั้งหมดนี้ มันไม่ใช่ของเรา เพราะเมื่อตายไปแล้ว เราทิ้งหมด เราเอาไปไม่ได้ ฉะนั้น อย่าไปหลงมัวเมาให้มาก เราควรคิดอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นของโลก ส่วนที่อยู่ในความครอบครองของเรานั้น มันเป็นแค่เพียง การยืมมาใช้ เพียงชั่วครั้ง ชั่วคราวเท่านั้นเอง
ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสสอน ให้เราพิจารณาเอาไว้ ๕ ประการ นั่นก็คือ
๑. เราจะต้องแก่เป็นธรรมดา เราจะไม่แก่ ไม่ได้
๒. เราจะต้องเจ็บไข้เป็นธรรมดา เราจะไม่เจ็บไข้ ไม่ได้
๓. เราจะต้องตายเป็นธรรมดา เราจะไม่ตาย ไม่ได้
๔. เราจะต้องพลัดพราก จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น
๕. เรามีกรรมเป็นของตัวเอง เมื่อทำกรรมใดไว้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่ว เราจะต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น