วิธีแก้กรรม ที่ดีที่สุด เพื่อให้ชีวิตพ้นทุกข์
สวัสดีครับ วันนี้ผมมีคติธรรมและข้อคิด
เกี่ยวกับวิธีแก้กรรม หรือแก้วิบากกรรม เพื่อให้ชีวิตพ้นทุกข์ มาฝากครับ
เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ผิดพลาดในชีวิต เพราะไปยึดติดในความทุกข์ หวงความทุกข์เอาไว้ เพราะไม่รู้ว่า ที่เราได้ เรามี หรือเราเจออะไรก็ตาม ก็เพราะผลของกรรม ซึ่งกรรมมันหลอก ให้เรามาหลง มายึด หรือให้เรา มาชอบมารัก คนๆ นี้ เพื่อที่จะส่งผลให้เรา ได้รับผลจากกรรม ที่เราได้ทำมา และถ้าหากเราไม่มีสติ หรือหากเราไม่รู้ตัว เราก็จะกอดความทุกข์ไว้ แล้วสุดท้าย เราก็จะไม่ก้าวหน้า และต้องเจอกับความทุกข์ ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ถ้าหากเรา เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือเปลี่ยนการกระทำ เปลี่ยนนิสัย ไปในทางที่ดี เราเองก็จะได้รับ ผลจากการทำดี ด้วยการมีความสุข เช่นกันครับ
ซึ่ง วิธีแก้กรรม หรือการแก้วิบากกรรม นั้น ก็มีสาระสำคัญ อยู่ด้วยกัน ๓ ประการ นั่นก็คือ
๑. ทำความเข้าใจกับ เรื่องของกฎแห่งกรรม
๒. ชำระหนี้เก่า ด้วยการยอมรับ กับสิ่งที่ได้พบเจอ หรือรู้สำนึกผิดในสิ่งที่ทำ และไม่คิดจะกลับไปทำสิ่งนั้นอีก แล้วก็ตั้งใจขออโหสิกรรม จากคนที่เราเคยไปทำกับเขาไว้ รวมทั้ง อโหสิกรรมให้กับคน ที่เคยทำกับเรา ด้วยเช่นกัน
๓. สร้างเหตุใหม่ที่ดี หรือสร้างกรรมดี ให้ตั้งใจว่า จะไม่คิดทำให้ผู้อื่น ต้องเป็นทุกข์เพราะเรา หรือ ต้องเป็นทุกข์ แบบเดียวกับที่เราพบเจออีก หรือ อาจจะไปช่วยแนะนำผู้อื่น เพื่อไม่ให้เขา ทำผิดพลาดแบบเรา เป็นต้น
การที่เรา ได้คิดสำนึกผิดอย่างแท้จริง จนถึงระดับที่เรา ไม่คิดรักษาความผิดนั้นไว้อีกต่อไป ดังเช่น เมื่อมีคนกล่าวถึง ความผิดที่เราเคยทำมา เราก็ไม่คิดโกรธ และไม่เคือง หรือไม่ระคายใจ เพราะเราเห็นแล้วว่าสิ่งนั้น หรือนิสัยแบบนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ดี ไม่ใช่เรื่องที่เสียหน้า แต่กลับเห็นตรงกันข้าม คือ เห็นว่านิสัยแบบนั้นมันไม่ดี เป็นสิ่งที่เราต้องพากเพียร ขัดเกลา เพื่อทิ้งนิสัยไม่ดีแบบนั้น ออกไปให้หมด จนกระทั่ง เราสามารถพูด อย่างเปิดเผย ถึงความผิดนั้น ได้ทุกขั้น ทุกตอน โดยละเอียด เสมือนว่าไม่ใช่เรื่องของเรา โดยที่เราสามารถพูด กับใครก็ได้ที่สนใจ เพื่อให้เขาเหล่านั้น จะได้ไม่ทำผิดพลาด แบบเดียวกับที่เรา เคยทำไปแล้วในอดีต และรวมทั้งตัวเราเอง ก็ไม่คิดจะกลับไป กระทำอย่างนั้นอีก แม้ว่า จะมีสิ่งที่ดึงดูดใจ ให้กระทำก็ตาม ซึ่งเราจะพบว่า ความทุกข์ทางใจของเรานั้น มันจะลดลง และถ้าหากเรา ยังโกรธ และเคือง เมื่อมีใครมาพูดถึง พฤติกรรมที่ไม่ดีของเรา หรือตัวเราเอง ยังคงที่จะพยายาม ปิดบัง หรือกลบเกลื่อน เพื่อปกป้องว่า สิ่งที่เราเคยกระทำนั้น ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ซึ่งมีเหตุผลต่างๆ นานา เพื่อจะทำไม่ให้เราเป็นผู้ผิด แถมยังกล่าวโทษผู้อื่นอีกว่า เป็นผู้ผิด นี่ก็แสดงว่า เรายังไม่ทิ้งนิสัยเดิมๆ เพราะยังพยายามปกป้อง หรือเก็บรักษานิสัยไม่ดีนั้นไว้ ซึ่งยังไม่ใช่การสำนึกผิด เพราะเราเอง ก็ยังมีโอกาส ที่จะกลับไปทำนิสัยไม่ดีแบบเดิมอีก และสุดท้าย เราก็จะต้องไปรับผลกรรม ซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนเดิม ถ้าหากว่าเรา ไม่ยอมทิ้งนิสัยไม่ดีนั้น ไปโดยถาวร
การทำทาน เพื่อให้ใจออกจากกรรม หรือออกจากทุกข์นั้น จะต้องเป็นการทำทาน ที่เป็นทานจริงๆ และจะต้องทำเป็นประจำ ทำเป็นนิสัย คือ มีกิริยาทางกาย ที่เป็นการให้ และกิริยาทางใจ ที่เป็นการสละสิ่งของ ที่เป็นของตัวเอง เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น หรือแก่ส่วนรวม ซึ่งหากว่าเรา ได้ทำบ่อยๆ ก็จะเป็นการฝึกใจ ให้รู้จักปล่อยวาง กับสิ่งที่ยึดถือว่า เป็นของเรา ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมาก ในการฝึกใจ ให้เราได้รู้จักการปล่อยวางกับความทุกข์
ส่วนการรักษาศีลนั้น ก็จะเป็นการปกป้องตัวเราเอง จากภยันตรายต่างๆ ซึ่งเป็นการที่เรา ไม่คิดไปเบียดเบียนผู้อื่นก่อน แล้วก็จะไม่มีใคร มาคิดเบียดเบียนเรา ซึ่งถ้าหากเรา รักษาศีลอย่างดี ไม่กระทำกรรมใดๆ ตามอำนาจกิเลส อันเป็นเหตุ ให้เกิดความเศร้าหมอง ผลที่ได้ ก็คือ หน้าตาผิวพรรณของเรา จะดูผุดผ่อง สดใส และเมื่อสะสมไปมากๆ ก็จะเป็นฐานบุญ ให้ภพชาติใหม่ เกิดมามีรูปร่างหน้าตาดี ที่สมส่วน และดูดี ซึ่งการรักษาศีล เป็นการฝึกความตั้งใจ ที่จะไม่ละเมิดผู้อื่น ด้วยความอยาก อันเป็นก้าวแรก ที่จะนำชีวิตของเรา ไปสู่ความทุกข์ และถ้าหากเรา รักษาศีลไว้ดี ใจของเร ก็จะรู้จักสละ ความอยากครอบครอง ที่เป็นการละเมิดสิทธิ ของผู้อื่น และถ้าหากเรา ฝึกจนจิต เกิดความชำนาญแล้ว ผลก็คือ จะช่วยระงับความเร่าร้อน ในความอยากนั้นได้ เพราะเรา จะมีความเข้าใจ และมองเห็นโทษว่า การคิดละเมิดใจผู้อื่นในวันนี้ จะนำไปสู่ การถูกละเมิดใจในวันข้างหน้า ดังเช่น หากเรามีความสุขในตอนนี้ แต่ถ้าเราไม่คิด รักษาศีลให้ดี ความทุกข์มหันต์ ก็จะเกิดขึ้นกับเรา ในวันข้างหน้า
เพราะฉะนั้น การทำทาน ก็จะช่วยแก้ปัญหา หรือช่วยขจัดความทุกข์ จากการที่เรา กลัวจะเสียของไป ส่วนการรักษาศีลนั้น ก็เป็นการ แก้ปัญหาความทุกข์ เพราะกลัวไม่ได้มา ด้วยการสละออกไป โดยเริ่มที่ใจ คือ พร้อมที่จะสละ ในสิ่งที่ไม่ใช่ส่วนของตัวเอง ซึ่งแทนที่เรา จะดับความอยากนั้น ด้วยการพยายาม ที่จะไปครอบครอง ของที่ไม่ใช่ของตน เพราะมัน ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ที่เป็นความอยากของเรา แต่เป็นการก่อกรรมใหม่ ซึ่งมันจะส่งผลให้เรา ต้องชดใช้กรรม และมีความทุกข์ไปเรื่อยๆ ตามเหตุที่เรา ได้เคยทำให้ผู้อื่น มีความทุกข์ใจ
เมื่อเรา รู้จักสละ และรู้จักวาง ด้วยการหมั่นทำทาน และรักษาศีล จนเกิดความเคยชินแล้ว จิตเรา ก็จะเกิดความฉลาด และมีปัญญามากขึ้น เมื่อเราไม่มีจิต คิดสร้างกรรมใหม่ ที่จะส่งให้ได้รับผลกรรมไม่ดี ใจของเรา ก็จะไม่รู้สึกเจ็บแค้น หรือผูกพยาบาท หรือถ้าหากรู้สึก ก็จะเบาบาง เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ และถ้าเกิดปัญญา และเข้าใจเรื่องกรรมแล้ว เราก็จะเกิดความกรุณา ที่อยากให้ผู้อื่น พ้นจากความทุกข์ เพราะเหตุจากกรรม ที่เขาเคยมาก่อกับเราไว้ และเราก็จะสามารถ อโหสิกรรมให้แก่ผู้อื่น ได้จากใจ โดยที่ไม่ต้องมีใคร มาข้อร้องเรา และเมื่อจิตของเรา คิดและทำได้แบบนี้ ความทุกข์ในใจ จากปัญหาต่างๆ ก็คงจะไม่เกิดขึ้น เมื่อเราเข้าใจกับ เรื่องของกฎแห่งกรรมแล้ว และชำระหนี้เก่า ด้วยการยอมรับ กับสิ่งที่ได้พบเจอ รู้สำนึกผิดในสิ่งที่ทำ และไม่คิดจะกลับไปทำสิ่งนั้นอีก แล้วก็ตั้งใจขออโหสิกรรม จากคนที่เราเคยไปทำกับเขาไว้ รวมทั้ง อโหสิกรรมให้กับคน ที่เคยทำกับเราด้วย แล้วตั้งใจ สร้างเหตุใหม่ที่ดี หรือสร้างแต่กรรมดี และไม่คิดทำให้ผู้อื่น ต้องเป็นทุกข์เพราะตัวเรา หรือ ต้องเป็นทุกข์ แบบเดียวกับที่เราพบเจออีก นั่นก็แสดงว่า เราได้แก้กรรม หรือแก้วิบากกรรม เพื่อให้ชีวิตของเรา ได้พ้นจากความทุกข์ ในระดับหนึ่ง แล้ว
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้
ขอบคุณที่มา http://purifilm.blogspot.com/2017/12/ep22.html
เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ผิดพลาดในชีวิต เพราะไปยึดติดในความทุกข์ หวงความทุกข์เอาไว้ เพราะไม่รู้ว่า ที่เราได้ เรามี หรือเราเจออะไรก็ตาม ก็เพราะผลของกรรม ซึ่งกรรมมันหลอก ให้เรามาหลง มายึด หรือให้เรา มาชอบมารัก คนๆ นี้ เพื่อที่จะส่งผลให้เรา ได้รับผลจากกรรม ที่เราได้ทำมา และถ้าหากเราไม่มีสติ หรือหากเราไม่รู้ตัว เราก็จะกอดความทุกข์ไว้ แล้วสุดท้าย เราก็จะไม่ก้าวหน้า และต้องเจอกับความทุกข์ ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ถ้าหากเรา เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือเปลี่ยนการกระทำ เปลี่ยนนิสัย ไปในทางที่ดี เราเองก็จะได้รับ ผลจากการทำดี ด้วยการมีความสุข เช่นกันครับ
ซึ่ง วิธีแก้กรรม หรือการแก้วิบากกรรม นั้น ก็มีสาระสำคัญ อยู่ด้วยกัน ๓ ประการ นั่นก็คือ
๑. ทำความเข้าใจกับ เรื่องของกฎแห่งกรรม
๒. ชำระหนี้เก่า ด้วยการยอมรับ กับสิ่งที่ได้พบเจอ หรือรู้สำนึกผิดในสิ่งที่ทำ และไม่คิดจะกลับไปทำสิ่งนั้นอีก แล้วก็ตั้งใจขออโหสิกรรม จากคนที่เราเคยไปทำกับเขาไว้ รวมทั้ง อโหสิกรรมให้กับคน ที่เคยทำกับเรา ด้วยเช่นกัน
๓. สร้างเหตุใหม่ที่ดี หรือสร้างกรรมดี ให้ตั้งใจว่า จะไม่คิดทำให้ผู้อื่น ต้องเป็นทุกข์เพราะเรา หรือ ต้องเป็นทุกข์ แบบเดียวกับที่เราพบเจออีก หรือ อาจจะไปช่วยแนะนำผู้อื่น เพื่อไม่ให้เขา ทำผิดพลาดแบบเรา เป็นต้น
การที่เรา ได้คิดสำนึกผิดอย่างแท้จริง จนถึงระดับที่เรา ไม่คิดรักษาความผิดนั้นไว้อีกต่อไป ดังเช่น เมื่อมีคนกล่าวถึง ความผิดที่เราเคยทำมา เราก็ไม่คิดโกรธ และไม่เคือง หรือไม่ระคายใจ เพราะเราเห็นแล้วว่าสิ่งนั้น หรือนิสัยแบบนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ดี ไม่ใช่เรื่องที่เสียหน้า แต่กลับเห็นตรงกันข้าม คือ เห็นว่านิสัยแบบนั้นมันไม่ดี เป็นสิ่งที่เราต้องพากเพียร ขัดเกลา เพื่อทิ้งนิสัยไม่ดีแบบนั้น ออกไปให้หมด จนกระทั่ง เราสามารถพูด อย่างเปิดเผย ถึงความผิดนั้น ได้ทุกขั้น ทุกตอน โดยละเอียด เสมือนว่าไม่ใช่เรื่องของเรา โดยที่เราสามารถพูด กับใครก็ได้ที่สนใจ เพื่อให้เขาเหล่านั้น จะได้ไม่ทำผิดพลาด แบบเดียวกับที่เรา เคยทำไปแล้วในอดีต และรวมทั้งตัวเราเอง ก็ไม่คิดจะกลับไป กระทำอย่างนั้นอีก แม้ว่า จะมีสิ่งที่ดึงดูดใจ ให้กระทำก็ตาม ซึ่งเราจะพบว่า ความทุกข์ทางใจของเรานั้น มันจะลดลง และถ้าหากเรา ยังโกรธ และเคือง เมื่อมีใครมาพูดถึง พฤติกรรมที่ไม่ดีของเรา หรือตัวเราเอง ยังคงที่จะพยายาม ปิดบัง หรือกลบเกลื่อน เพื่อปกป้องว่า สิ่งที่เราเคยกระทำนั้น ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ซึ่งมีเหตุผลต่างๆ นานา เพื่อจะทำไม่ให้เราเป็นผู้ผิด แถมยังกล่าวโทษผู้อื่นอีกว่า เป็นผู้ผิด นี่ก็แสดงว่า เรายังไม่ทิ้งนิสัยเดิมๆ เพราะยังพยายามปกป้อง หรือเก็บรักษานิสัยไม่ดีนั้นไว้ ซึ่งยังไม่ใช่การสำนึกผิด เพราะเราเอง ก็ยังมีโอกาส ที่จะกลับไปทำนิสัยไม่ดีแบบเดิมอีก และสุดท้าย เราก็จะต้องไปรับผลกรรม ซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนเดิม ถ้าหากว่าเรา ไม่ยอมทิ้งนิสัยไม่ดีนั้น ไปโดยถาวร
การทำทาน เพื่อให้ใจออกจากกรรม หรือออกจากทุกข์นั้น จะต้องเป็นการทำทาน ที่เป็นทานจริงๆ และจะต้องทำเป็นประจำ ทำเป็นนิสัย คือ มีกิริยาทางกาย ที่เป็นการให้ และกิริยาทางใจ ที่เป็นการสละสิ่งของ ที่เป็นของตัวเอง เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น หรือแก่ส่วนรวม ซึ่งหากว่าเรา ได้ทำบ่อยๆ ก็จะเป็นการฝึกใจ ให้รู้จักปล่อยวาง กับสิ่งที่ยึดถือว่า เป็นของเรา ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมาก ในการฝึกใจ ให้เราได้รู้จักการปล่อยวางกับความทุกข์
ส่วนการรักษาศีลนั้น ก็จะเป็นการปกป้องตัวเราเอง จากภยันตรายต่างๆ ซึ่งเป็นการที่เรา ไม่คิดไปเบียดเบียนผู้อื่นก่อน แล้วก็จะไม่มีใคร มาคิดเบียดเบียนเรา ซึ่งถ้าหากเรา รักษาศีลอย่างดี ไม่กระทำกรรมใดๆ ตามอำนาจกิเลส อันเป็นเหตุ ให้เกิดความเศร้าหมอง ผลที่ได้ ก็คือ หน้าตาผิวพรรณของเรา จะดูผุดผ่อง สดใส และเมื่อสะสมไปมากๆ ก็จะเป็นฐานบุญ ให้ภพชาติใหม่ เกิดมามีรูปร่างหน้าตาดี ที่สมส่วน และดูดี ซึ่งการรักษาศีล เป็นการฝึกความตั้งใจ ที่จะไม่ละเมิดผู้อื่น ด้วยความอยาก อันเป็นก้าวแรก ที่จะนำชีวิตของเรา ไปสู่ความทุกข์ และถ้าหากเรา รักษาศีลไว้ดี ใจของเร ก็จะรู้จักสละ ความอยากครอบครอง ที่เป็นการละเมิดสิทธิ ของผู้อื่น และถ้าหากเรา ฝึกจนจิต เกิดความชำนาญแล้ว ผลก็คือ จะช่วยระงับความเร่าร้อน ในความอยากนั้นได้ เพราะเรา จะมีความเข้าใจ และมองเห็นโทษว่า การคิดละเมิดใจผู้อื่นในวันนี้ จะนำไปสู่ การถูกละเมิดใจในวันข้างหน้า ดังเช่น หากเรามีความสุขในตอนนี้ แต่ถ้าเราไม่คิด รักษาศีลให้ดี ความทุกข์มหันต์ ก็จะเกิดขึ้นกับเรา ในวันข้างหน้า
เพราะฉะนั้น การทำทาน ก็จะช่วยแก้ปัญหา หรือช่วยขจัดความทุกข์ จากการที่เรา กลัวจะเสียของไป ส่วนการรักษาศีลนั้น ก็เป็นการ แก้ปัญหาความทุกข์ เพราะกลัวไม่ได้มา ด้วยการสละออกไป โดยเริ่มที่ใจ คือ พร้อมที่จะสละ ในสิ่งที่ไม่ใช่ส่วนของตัวเอง ซึ่งแทนที่เรา จะดับความอยากนั้น ด้วยการพยายาม ที่จะไปครอบครอง ของที่ไม่ใช่ของตน เพราะมัน ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ที่เป็นความอยากของเรา แต่เป็นการก่อกรรมใหม่ ซึ่งมันจะส่งผลให้เรา ต้องชดใช้กรรม และมีความทุกข์ไปเรื่อยๆ ตามเหตุที่เรา ได้เคยทำให้ผู้อื่น มีความทุกข์ใจ
เมื่อเรา รู้จักสละ และรู้จักวาง ด้วยการหมั่นทำทาน และรักษาศีล จนเกิดความเคยชินแล้ว จิตเรา ก็จะเกิดความฉลาด และมีปัญญามากขึ้น เมื่อเราไม่มีจิต คิดสร้างกรรมใหม่ ที่จะส่งให้ได้รับผลกรรมไม่ดี ใจของเรา ก็จะไม่รู้สึกเจ็บแค้น หรือผูกพยาบาท หรือถ้าหากรู้สึก ก็จะเบาบาง เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ และถ้าเกิดปัญญา และเข้าใจเรื่องกรรมแล้ว เราก็จะเกิดความกรุณา ที่อยากให้ผู้อื่น พ้นจากความทุกข์ เพราะเหตุจากกรรม ที่เขาเคยมาก่อกับเราไว้ และเราก็จะสามารถ อโหสิกรรมให้แก่ผู้อื่น ได้จากใจ โดยที่ไม่ต้องมีใคร มาข้อร้องเรา และเมื่อจิตของเรา คิดและทำได้แบบนี้ ความทุกข์ในใจ จากปัญหาต่างๆ ก็คงจะไม่เกิดขึ้น เมื่อเราเข้าใจกับ เรื่องของกฎแห่งกรรมแล้ว และชำระหนี้เก่า ด้วยการยอมรับ กับสิ่งที่ได้พบเจอ รู้สำนึกผิดในสิ่งที่ทำ และไม่คิดจะกลับไปทำสิ่งนั้นอีก แล้วก็ตั้งใจขออโหสิกรรม จากคนที่เราเคยไปทำกับเขาไว้ รวมทั้ง อโหสิกรรมให้กับคน ที่เคยทำกับเราด้วย แล้วตั้งใจ สร้างเหตุใหม่ที่ดี หรือสร้างแต่กรรมดี และไม่คิดทำให้ผู้อื่น ต้องเป็นทุกข์เพราะตัวเรา หรือ ต้องเป็นทุกข์ แบบเดียวกับที่เราพบเจออีก นั่นก็แสดงว่า เราได้แก้กรรม หรือแก้วิบากกรรม เพื่อให้ชีวิตของเรา ได้พ้นจากความทุกข์ ในระดับหนึ่ง แล้ว
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้
ขอบคุณที่มา http://purifilm.blogspot.com/2017/12/ep22.html
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น