ครั้งมีพระชาติเป็นพระเวสสันดร การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า
ครั้งมีพระชาติเป็นพระเวสสันดร ๑
๑. บาลี เวสสันตรจริยา จริยา.
ขุ. ๓๓/๕๕๙/๙. ในคัมภีร์จริยาปิฎก
ซึ่งเป็นคัมภีร์ชั้นบาลี มิได้เรียงเรื่องเวสสันดร
ไว้เป็นเรื่องสุดท้ายแห่งเรื่องทั้งหลาย เหมือนในคัมภีร์ชาดก;
ฉะนั้น ในที่นี้ข้าพเจ้า จึงไม่เรียงเรื่องเวสสันดรไว้
เป็นเรื่องสุดท้ายเหมือนที่คนทั้งหลายเชื่อกัน.
กระษัตรีย์ใด ได้เป็นมารดาของเรา
มีนามว่า ผุสดี
กระษัตรีย์นั้น เป็นมเหษีของท้าวสักกะ มาแล้วในอดีตชาติ.
ท้าวสักกะผู้จอมเทพ
ทราบอายุขัยของพระมเหษีองค์นั้นแล้ว ได้ตรัสกะเธอว่า
“เจ้าผู้เลิศงาม เราให้พรแก่เจ้าสิบประการ ตามแต่เจ้าจะเลือกเอา” ๒.
๒. คำพูดเช่นนี้ นัยว่าเป็นประเพณี
พูดกับผู้ที่จะต้องจุติจากสวรรค์.
พระเทวีนั้น ได้รำพันถามท้าวสักกะว่า
“หม่อมฉันมีความผิดอย่างไรหรือหนอ,
หม่อมฉันเป็นที่เกลียดชังของพระองค์แล้วหรือ
จึงถูกบังคับให้ละโลกอันน่ารื่นรมย์นี้ไป
ดุจพฤกษชาติที่ถูกลมพัด ถอนขึ้นทั้งรากฉะนั้น”.
ท้าวสักกะ ผู้อันพระเทวีรำพันเช่นนั้นแล้ว
ได้ตรัสแก่เธอว่า
“ใช่ว่าเจ้าจะทำบาปอันใดลงไป ก็หามิได้
ใช่ว่าเจ้าจะไม่เป็นที่รักของเรา ก็หามิได้
แต่ว่าอายุของเจ้ามีเพียงเท่านี้
บัดนี้เป็นเวลาที่เจ้าจะจุติ
ฉะนั้น เจ้าจงรับ เอาพรสิบประการอันเราให้เถิด”.
พระเทวีนั้น จุติแล้ว
บังเกิดในตระกูลกษัตริย์ นามว่าผุสดี
ได้สมรสกับพระราชาสัญชัย ในนครเชตุตดร.
ในกาลที่เราก้าวลงสู่พระครรภ์ แห่งพระมารดาอันเป็นที่รักนั้น
มารดาของเราได้เป็นผู้ยินดี ในทานตลอดเวลา เพราะเดชของเรา.
ท่านได้ให้ทานแก่ยาจกผู้ไร้ทรัพย์ อาดูร ครวญคร่ำ
และแก่สมณพราหมณ์ อย่างไม่ยั้งมือ.
แม่เจ้าผุสดี ดำรงครรภ์ครบสิบเดือน
กำลังเที่ยวประพาสทั่วนครได้ประสูติเรา ณ ถนนแห่งชาวร้าน
เพราะกำเนิดที่ถนนแห่งชาวร้าน
นามของเรา จึงไม่เกี่ยวเนื่องด้วยมารดาและบิดา, ได้ชื่อว่า เวสสันดร
(แปลว่า “ระหว่างชาวร้าน”).
เมื่อเราเป็นทารกอายุแปดปี
นั่งอยู่ในปราสาท ก็รำพึงแต่จะให้ทาน;
“เราจะให้ทาน หัวใจ ดวงตา เนื้อ เลือด ร่างกาย ให้ปรากฏ
ถ้าว่าจะมีผู้มาขอกะเรา”,
เมื่อเรารำพึงแน่ใจ ไม่หวั่นไหวเช่นนั้น
แผ่นดินได้ไหว ภูเขาสิเนรุสั่นสะเทือน.
ในวันอุโบสถกึ่งเดือน และปลายเดือน
เราขึ้นสู่ช้างชื่อ ปัจจยนาคไปให้ทาน.
พวกพราหมณ์ชาวแว่นแคว้นกาลิงค์ เข้ามาหาเรา
และได้ขอช้างอันประเสริฐ
ซึ่งสมมติกันว่าเป็นมงคลนั้น กะเรา
เขากล่าวกะเราว่า
“ที่ชนบทของข้าพเจ้า ฝนไม่มีตก เกิดทุพภิกขภัยอดอาหารอย่างใหญ่หลวง
ขอพระองค์ จงประทานช้างอันบวร เป็นจอมช้าง มีอวัยวะขาวหมด แก่ข้าพเจ้าเถิด”.
เราตกลงใจว่า เราให้,
เราไม่มีหวั่นไหว.
เราไม่หวงแหนปกปิดทานวัตถุที่เรามี เพราะใจของเรายินดีในทาน.
การปฏิเสธต่อยาจก ที่มาถึงเข้าแล้วนั้น ไม่ควรแก่เรา,
เราอย่าทำลายการสมาทานของเราเสียเลย เราจักให้ช้างอันวิบูลย์ บัดนี้ละ.
เราจับที่งวงช้างมือหนึ่ง
อีกมือหนึ่งหล่อน้ำในเต้าใส่มือพราหมณ์ ให้ช้างแก่พราหมณ์ไป.
เมื่อเราให้ทานช้างเผือกสูงสุดนี้
แผ่นดินได้หวั่นไหว ภูเขาสิเนรุสั่นสะเทือนอีกครั้งหนึ่ง.
เมื่อเราให้ช้างตัวนั้น
ชาวเมืองสีพีโกรธมาก มาประชุมกันให้เนรเทศเราจากนคร ไปอยู่เขาวงก์.
เมื่อชนพวกนั้นพากันกำเริบ เราก็ยังมีความ ไม่หวั่นไหว,
ขอร้องกะเขาเพื่อได้ให้ทานครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ชาวสีพีถูกขอร้องเข้าแล้วก็ยอมให้.
เราให้ป่าวร้องเอิกเกริกว่าเราจะให้มหาทาน.
มีเสียงเล่าลืออย่างใหญ่หลวงเพราะเรื่องนี้ว่า
“ถูกขับเพราะให้ทาน ยังจะให้ทานอีก !”.
เราให้ทานช้าง ม้า รถ ทาสี ทาส โค และทรัพย์.
ครั้นให้มหาทานแล้ว จึงออกจากนครไป.
ครั้นออกไปพ้นเขตนครแล้ว
ได้กลับเหลียวดูเป็นการลา
แผ่นดินได้ไหว ภูเขาสิเนรุสั่นสะเทือนอีกในครั้งนั้น.
เมื่อถึงทางสี่แพร่ง
ได้ให้ทานรถเทียมด้วยม้าสี่ไป
เราผู้ไร้เพื่อนบุรุษ กล่าวกับพระนางมัททรี ว่า
“เจ้าจงอุ้มกัณหาลูกหญิงน้อย ค่อยเบาหน่อย เราจักอุ้มชาลี พี่ชายซึ่งหนักกว่า”.
เป็นอันว่าพระนางมัททรี ได้อุ้มกัณหาชินะ อันงามเหมือนดอกบุณฑริก
และเราได้อุ้มชาลี ซึ่งงามเหมือนรูปทองหล่อ; รวมเป็นสี่กษัตริย์สุขุมาลชาติ
ได้เหยียบย่ำไปตามหนทางต่ำๆ สูงๆ ไปสู่เขาวงก์.
พบใครในระหว่างทางก็ถามว่า เขาวงก์อยู่ทางไหน
ชนเหล่านั้นสงสารเราและบอกว่า ยังไกลมาก.
เด็กๆ ได้เห็นผลไม้ในป่า ก็ร้องไห้อยากได้ ผลไม้นั้นๆ.
เห็นเด็กๆ ร้องไห้ ต้นไม้ก็น้อมกิ่งมีลูกดกเข้ามาหาเด็กเอง.
พระนางมัททรีเห็นความอัศจรรย์
ชวนสยองขนเช่นนี้ ก็ออกอุทานสาธุการ
“โอหนอ ของอัศจรรย์ ไม่เคยมีในโลก น่าขนพอง ต้นไม้น้อมกิ่งลงมาเอง ด้วยอำนาจแห่งพระเวสสันดร”.
พวกยักษ์ ช่วยย่นการเดินทาง
เพื่อความอนุเคราะห์แก่เด็กๆ,
ในวันที่ออกจากนครนั่นเอง ได้เดินทางถึงแว่นแคว้นของเจตราช,
ญาติในที่นั้นร้องไห้ คร่ำครวญ กลิ้งเกลือกทั้งผู้ใหญ่และเด็ก.
ออกจากแว่นแคว้นของญาติเหล่านั้นแล้ว ก็มุ่งไปเขาวงก์.
จอมเทพ สั่งให้วิสสุกัมม์ผู้มีฤทธิ์ สร้างบรรณศาลา ๑
๑. บรรณศาลา คือศาลามุง กั้น ด้วยใบไม้ ใบหญ้าชนิดใดชนิดหนึ่ง.
เป็นอาศรมอันรมย์รื่น,
วิสสุกัมม์ได้สร้างแล้วเป็นอย่างดี ตามดำรัสของท้าวสักกะ.
พวกเราสี่คนก็ลุถึงราวป่าอันเงียบเหงา ไม่มีวี่แววแห่ง มนุษย์,
ได้อาศัยอยู่แล้วในบรรณศาลานั้น ในระหว่างภูเขา.
บรรเทาความโศกของกันและกันได้แล้ว ณ ที่นั้น.
เราดูแลเด็กๆ ในอาศรม
พระนางมัททรีไปเสาะหาผลไม้ในป่ามาเลี้ยงกัน.
เมื่อเราอยู่ถึงในป่าสูง ก็ยังมีนักขอไปหาเรา,
ได้ขอลูกของเรา คือชาลีและกัณหาชินะ ทั้งสองคน.
ความบันเทิงใจเกิดขึ้นแก่เรา
เพราะได้เห็นยาจกเข้าไปหา เราได้ยื่นบุตรทั้งสองคนให้กะพราหมณ์ผู้มาขอนั้นไป.
เมื่อเราสละบุตรให้แก่พราหมณ์นามว่าชูชกในกาลนั้น แผ่นดินได้ไหว เขาสิเนรุสั่นสะเทือนอีก.
ต่อมา ท้าวสักกะ ได้ลงมาโดยเพศพราหมณ์
ขอพระนางมัททรีผู้มีศีล และมีวัตรในสามี กะเราอีก.
เราได้จับหัตถ์มอบหมายให้
และหลั่งน้ำลงในฝ่ามือพราหมณ์ มีจิตเบิกบานผ่องใส ให้พระนางมัททรีไป.
ขณะที่เราให้ ทวยเทพในนภากาศ ก็พลอยอนุโมทนา
แผ่นดินได้ไหว เขาสิเนรุสั่นสะเทือนอีก.
เราสละชาลีกัณหา และพระนางมัททรีผู้มีวัตรในสามี,
ไม่มีความลังเลใจ ก็เพราะเหตุแห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้
(รู้ความดับทุกข์ของสัตวโลก).
ลูกสองคนนั้น
จะเป็นที่เกลียดชังของเราก็หาไม่
พระนางมัททรีจะเป็นที่เกลียดชังก็หาไม่.
สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เราจึงให้ของรัก (เพื่อสิ่งที่เรา รัก) ...ฯลฯ.
ชุดจากพระโอษฐ์ ๕ เล่ม เล่มที่ ๕
พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้าที่ ๖๐๗
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น