เหตุใดข้าจึงยากจนยิ่งนัก ชายผู้ยากจนถามพระพุทธเจ้า
สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมีนิทาน ที่มีคติธรรม และข้อคิด เรื่องของ ชายผู้ยากจน ที่ถามพระพุทธเจ้าว่า เหตุใดข้าจึงยากจนยิ่งนัก มาฝากครับ
นิทานเรื่องชายผู้ยากจนถามพระพุทธเจ้าว่า เหตุใดข้าจึงยากจนยิ่งนัก เป็นนิทานทางพระพุทธศาสนา ที่ดีมาก อีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมชอบอ่านมาก คลิบนี้ผมจึงเอามาเล่า ให้กับทุกท่าน ได้รับชม และรับฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต เพราะนิทานเรื่องนี้ให้ทั้ง คติธรรม และข้อคิดสอนใจ เพื่อให้เราได้รู้จัก เรื่องของการทำบุญ โดยเฉพาะ การแบ่งปัน การเสียสละ และการให้ ซึ่งมีเรื่องเล่าที่เป็นข้อคิดสอนใจ ให้เราดังต่อไปนี้ ครับ
เมื่อนานมาแล้ว มีขอทานคนหนึ่ง ออกมาขอทานทุกวัน ใจเขาก็คิด อยากจะมีชีวิตเหมือนคนปกติ เพราะฉะนั้น เขาจึงมักจะขอทานเสบียงกรัง และตุนไว้ แต่ว่าเขา กักตุนเสบียงมาหลายปี ยุ้งฉางของเขา ก็มีเพียง ข้าวสารเหลือน้อยนิด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจค้นหาสาเหตุ ว่าเป็นเพราะอะไร จนกระทั้งคืนวันหนึ่ง เขาแอบอยู่ อีกมุมหนึ่งของบ้าน และจ้องไปที่เสบียง ในที่สุด เขาก็เห็นหนูตัวใหญ่ มาขโมยกินเสบียงของเขา เขารู้สึกโกรธมาก และตะโกนไปที่เจ้าหนูว่า "บ้านของคนรวย มีอาหารตั้งมากมาย ทำไมเจ้าไม่ไปกิน ทำไมเจ้า จึงเจาะจง มากินอาหารของเรา ที่กักตุนไว้ ซึ่งเราหามาด้วยความลำบาก" พอสิ้นเสียงขอทาน เจ้าหนูก็พูดขึ้นว่า "ชะตาของท่าน มีข้าวสารได้แค่ ๘ ส่วน เดินให้ทั่วหล้า ก็ไม่สามารถ มีข้าวได้ครบถัง" เมื่อขอทานได้ฟังเจ้าหนูพูด ก็หยุดคิด และเกิดความสงสัย จึงได้ถามเจ้าหนูไปว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เจ้าหนูจึงตอบว่า "ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าท่านอยากรู้ ก็ลองไปถามพระพุทธองค์ดูแล้วกัน"
หลังจากที่ได้ฟังเจ้าหนูตอบแล้ว ขอทานจึงตัดสินใจ ออกเดินทาง ไปทางทิศตะวันตก เพื่อถามพระพุทธองค์ว่า เพราะเหตุผลอันใด จึงได้มีชะตาชีวิตเช่นนี้ เมื่อออกเดินทางไป ระหว่างทาง เขาก็ขอทานไปด้วย ซึ่งเขาเดินทางไปไกลมาก จนวันหนึ่ง เขาเดินจนฟ้ามืด และก็ได้พบกับบ้านคนหลังหนึ่ง จึงรีบเดินตรงไปเคาะประตู ซึ่งมีพ่อบ้านเดินออกมา และถามว่า มีเรื่องอะไร ขอทานไม่รอช้า จึงเอ่ยปากบอกไปว่า ขอข้าวกินหน่อย ขณะเดียวกัน เศรษฐีเจ้าของบ้าน ก็ออกมาเห็นเข้าพอดี ก็เลยถามขอทานไปว่า มืดค่ำอย่างนี้แล้ว ทำไมเจ้ายังเดินทางอยู่อีก ขอทานจึงได้เล่า ชะตาชีวิตของตัวเอง ให้เศรษฐีฟัง และบอกว่าจะเดินทาง ไปถามเหตุผล กับพระพุทธองค์ เมื่อเศรษฐีได้ยินดังนั้น ก็รีบเชิญขอทาน เข้าไปนั่งในบ้าน พร้อมกับให้เสบียงกรัง และให้เงินแก่เขาจำนวนหนึ่งไว้สำหรับเดินทาง ขอทานรู้สึกสงสัย จึงถามเศรษฐีว่า ทำไมท่านจึงทำเช่นนี้ เศรษฐีจึงเล่าเหตุผลให้ขอทานฟังว่า ลูกสาวของข้า อายุ 16 ปี แล้ว แต่ก็ยังพูดไม่ได้ จึงอยากขอร้องให้เจ้า ช่วยถามเหตุผล กับพระพุทธองค์ด้วยว่า ที่เป็นเช่นนี้ เพราะอะไร ซึ่งเศรษฐี ก็เคยสาบานไว้ว่า หากใครก็ตาม ที่ทำให้ลูกสาวตนเองพูดได้ เขาก็จะให้ ลูกสาวแต่งงานกับคนนั้น เมื่อขอทาน ได้ฟังเศรษฐีเล่ามาเช่นนั้น ก็คิดว่า ไหนๆ เราก็จะไปหา พระพุทธองค์อยู่แล้ว ก็ถือโอกาสนี้ ช่วยถามให้เศรษฐีก็ได้ ขอทานจึงรับปากกับเศรษฐีว่า จะช่วยถาม คำถามนี้ กับพระพุทธองค์
เมื่อออกจากบ้านเศรษฐี ขอทานก็เดินทางต่อไป ผ่านภูเขา ลูกแล้วลูกเล่า จนเดินมาถึงเขาลูกหนึ่ง มองเห็นวัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ขอทาน ก็เลยเข้าไปขอน้ำดื่ม เห็นพระชรา รูปหนึ่ง ถือไม้เท้าดีบุก ท่าทางแก่มาก แต่ก็ดูกระฉับกระเฉง พระชราก็น้ำ ให้ขอทานดื่ม และบอกให้ขอทาน นั่งพักผ่อนสักครู่ พร้อมกับถามขอทานว่า จะเดินทางไปไหน ขอทานจึงบอก พระชรา ถึงจุดหมายที่จะไป เมื่อรู้จุดประสงค์ของขอทาน พระชราก็รีบจับมือขอทานไว้ และพูดว่า ข้าขอร้องเจ้า ให้ช่วยถามพระพุทธองค์ให้หน่อยว่า ข้าเข้าฌานฝึกฝน มา ๕๐๐ กว่าปีแล้ว ซึ่งตาม ข้าหลักควรจะต้องขึ้นสวรรค์แล้ว แต่ทำไมข้า ยังบินขึ้นไปไม่ได้สักที ข้าขอรบกวนเจ้า ช่วยถามพระพุทธองค์ให้ด้วย เมื่อขอทานได้ฟังแล้ว ก็เอ่ยปากว่า จะช่วยถามพระพุทธองค์ให้ แล้วก็ออกเดินทางต่อไป
ขอทานออกเดินไปข้างหน้า ผ่านหนทาง ทั้งห้วยหนอง คลองบึง จนมาถึง ริมแม่น้ำสายหนึ่ง ซึ่งในแม่น้ำ ก็ไม่มีเรือสักลำ ขอทานร้อนรนใจ คิดว่าจะทำอย่างไรดี ถึงจะข้ามแม่น้ำไปได้ ขอทานกลุ่มใจ จนร้องไห้ออกมา และพูดขึ้นว่า ชีวิตข้า จะต้องลำบากเช่นนี้ตลอดไปหรือ ทันใดนั้น ก็เต่ายักษ์ชราตัวหนึ่ง โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ และเต่าชราตัวนี้ ก็พูดภาษาคนได้ จึงถามขอทานว่า เจ้ามายืนร้องไห้ที่นี่ทำไม ขอทาน จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เมื่อเต่าชราได้ฟังแล้ว ก็พูดกับขอทานว่า ข้าได้เข้าฌาน ปฏิบัติตนมา 1000 ปีแล้ว ซึ่งตามหลัก ตัวข้า ก็น่าจะกลายเป็นมังกร บินไปแล้ว แต่ทำไมข้า ยังเป็นแค่เต่าชรา ตัวหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากเจ้า ไปพบกับพระพุทธองค์แล้ว รบกวนเจ้าช่วยถามให้ข้าด้วย แล้วข้าจะให้เจ้า ขี่หลังข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม เมื่อขอทาน ได้ยินเต่าชราพูดเช่นนั้น ขอทาน ก็รับปากด้วยความดีใจ และยินดีที่จะช่วยถามพระพุทธองค์
หลังจากข้ามแม่น้ำมาแล้ว ขอทาน ก็เดินต่อไป จนจำไม่ได้ว่า ออกเดินทางกี่วันกี่คืนแล้ว และก็ยังหา พระพุทธองค์ไม่เจอ ซึ่งขอทานก็คิดในใจว่า พระพุทธองค์อยู่ที่ไหน แดนสุขาวดีก็น่าจะถึงแล้ว ทำไมยังไม่พบกับพระพุทธองค์ ยิ่งคิด ก็ยิ่งทำให้ ขอทานเสียใจมาก ทั้งเหนื่อยและเพลีย จากการเดินทางทั้งวันทั้งคืน จึงผลอยหลับไปแบบงุนงง และทันใดนั้นเอง พระพุทธองค์ ก็ปรากฏองค์ขึ้น ขอทานรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก พระพุทธองค์ จึงถามขอทานว่า เจ้ามาไกลขนาดนี้ น่าจะมีคำถามอะไร ที่สำคัญมาก ใช่หรือไม่ ขอทานตอบพระพุทธองค์ ว่าใช่ และข้าน้อย ยังมีถามคำถาม อีกหลายคำถาม หวังว่าท่าน จะช่วยอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจได้ พระพุทธองค์ตอบว่า ได้สิ แต่มีเงื่อนไขว่า เจ้าจะถาม ได้สูงสุดแค่ ๓ คำถามเท่านั้น เพราะว่า ไม่เคยมีใคร ถามเกิน ๓ คำถามมาก่อน ขอทานรีบตอบตกลง และคิดในใจว่า จะถามพระพุทธองค์ ด้วยคำถามไหนก่อนดี ซึ่งขอทานก็รู้สึกว่า คำถามของตนเองนั้น ช่างไม่มีความสำคัญอะไรเลย ซึ่งต่างจาก คำถามข้อแรก ที่เต่าชรา เข้าฌานมาแล้ว ๑,๐๐๐ ปี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะปฏิบัติได้ คำถามของเต่าชรา น่าจะลองถามพระพุทธองค์ดู ส่วนคำถามที่ ๒ ของพระชรา ที่ปฏิบัติมา ๕๐๐ปีแล้ว ท่านก็คงจะลำบากมากเช่นกัน คำถามของท่าน ก็น่าจะลองถามพระพุทธองค์ดู และข้อที่สาม ลูกสาวเศรษฐีนั้น ก็ช่างน่าสงสารยิ่งนัก หากเธอพูดไม่ได้ แล้วเธอจะแต่งงานได้ยังไง คำถามของท่านเศรษฐีนั้น ก็น่าจะลองถามพระพุทธองค์ดู เมื่อขอทาน สรุปได้ดังนั้น จึงไม่ลังเลที่จะถาม คำถามที่ ๑ ต่อพระพุทธองค์
คำถามที่ ๑ ที่ขอทานถามพระพุทธองค์นั้น ก็คือคำถาม ของเต่าชรา ที่เข้าฌานมาแล้ว ๑,๐๐๐ ปี พระพุทธองค์ตอบเขาว่า เต่าชรานั้น ไม่ยอมสละกระดองของมัน ก็เลยไม่สามารถ กลายเป็นมังกรได้ และในกระดองของเต่าชรา ก็มีไข่มุกราตรี อยู่ ๒๔ เม็ด ถ้ามันยอมสละกระดอง มันก็จะกลายเป็นมังกรได้ คำถามที่ ๒ ขอทานถามพระพุทธองค์ เรื่องของพระชรา ที่ปฏิบัติมาแล้ว ๕๐๐ปี พระพุทธองค์ ท่านตอบว่า พระชรา ที่ถือไม้เท้าวิเศษทั้งวัน ในใจพะวงแต่ไม้เท้า ว่าเป็นของวิเศษ ใช้ไม้เท้าเคาะบนพื้น ๑ ที บนพื้น ก็จะกลายเป็นธารน้ำใส แต่ถ้าหากพระชรา ยอมโยนไม้เท้านั้น ทิ้งไป เขาก็จะขึ้นสวรรค์ได้แล้ว เมื่อขอทาน ได้ฟังคำตอบจากพระพุทธองค์ ก็รู้สึกดีใจมาก และก็ถาม คำถามที่ ๓ ต่อเรื่องลูกสาวเศรษฐีที่พูดไม่ได้ พระพุทธองค์ ท่านตอบว่า ถ้าเด็กสาวได้พบ กับคนที่เธอรัก เธอก็จะพูดได้เอง และทันใดนั้น พระพุทธองค์ก็หายไปทันที
พระพุทธองค์หายไปแล้ว ขอทานก็รู้สึกว่า ปัญหาของตัวเองนั้น ไม่มีอะไรสำคัญมาก จึงคิดว่า จะกลับไปขอทานตามเดิม แล้วจึงรีบเดินทางกลับ เมื่อขอทาน กลับมาถึงริมแม่น้ำ ก็เห็นเต่าแก่ ที่คำนวนรอว่า ขอทานน่าจะมาถึงแล้ว เมื่อเต่าแก่เห็นขอทาน จึงรีบถามว่า พระพุทธองค์ตรัสว่ายังไง ขอทานจึงพูดว่า เจ้าพาข้า ข้ามแม่น้ำไปก่อน ข้าจะเล่าให้ฟัง เต่าแก่ จึงพาขอทานข้ามแม่น้ำไป เมื่อข้ามแม่น้ำมาแล้ว ขอทานจึงเล่าสาเหตุ ให้เต่าแก่ฟัง ตามที่พระพุทธองค์ตอบ เมื่อเต่าแก่ฟังแล้ว ก็เข้าใจทันที จึงได้ถอดกระดองออก และยกให้ขอทาน แล้วพูดว่า ในกระดองนี้ มีไข่มุกราตรี ๒๔ เม็ด ซึ่งเป็นของ ที่หาค่ามิได้ แต่สำหรับข้า ไม่มีประโยชน์แล้ว ข้าขอยกให้เจ้า เมื่อเต่าแก่พูดจบ ก็กลายเป็นมังกร และบินหายไป
เมื่อเต่าชรา กลายเป็นมังกร และบินหายไปแล้ว ขอทาน ก็เอาไข่มุกราตรี ๒๔ เม็ด แล้วรีบเดินทางกลับมา จนมาถึงบนเขา ก็พบกับพระชรา เมื่อเห็นขอทานกลับมา พระชรารีบถามขอทานว่า พระพุทธองค์ท่านตรัสว่าอย่างไร ขอทานจึงเล่าสาเหตุให้ฟัง พระชราเมื่อได้ฟังดีใจมาก จึงมอบไม้เท้าวิเศษ ให้แก่ขอทาน แล้วพระชรา ก็ขี่เมฆ บินขึ้นท้องฟ้าหายไปทันที
เมื่อพระชรา ขี่เมฆบินหายไปบนท้องฟ้าแล้ว ขอทาน ก็เดินทางต่อ จนมาถึงหน้าบ้านเศรษฐี และทันใดนั้นเอง ก็มีหญิงสาววิ่งออกมา และตะโกนเสียงดังว่า คนที่ไปถามพระพุทธองค์กลับมาแล้ว เมื่อเศรษฐีได้ยิน ก็รีบวิ่งออกมาดู และเขาก็ตกใจมาก ที่อยู่ๆ ลูกสาวของเขาก็พูดได้ แล้วขอทาน ก็ถ่ายทอดคำตรัสของพระพุทธองค์ ให้กับเศรษฐีฟัง เศรษฐีรู้สึกดีใจมาก และก็ยกลูกสาว ให้แต่งงานกับขอทานด้วยความยินดี
นิทานในทางพระพุทธศาสนา เรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ความรักของเรา ที่แบ่งปัน ออกไปให้แก่ผู้อื่นนั้น เราก็จะได้ความรัก ย้อนกลับคืนมาเช่นกัน ความสุขที่เราให้ออกไป เราก็จะได้ความสุขย้อนกลับคืนมาเช่นกัน การที่คิดเผื่อคนอื่น ทำดีเพื่อคนอื่น ย่อมจะต้องมีคนเห็นคุณค่า ย่อมจะต้องมีคนคิดถึงเรา ซึ่งนี่คือ เหตุและผล นี่คือกฏเกณฑ์ เมื่อเราทำความดี ต่อไปความดีนั้น ก็ย้อนกลับมาหาเราเช่นกัน ความรักที่ให้ออกไป ความรักก็จะย้อนกลับคืนมา ความสุขที่ให้ออกไป ความสุขก็จะย้อนกลับคืนมา การแบ่งปันเล็กๆ ของเรา อาจจะสามารถ ส่องสว่างให้แก่ชีวิตคนอย่างมากมาย ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
นิทานเรื่องชายผู้ยากจนถามพระพุทธเจ้าว่า เหตุใดข้าจึงยากจนยิ่งนัก เป็นนิทานทางพระพุทธศาสนา ที่ดีมาก อีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมชอบอ่านมาก คลิบนี้ผมจึงเอามาเล่า ให้กับทุกท่าน ได้รับชม และรับฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต เพราะนิทานเรื่องนี้ให้ทั้ง คติธรรม และข้อคิดสอนใจ เพื่อให้เราได้รู้จัก เรื่องของการทำบุญ โดยเฉพาะ การแบ่งปัน การเสียสละ และการให้ ซึ่งมีเรื่องเล่าที่เป็นข้อคิดสอนใจ ให้เราดังต่อไปนี้ ครับ
เมื่อนานมาแล้ว มีขอทานคนหนึ่ง ออกมาขอทานทุกวัน ใจเขาก็คิด อยากจะมีชีวิตเหมือนคนปกติ เพราะฉะนั้น เขาจึงมักจะขอทานเสบียงกรัง และตุนไว้ แต่ว่าเขา กักตุนเสบียงมาหลายปี ยุ้งฉางของเขา ก็มีเพียง ข้าวสารเหลือน้อยนิด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจค้นหาสาเหตุ ว่าเป็นเพราะอะไร จนกระทั้งคืนวันหนึ่ง เขาแอบอยู่ อีกมุมหนึ่งของบ้าน และจ้องไปที่เสบียง ในที่สุด เขาก็เห็นหนูตัวใหญ่ มาขโมยกินเสบียงของเขา เขารู้สึกโกรธมาก และตะโกนไปที่เจ้าหนูว่า "บ้านของคนรวย มีอาหารตั้งมากมาย ทำไมเจ้าไม่ไปกิน ทำไมเจ้า จึงเจาะจง มากินอาหารของเรา ที่กักตุนไว้ ซึ่งเราหามาด้วยความลำบาก" พอสิ้นเสียงขอทาน เจ้าหนูก็พูดขึ้นว่า "ชะตาของท่าน มีข้าวสารได้แค่ ๘ ส่วน เดินให้ทั่วหล้า ก็ไม่สามารถ มีข้าวได้ครบถัง" เมื่อขอทานได้ฟังเจ้าหนูพูด ก็หยุดคิด และเกิดความสงสัย จึงได้ถามเจ้าหนูไปว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เจ้าหนูจึงตอบว่า "ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าท่านอยากรู้ ก็ลองไปถามพระพุทธองค์ดูแล้วกัน"
หลังจากที่ได้ฟังเจ้าหนูตอบแล้ว ขอทานจึงตัดสินใจ ออกเดินทาง ไปทางทิศตะวันตก เพื่อถามพระพุทธองค์ว่า เพราะเหตุผลอันใด จึงได้มีชะตาชีวิตเช่นนี้ เมื่อออกเดินทางไป ระหว่างทาง เขาก็ขอทานไปด้วย ซึ่งเขาเดินทางไปไกลมาก จนวันหนึ่ง เขาเดินจนฟ้ามืด และก็ได้พบกับบ้านคนหลังหนึ่ง จึงรีบเดินตรงไปเคาะประตู ซึ่งมีพ่อบ้านเดินออกมา และถามว่า มีเรื่องอะไร ขอทานไม่รอช้า จึงเอ่ยปากบอกไปว่า ขอข้าวกินหน่อย ขณะเดียวกัน เศรษฐีเจ้าของบ้าน ก็ออกมาเห็นเข้าพอดี ก็เลยถามขอทานไปว่า มืดค่ำอย่างนี้แล้ว ทำไมเจ้ายังเดินทางอยู่อีก ขอทานจึงได้เล่า ชะตาชีวิตของตัวเอง ให้เศรษฐีฟัง และบอกว่าจะเดินทาง ไปถามเหตุผล กับพระพุทธองค์ เมื่อเศรษฐีได้ยินดังนั้น ก็รีบเชิญขอทาน เข้าไปนั่งในบ้าน พร้อมกับให้เสบียงกรัง และให้เงินแก่เขาจำนวนหนึ่งไว้สำหรับเดินทาง ขอทานรู้สึกสงสัย จึงถามเศรษฐีว่า ทำไมท่านจึงทำเช่นนี้ เศรษฐีจึงเล่าเหตุผลให้ขอทานฟังว่า ลูกสาวของข้า อายุ 16 ปี แล้ว แต่ก็ยังพูดไม่ได้ จึงอยากขอร้องให้เจ้า ช่วยถามเหตุผล กับพระพุทธองค์ด้วยว่า ที่เป็นเช่นนี้ เพราะอะไร ซึ่งเศรษฐี ก็เคยสาบานไว้ว่า หากใครก็ตาม ที่ทำให้ลูกสาวตนเองพูดได้ เขาก็จะให้ ลูกสาวแต่งงานกับคนนั้น เมื่อขอทาน ได้ฟังเศรษฐีเล่ามาเช่นนั้น ก็คิดว่า ไหนๆ เราก็จะไปหา พระพุทธองค์อยู่แล้ว ก็ถือโอกาสนี้ ช่วยถามให้เศรษฐีก็ได้ ขอทานจึงรับปากกับเศรษฐีว่า จะช่วยถาม คำถามนี้ กับพระพุทธองค์
เมื่อออกจากบ้านเศรษฐี ขอทานก็เดินทางต่อไป ผ่านภูเขา ลูกแล้วลูกเล่า จนเดินมาถึงเขาลูกหนึ่ง มองเห็นวัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ขอทาน ก็เลยเข้าไปขอน้ำดื่ม เห็นพระชรา รูปหนึ่ง ถือไม้เท้าดีบุก ท่าทางแก่มาก แต่ก็ดูกระฉับกระเฉง พระชราก็น้ำ ให้ขอทานดื่ม และบอกให้ขอทาน นั่งพักผ่อนสักครู่ พร้อมกับถามขอทานว่า จะเดินทางไปไหน ขอทานจึงบอก พระชรา ถึงจุดหมายที่จะไป เมื่อรู้จุดประสงค์ของขอทาน พระชราก็รีบจับมือขอทานไว้ และพูดว่า ข้าขอร้องเจ้า ให้ช่วยถามพระพุทธองค์ให้หน่อยว่า ข้าเข้าฌานฝึกฝน มา ๕๐๐ กว่าปีแล้ว ซึ่งตาม ข้าหลักควรจะต้องขึ้นสวรรค์แล้ว แต่ทำไมข้า ยังบินขึ้นไปไม่ได้สักที ข้าขอรบกวนเจ้า ช่วยถามพระพุทธองค์ให้ด้วย เมื่อขอทานได้ฟังแล้ว ก็เอ่ยปากว่า จะช่วยถามพระพุทธองค์ให้ แล้วก็ออกเดินทางต่อไป
ขอทานออกเดินไปข้างหน้า ผ่านหนทาง ทั้งห้วยหนอง คลองบึง จนมาถึง ริมแม่น้ำสายหนึ่ง ซึ่งในแม่น้ำ ก็ไม่มีเรือสักลำ ขอทานร้อนรนใจ คิดว่าจะทำอย่างไรดี ถึงจะข้ามแม่น้ำไปได้ ขอทานกลุ่มใจ จนร้องไห้ออกมา และพูดขึ้นว่า ชีวิตข้า จะต้องลำบากเช่นนี้ตลอดไปหรือ ทันใดนั้น ก็เต่ายักษ์ชราตัวหนึ่ง โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ และเต่าชราตัวนี้ ก็พูดภาษาคนได้ จึงถามขอทานว่า เจ้ามายืนร้องไห้ที่นี่ทำไม ขอทาน จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เมื่อเต่าชราได้ฟังแล้ว ก็พูดกับขอทานว่า ข้าได้เข้าฌาน ปฏิบัติตนมา 1000 ปีแล้ว ซึ่งตามหลัก ตัวข้า ก็น่าจะกลายเป็นมังกร บินไปแล้ว แต่ทำไมข้า ยังเป็นแค่เต่าชรา ตัวหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากเจ้า ไปพบกับพระพุทธองค์แล้ว รบกวนเจ้าช่วยถามให้ข้าด้วย แล้วข้าจะให้เจ้า ขี่หลังข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม เมื่อขอทาน ได้ยินเต่าชราพูดเช่นนั้น ขอทาน ก็รับปากด้วยความดีใจ และยินดีที่จะช่วยถามพระพุทธองค์
หลังจากข้ามแม่น้ำมาแล้ว ขอทาน ก็เดินต่อไป จนจำไม่ได้ว่า ออกเดินทางกี่วันกี่คืนแล้ว และก็ยังหา พระพุทธองค์ไม่เจอ ซึ่งขอทานก็คิดในใจว่า พระพุทธองค์อยู่ที่ไหน แดนสุขาวดีก็น่าจะถึงแล้ว ทำไมยังไม่พบกับพระพุทธองค์ ยิ่งคิด ก็ยิ่งทำให้ ขอทานเสียใจมาก ทั้งเหนื่อยและเพลีย จากการเดินทางทั้งวันทั้งคืน จึงผลอยหลับไปแบบงุนงง และทันใดนั้นเอง พระพุทธองค์ ก็ปรากฏองค์ขึ้น ขอทานรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก พระพุทธองค์ จึงถามขอทานว่า เจ้ามาไกลขนาดนี้ น่าจะมีคำถามอะไร ที่สำคัญมาก ใช่หรือไม่ ขอทานตอบพระพุทธองค์ ว่าใช่ และข้าน้อย ยังมีถามคำถาม อีกหลายคำถาม หวังว่าท่าน จะช่วยอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจได้ พระพุทธองค์ตอบว่า ได้สิ แต่มีเงื่อนไขว่า เจ้าจะถาม ได้สูงสุดแค่ ๓ คำถามเท่านั้น เพราะว่า ไม่เคยมีใคร ถามเกิน ๓ คำถามมาก่อน ขอทานรีบตอบตกลง และคิดในใจว่า จะถามพระพุทธองค์ ด้วยคำถามไหนก่อนดี ซึ่งขอทานก็รู้สึกว่า คำถามของตนเองนั้น ช่างไม่มีความสำคัญอะไรเลย ซึ่งต่างจาก คำถามข้อแรก ที่เต่าชรา เข้าฌานมาแล้ว ๑,๐๐๐ ปี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะปฏิบัติได้ คำถามของเต่าชรา น่าจะลองถามพระพุทธองค์ดู ส่วนคำถามที่ ๒ ของพระชรา ที่ปฏิบัติมา ๕๐๐ปีแล้ว ท่านก็คงจะลำบากมากเช่นกัน คำถามของท่าน ก็น่าจะลองถามพระพุทธองค์ดู และข้อที่สาม ลูกสาวเศรษฐีนั้น ก็ช่างน่าสงสารยิ่งนัก หากเธอพูดไม่ได้ แล้วเธอจะแต่งงานได้ยังไง คำถามของท่านเศรษฐีนั้น ก็น่าจะลองถามพระพุทธองค์ดู เมื่อขอทาน สรุปได้ดังนั้น จึงไม่ลังเลที่จะถาม คำถามที่ ๑ ต่อพระพุทธองค์
คำถามที่ ๑ ที่ขอทานถามพระพุทธองค์นั้น ก็คือคำถาม ของเต่าชรา ที่เข้าฌานมาแล้ว ๑,๐๐๐ ปี พระพุทธองค์ตอบเขาว่า เต่าชรานั้น ไม่ยอมสละกระดองของมัน ก็เลยไม่สามารถ กลายเป็นมังกรได้ และในกระดองของเต่าชรา ก็มีไข่มุกราตรี อยู่ ๒๔ เม็ด ถ้ามันยอมสละกระดอง มันก็จะกลายเป็นมังกรได้ คำถามที่ ๒ ขอทานถามพระพุทธองค์ เรื่องของพระชรา ที่ปฏิบัติมาแล้ว ๕๐๐ปี พระพุทธองค์ ท่านตอบว่า พระชรา ที่ถือไม้เท้าวิเศษทั้งวัน ในใจพะวงแต่ไม้เท้า ว่าเป็นของวิเศษ ใช้ไม้เท้าเคาะบนพื้น ๑ ที บนพื้น ก็จะกลายเป็นธารน้ำใส แต่ถ้าหากพระชรา ยอมโยนไม้เท้านั้น ทิ้งไป เขาก็จะขึ้นสวรรค์ได้แล้ว เมื่อขอทาน ได้ฟังคำตอบจากพระพุทธองค์ ก็รู้สึกดีใจมาก และก็ถาม คำถามที่ ๓ ต่อเรื่องลูกสาวเศรษฐีที่พูดไม่ได้ พระพุทธองค์ ท่านตอบว่า ถ้าเด็กสาวได้พบ กับคนที่เธอรัก เธอก็จะพูดได้เอง และทันใดนั้น พระพุทธองค์ก็หายไปทันที
พระพุทธองค์หายไปแล้ว ขอทานก็รู้สึกว่า ปัญหาของตัวเองนั้น ไม่มีอะไรสำคัญมาก จึงคิดว่า จะกลับไปขอทานตามเดิม แล้วจึงรีบเดินทางกลับ เมื่อขอทาน กลับมาถึงริมแม่น้ำ ก็เห็นเต่าแก่ ที่คำนวนรอว่า ขอทานน่าจะมาถึงแล้ว เมื่อเต่าแก่เห็นขอทาน จึงรีบถามว่า พระพุทธองค์ตรัสว่ายังไง ขอทานจึงพูดว่า เจ้าพาข้า ข้ามแม่น้ำไปก่อน ข้าจะเล่าให้ฟัง เต่าแก่ จึงพาขอทานข้ามแม่น้ำไป เมื่อข้ามแม่น้ำมาแล้ว ขอทานจึงเล่าสาเหตุ ให้เต่าแก่ฟัง ตามที่พระพุทธองค์ตอบ เมื่อเต่าแก่ฟังแล้ว ก็เข้าใจทันที จึงได้ถอดกระดองออก และยกให้ขอทาน แล้วพูดว่า ในกระดองนี้ มีไข่มุกราตรี ๒๔ เม็ด ซึ่งเป็นของ ที่หาค่ามิได้ แต่สำหรับข้า ไม่มีประโยชน์แล้ว ข้าขอยกให้เจ้า เมื่อเต่าแก่พูดจบ ก็กลายเป็นมังกร และบินหายไป
เมื่อเต่าชรา กลายเป็นมังกร และบินหายไปแล้ว ขอทาน ก็เอาไข่มุกราตรี ๒๔ เม็ด แล้วรีบเดินทางกลับมา จนมาถึงบนเขา ก็พบกับพระชรา เมื่อเห็นขอทานกลับมา พระชรารีบถามขอทานว่า พระพุทธองค์ท่านตรัสว่าอย่างไร ขอทานจึงเล่าสาเหตุให้ฟัง พระชราเมื่อได้ฟังดีใจมาก จึงมอบไม้เท้าวิเศษ ให้แก่ขอทาน แล้วพระชรา ก็ขี่เมฆ บินขึ้นท้องฟ้าหายไปทันที
เมื่อพระชรา ขี่เมฆบินหายไปบนท้องฟ้าแล้ว ขอทาน ก็เดินทางต่อ จนมาถึงหน้าบ้านเศรษฐี และทันใดนั้นเอง ก็มีหญิงสาววิ่งออกมา และตะโกนเสียงดังว่า คนที่ไปถามพระพุทธองค์กลับมาแล้ว เมื่อเศรษฐีได้ยิน ก็รีบวิ่งออกมาดู และเขาก็ตกใจมาก ที่อยู่ๆ ลูกสาวของเขาก็พูดได้ แล้วขอทาน ก็ถ่ายทอดคำตรัสของพระพุทธองค์ ให้กับเศรษฐีฟัง เศรษฐีรู้สึกดีใจมาก และก็ยกลูกสาว ให้แต่งงานกับขอทานด้วยความยินดี
นิทานในทางพระพุทธศาสนา เรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ความรักของเรา ที่แบ่งปัน ออกไปให้แก่ผู้อื่นนั้น เราก็จะได้ความรัก ย้อนกลับคืนมาเช่นกัน ความสุขที่เราให้ออกไป เราก็จะได้ความสุขย้อนกลับคืนมาเช่นกัน การที่คิดเผื่อคนอื่น ทำดีเพื่อคนอื่น ย่อมจะต้องมีคนเห็นคุณค่า ย่อมจะต้องมีคนคิดถึงเรา ซึ่งนี่คือ เหตุและผล นี่คือกฏเกณฑ์ เมื่อเราทำความดี ต่อไปความดีนั้น ก็ย้อนกลับมาหาเราเช่นกัน ความรักที่ให้ออกไป ความรักก็จะย้อนกลับคืนมา ความสุขที่ให้ออกไป ความสุขก็จะย้อนกลับคืนมา การแบ่งปันเล็กๆ ของเรา อาจจะสามารถ ส่องสว่างให้แก่ชีวิตคนอย่างมากมาย ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น