ทำไมเราต้องทำบุญ เราทำบุญเพื่ออะไร

สวัสดีครับ วันนี้ผมมีคติธรรมและข้อคิด เรื่องของการทำบุญ ว่าทำไมเราต้องทำบุญ มาฝาก ครับ


สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ท่านได้เทศน์เรื่องทำบุญไว้ว่า "ทำไมเราต้องทำบุญ" เพราะบุญนั้น เป็นพลังงาน ที่มีพลังดึงดูด ความเจริญ มาสู่ชีวิต และเป็นต้นเหตุ แห่งความสุข ความสำเร็จ ในชีวิต ถ้าเราบุญน้อย อุปสรรคในชีวิตก็มาก ถ้าเราบุญมาก อุปสรรคในชีวิตก็น้อย ถ้าบุญอ่อนกำลังลง หรือ บุญหมด บาปที่เคยทำไว้ ก็จะได้โอกาส ส่งผล ทำให้ชีวิต มีอุปสรรค ต่างๆ นานา เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความสุข หมดอำนาจวาสนา เสียชื่อเสียงเกียรติยศ แม้คนที่รักกันก็หมดรัก แม้ทรัพย์ที่มีอยู่น้อยนิด ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ ฉะนั้น การที่เราจะมี ทรัพย์สมบัติทุกอย่าง และ ความสมบูรณ์พร้อมในชีวิต ก็ต้องมีบุญ ที่มากเพียงพอ ซึ่งไม่ว่า จะอยู่ในสถานภาพใด ล้วนต้องอาศัยบุญทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยากอยู่แบบพอมีพอกิน หรือ คิดจะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี หรือ พระเจ้าจักรพรรดิ แม้กระทั่ง ปรารถนา ที่จะหมดกิเลส บรรลุมรรคผล นิพพาน เป็นพระอรหันต์ เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องมีบุญถึง บารมีถึง ถึงจะดำรงอยู่ในสภาวะนั้น ได้อย่างมั่นคง และมีความสุข ด้วยเหตุนี้ เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะสั่งสมบุญ เพราะบุญ คือ เบื้องหลังความสุข ความสำเร็จ ในชีวิตทุกระดับ อย่างแท้จริง ครับ

คำว่า บุญ แปลว่า เครื่องชำระสันดาน แปลว่า ความดี แปลว่า ความสุข หรือแปลว่า ความประพฤติชอบทางกายวาจา และใจ ซึ่งเป็นหลัก ในการสร้างกรรมดี ทางพระพุทธศาสนา การทำบุญนั้น เราสามารถทำได้หลายวิธี และทำได้หลายทาง แต่เมื่อสรุป การทำบุญ ทุกบุญแล้ว ก็จัดอยู่ในหลัก ๓ ประการ คือ การให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญจิตภาวนา

ทาน คือ การให้ การเสียสละ การแบ่งปัน การช่วยเหลือเกื้อกูล สนับสนุน หรือส่งเสริม การให้วัตถุสิ่งของ ให้แรงกาย ให้ความรู้ ให้คำแนะนำ หรือให้อภัย

ศีล คือ การควบคุมกาย วาจา ไม่ให้ทำความผิด ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ให้ได้รับความเดือดร้อน ให้ความปลอดภัย ให้ความไว้วางใจ มีความซื่อสัตย์สุจริต มีมารยาท ที่เรียบร้อย และงดงาม

ภาวนา คือ การทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ ด้วยการนั่งสมาธิ การไหว้พระสวดมนต์ การน้อมพิจารณาความจริงของชีวิต เพื่อให้สภาพจิตใจมีความสะอาด สว่าง หรือสงบ อยู่เหนือความโกรธ ความโลภ ความหลง และการเชื่อ ในบาปบุญคุณโทษ การมีสติปัญญาที่บริสุทธิ์ ปราศจากความอคติ ลำเอียง และมองโลกตามความเป็นจริง

ทุกบ่อบุญ ทุกความดีนั้น เราทำไป ก็เพื่อวัตถุประสงค์ ๗ ประการ ซึ่งมีดังนี้
๑. เพื่อกตัญญูบูชา
๒. เพื่อขอขมาขอลาโทษ
๓. เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน
๔. เพื่ออุทิศบุญกุศล
๕. เพื่อความเป็นสิริมงคล
๖. เพื่อชำระใจตนให้บริสุทธิ์
๗. เพื่อสมบัติสูงสุด ๓ ประการ ซึ่งแต่ละข้อนั้น ขยายความได้ดังต่อไปนี้

๑. เราทำบุญ เพื่อกตัญญูบูชา ในฐานะเราคนพุทธ ชาวพุทธ จะต้องแสดงความกตัญญู บูชาคุณ ต่อท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ซึ่งมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูอาจารย์ และท่านผู้ที่มีบุญ มีคุณต่อเรา ด้วยการทำบุญ ทำความดี ตอบแทนบูชา พระคุณท่าน เหตุที่เราต้องทำบุญ เพื่อแสดงความกตัญญู บูชาคุณ ต่อท่านทั้งหลายเหล่านี้ ก็ด้วยเหตุที่ว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์นั้น เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เป็นหลักใจ เป็นผู้ที่ชี้ทางสว่าง ทางแห่งความดี ช่วยให้เรา สามารถดำเนินชีวิต ได้อย่างถูกต้อง ตามธรรมนองคลองธรรม และหลุดพ้น จากความทุกข์ทั้งปวงได้

พ่อแม่ คือ บุคคลที่มีพระคุณสูงสุด พ่อแม่นั้น มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ ๕ ประการ คือ
๑.ให้กำเนิดมา
๒.ให้การดูแลรักษา
๓.ให้สติปัญญาวิชาความรู้
๔.ให้ที่อยู่ที่อาศัย
๕.ให้ปัจจัยเลี้ยงชีวิต
ซึ่งในโลกนี้ ไม่มีใครให้เรา ได้นอกจากพ่อแม่เท่านั้น ลูกทุกคนนั้น ชื่อว่า เป็นหนี้บุญคุณต่อพ่อแม่ หนี้บุญคุณ เป็นหนี้ ที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น ลูกทุกคน จะต้องมีความกตัญญูรู้คุณ สำนึกคุณ ซาบซึ้ง ในพระคุณของท่าน และตอบแทนพระคุณท่าน ให้ได้ตามกำลัง ความสามารถของตน

ครูอาจารย์ คือ ผู้ที่ให้ความรู้ ให้สติปัญญา ทั้งทางโลกทางธรรม ทำให้เรารู้จักผิดชอบชั่วดี อ่านออกเขียนได้ และมีวิชาความรู้ต่างๆ สำหรับใช้ ประกอบสัมมาอาชีพ เลี้ยงชีวิตของตนเอง ให้อยู่รอดปลอดภัยได้ และท่านผู้ที่มีบุญ มีคุณต่อเรา ที่ท่านเคย ได้ให้ การสงเคราะห์ อุปถัมภ์ค้ำชู สนับสนุน ส่งเสริม ช่วยเหลือเกื้อกูล คอยดูแลช่วยเหลือ ให้กำลังใจ ในยามที่เรา ตกทุกข์ได้ยาก ตลอดถึง ท่านผู้ที่ได้ผลิต คิดค้น สิ่งที่มีคุณมีประโยชน์ต่อโลก อย่างมากมาย เช่น ระบบการคมนาคม การขนส่ง การไฟฟ้า โรงเรียน หรือโรงพยาบาล วัดวาอาราม เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ มีคุณ มีค่า ทำให้โลกเจริญขึ้น ดีขึ้น ทำให้คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของเราดีขึ้น มีความสะดวกสบาย ปลอดภัย นานัปการ

บุพการีชน คือ ผู้ที่ได้ทำประโยชน์ ให้แก่ผู้อื่นก่อน โดยไม่หวังผลตอบแทน ท่านทั้งหลายเหล่านี้ จึงควรได้รับ การเคารพสักการะบูชา การบูชาบุคคล ผู้ที่มีพระคุณต่อเรา ถือว่า เป็นมงคลของชีวิตสูงสุด เพราะฉะนั้น เราจึงต้องทำบุญ ทำความดี ประกาศคุณงามความดีของท่าน เพื่อเป็นการตอบแทน คุณงามความดีของท่าน ที่มีต่อเรา ให้ได้ทุกทาง ทุกวิธี ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี บันฑิตทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญ เทวดาย่อมชื่นชม อนุโมทนา สาธุการ

๒. เราทำบุญ เพื่อขอขมาขอลาโทษ บาปกรรม ที่เป็นความผิดน้อยใหญ่ ที่เป็นตราบาปในชีวิตเรา ที่เราได้เคยประพฤติผิด คิดพลาดทำลงไป ด้วยเจตนาก็ตาม ไม่มีเจตนาก็ตาม รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม จะต่อบุคคลก็ดี ต่อสถานที่ก็ดี ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายก็ดี ในอดีตที่ผ่านมาแล้วนั้น การที่จะให้หมดบาป หมดกรรม หมดมลทิน กลายเป็นอโหสิกรรม มีโทษเบาบางลงได้นั้น ในทางศาสนา ท่านให้ทำความดี เพื่อละลายบาป เพื่อทดแทน แก้ไข ไถ่ถอน โดยการน้อมบุญที่ได้ทำแล้วนั้น เป็นเครื่องขอขมา ขอลาโทษ เพื่อเป็นการสำนึกผิด ยอมรับ ความผิด ที่ได้ผิดพลาดประมาทแล้ว บุญเท่านั้น ที่จะลดอานุภาพ แห่งบาปกรรมได้ วิบากแห่งบาปกรรม ที่ทำลงไปนั้น ตราบใดที่ ยังไม่เป็นอโหสิกรรม กรรมนั้น ย่อมให้ทุกข์ให้โทษ ก่อเกิดผลร้าย เช่น ปิดบัง เหนี่ยวรั้ง กักขัง วุ่นวาย ทำลาย บีบคั้น กลั่นแกล้ง ซ้ำเติม ตีรวน ก่อกวน ผันผวน ผิดพลาด ติดขัด ขัดข้อง ยุ่งยาก ลำบาก ยากจน มืดมน ทนทุกข์ ทรมาน เกิดขึ้นกับตัวเรา อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

๓. เราทำบุญ เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน โลกนี้ อยู่ได้ ด้วยการให้ การให้ การเสียสละ การแบ่งปัน การช่วยเหลือเกื้อกูล ซึ่งกันและกัน เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข ความสงบร่มเย็น ความเจริญรุ่งเรือง แก่โลกแก่สังคม ทำให้โลกนี้น่าอยู่ การให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน ปรารถนาเพื่อ ให้คนอื่นมีสุขโดยส่วนเดียว เป็นการให้ที่ประเสริฐที่สุด

๔. เราทำบุญ เพื่ออุทิศบุญกุศล การอุทิศบุญกุศล เป็นบุญกิริยา เป็นประเพณีที่ชาวพุทธ ถือปฏิบัติกัน อย่างเคร่งครัด เมื่อมีบุคคล ที่ตนเคารพรัก ล่วงลับไปแล้ว ต่างก็พากัน ทำบุญเพื่ออุทิศให้ ด้วยบุญพิธีต่างๆ แม้ไม่สามารถ พิสูจน์ได้ว่า จะไปถึง หรือไม่ก็ตาม แต่โดยหลักคำสอน และความเชื่อ ในทางศาสนาแล้ว ก็เชื่อกันว่า ย่อมสำเร็จประโยชน์ได้ ถึงแม้ว่าท่านเหล่านั้น ไม่ได้รับก็ตาม หรือได้รับก็ตาม ผู้ทำก็ย่อมจะมี ความรู้สึกสบายใจ สุขใจ รับรู้ได้ ด้วยใจตน บุญที่ทำนั้น ก็ใช่ว่าจะอุทิศให้เฉพาะ แค่ญาติมิตรของตน ที่ล่วงลับแล้ว แต่ยังแผ่บุญ แผ่กุศลนี้ ให้แก่เหล่าเทวดาฟ้าดิน สรรพสัตว์ทั้งหลาย ดวงวิญญาณทั้งหลาย ทั้งมนุษย์ และอมนุษย์ เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ และตาย ทุกภพ ทุกภูมิ ทั่วโลก ทั่วจักรวาล อย่างไม่มีประมาณ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ให้ได้รับโดยทั่วกัน ถือว่า เป็นการแผ่ ซึ่งเมตตากรุณาธรรม ที่ประเสริฐ ก่อให้เกิดเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ตนอีกด้วย

๕. เราทำบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคล มงคล แปลว่า ความสุข ความเจริญ ทางศาสนากล่าวไว้ว่า มงคลแท้ มงคลธรรม คือ การทำความดี การทำบุญ การประพฤติ ตามหลักศีล หลักธรรม การทำบุญ ในแต่ละครั้ง ก็คือ การสร้างสิริมงคล ให้เกิดขึ้น แก่ตนเอง และครอบครัววงศ์ตระกูล เพื่อนฝูงมิตรสหาย ธุรกิจการงาน คนมีบุญ คือ คนที่มีความสุข คือ คนที่มีโอกาสเลือก เอาความสุข มาครอบครอง ได้มากกว่าคนอื่น คนมีบุญ เป็นคนที่สุขง่าย ทุกข์ยาก ชีวิตคนบุญ ย่อมประสบแต่ความโชคดี อยู่เสมอ มีบุญ ก็มีทุกอย่าง หมดบุญ ก็หมดทุกอย่าง อานุภาพแห่งบุญ ที่ทำด้วยจิตเจตนา ที่บริสุทธิ์นั้น ย่อมมีอานิสงส์ ช่วยให้เรา ทำ พูด คิดสิ่งใด ก็สำเร็จง่าย มีความสะดวกสบาย ไม่มีติดขัด ไม่มีขัดข้อง มีแต่เรื่องสบายอก สบายใจ ไม่เดือดร้อน สมหวังในสิ่งปรารถนา เจริญรุ่งเรือง ในหน้าที่การงาน มีชีวิตที่มั่นคง ไม่มีตกอับ ตกต่ำ มีความร่ำรวย ด้วยแก้ว แหวน เงินทอง เหลือกินเหลือใช้ ไม่มีอด ไม่มีหมด ไม่มีจน ถึงแม้จน ก็จนไม่นาน ปลอดภัย ไร้ศัตรู ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ใหม้ สุขกาย สุขใจ ไม่มีเรื่องหนักอก หนักใจ โชคดีกว่าทุกคน โชคดีไปทุกเรื่อง มีโชคมีลาภเกิดขึ้นเสมอ เป็นหนึ่ง ไม่เป็นสองรองใคร มีแต่ชนะ ไม่มีแพ้ บริวารดี ครอบครัวดี เพื่อนฝูงมิตรสหายดี ได้ดั่งวาดหวังตั้งใจ

๖. เราทำบุญ เพื่อชำระใจตนให้บริสุทธิ์ หลักสำคัญที่สุด ในการทำบุญ ก็คือ การชำระจิตใจ ของตนให้สะอาด สว่าง สงบ บริสุทธิ์ผ่องใส ปกติแล้ว สภาพจิตใจของคนเรานั้น เต็มไปด้วยความตระหนี่ถี่เหนียว มีแต่ความโลภ ความอยากได้ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด มีแต่ความโกรธ ความหลง ความเห็นแก่ตัวครอบงำ ครอบครอง เรือนจิตเรือนใจ บริหารจิต บริหารใจ เราอยู่ตลอดเวลา สภาพจิต ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ย่อมเป็นเหตุ ให้มีแต่ความทุกข์ ความเศร้าหมอง เกิดทุกข์ได้ง่าย เกิดสุขได้ยาก เพราะฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้วางหลัก ในการชำระจิตใจของเรา ให้บริสุทธิ์ไว้ ด้วยการทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อเป็นเครื่องขัดเกลา ขูดเกลาจิตใจ ให้บริสุทธิ์ ปราศจาก บาปอกุศลต่างๆ

๗. เราทำบุญ เพื่อสมบัติสูงสุด ๓ ประการ สมบัติ ๓ ประการ ก็คือ มนุษย์สมบัติ ๑ สวรรค์สมบัติ ๑ นิพพานสมบัติ ๑
ซึ่งมนุษย์สมบัติ เป็นสมบัติชั้นเลิศ การที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ท่านว่าเป็นเรื่องยาก ต้องเป็นผู้มีบุญมาก ถึงจะมีสิทธิ์มาเกิดได้ และไปเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ยิ่งได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ ที่มีคุณภาพ มีความพรั่งพร้อม ด้วยทรัพย์สมบัติ ในทางโลก มีสติปัญญาดี มีสุขภาพดี ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง การเกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสทำความดี ได้มากกว่าสัตว์ทุกประเภท ทุกจำพวก ทุกภพทุกภูมิ และอีกนัยหนึ่ง หากได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ไม่สร้างคุณงามความดีใส่ตัว ความเป็นมนุษย์นั้น ก็ไม่สมบูรณ์ เป็นมนุษย์ที่ขาดคุณภาพ ตกไปเป็นสมบัติของใคร ก็นำแต่โทษ แต่ทุกข์ ไปสู่บุคคลนั้น สังคมนั้น ทำให้ ไม่ได้เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ ที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีมนุษย์สมบัติ ที่ดีติดตัว

สวรรค์สมบัติ เป็นสมบัติที่ควรจะได้ ในยามที่ละโลกนี้ไปแล้ว เป็นที่พักชั่วคราว ของผู้มีบุญ เป็นที่มีความสุข มากกว่าทุกภพภูมิ ก่อนที่หมดบุญ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ในช่วงที่เรายังมีชีวิตอยู่ และยังต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฏนี้ ไม่ควรประมาท ควรรีบเร่งแสวงหา บุญกุศล คุณงามความดี เพื่อจะได้ไปเกิด ในภพภูมิที่ดี ทุกภพชาติ ควรให้ได้รับแต่สิ่งที่ดี พบเจอแต่สิ่งที่ดี อยู่แต่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี สภาพความเป็นอยู่ที่ดี เหมือนเราเลือกเกิดได้ จะได้ไม่พลาดตก ไปอยู่ในภพภูมิที่ไม่ดี สิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือคนทุกข์ คนยาก คนลำบาก คนพิการ เป็นต้น

นิพพานสมบัติ คือ สมบัติสูงสุดในพระพุทธศาสนา ใครได้สมบัตินี้แล้ว ก็สิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องมาเกิด เป็นมนุษย์ให้ลำบากอีกต่อไป และไม่ต้องไปเกิด เป็นอย่างอื่นอีก เพราะหมดเชื้อ สิ้นเชื่อในการเกิด เพราะตัวเชื้อที่นำไปเกิด คือ กิเลสตัณหา ได้หมดเชื้อ สิ้นเชื้อ โดยสิ้นเชิงแล้ว บุญที่ทำไป ทุกบ่อบุญ ย่อมจะรวมตัวเป็น บารมีธรรม หนุนนำ ช่วยส่งเสริม เติมเต็ม เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เป็นช่องทาง นำพาเรา ให้ได้พบ ให้ได้มา ซึ่งสมบัติทั้ง ๓ อย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้น ในการทำบุญแต่ละครั้ง ควรให้ได้ครบ ตามวัตถุประสงค์ ที่กล่าวแล้ว เพื่อจะได้ สำเร็จประโยชน์สูงสุด ในการทำบุญ แต่ควรจำ และระวังไว้ว่า การทำบุญ ในแต่ละครั้งนั้น บุคคลที่จะให้ก็ดี วัตถุทานที่จะให้ก็ดี ก่อนให้ก็ดี ขณะให้ก็ดี และครั้นเมื่อให้สำเร็จแล้วก็ดี จิตเจตนาศรัทธา ต้องให้ดีพร้อม ต้องบริสุทธิ์ ไม่เป็นเหตุทำให้ตน และคนอื่น เกิดความเดือดร้อน บุญนั้น ย่อมจะเกิดดอก ออกผล เป็นความสุข ความเจริญให้แก่เรา ให้สำเร็จประโยชน์ ทั้งทางโลก ทางธรรม ทั้งโลกนี้ และโลกหน้า อย่างแน่นอน



พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ ในโลกหน้า ผู้ทำบุญ แล้วย่อมยินดี ในโลกนี้ ตายแล้ว ย่อมยินดี ชื่อว่า ยินดีในโลกทั้งสอง เขาย่อมยินดีว่า เราทำบุญไว้แล้ว ไปสู่สุคติ ย่อมยินดียิ่งขึ้น ถ้าบุคคล จะพึ่งทำบุญ ควรทำบุญนั้นบ่อยๆ ควรทำความพอใจ ในบุญนั้น การสั่งสมบุญ นำความสุขมาให้ ไม่ควรดูหมิ่น ต่อบุญว่า มีประมาณน้อย จักไม่มีมาถึง แม้หม้อน้ำ ย่อมเต็มได้ด้วยหยาดน้ำ ที่ตกลงมาฉันใด ผู้มีปัญญา สั่งสมบุญ แม้ทีละน้อย ย่อมเต็มได้ด้วยบุญ ฉันนั้น สหายเป็นมิตร ของคนผู้มี ความต้องการ เกิดขึ้นบ่อยๆ บุญทั้งหลาย ที่ตนทำเองนั้น จะเป็นมิตร ในสัมปรายภพ ครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ขอบคุณที่มา http://purifilm.blogspot.com/2018/01/ep27.html

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

บาปกรรมหนัก 3 ข้อ ของการเป็นชู้ คบชู้และนอกใจ

กรรมของคน ชอบใส่ร้ายป้ายสี และนินทาผู้อื่น

หนทาง 7 สาย กรรมดีกรรมชั่ว ชีวิตหลังความตาย

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

พุทธประวัติ EP.4 การจุติจากดุสิตลงสู่ครรภ์ เกิดแสงสว่าง และแผ่นดินไหว เนื่องด้วยการจุติ

ผ้าเปลือกปอ (เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม)

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

วันอาสาฬหบูชา มีความสำคัญอย่างไร

ประโยชน์ของการเจริญสมาธิ (สัมมาสมาธิ)