เงินขาดมือ ชักหน้าไม่ถึงหลัง กรรมเกิดจากอะไร

สวัสดีครับ วันนี้ผมมีคติธรรมและข้อคิด เรื่องกรรมของคน ที่เงินขาดมือ ชักหน้าไม่ถึงหลัง มาฝากครับ
เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



ปัญหาของเงินขาดมือ หรือชักหน้าไม่ถึงหลัง นั้น คงจะทำให้หลายๆ ท่านทุกข์ใจ เป็นอย่างมาก ได้เงินมาเท่าไร ก็ไม่พอใช้ และก็ไม่มีเก็บ วันนี้ผมจึงเอาคติธรรม จากครูบาอาจารย์ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดในการใช้ชีวิต ว่าเพราะอะไร เราจึงเป็นหนี้เป็นสิน หรือทำมาค้าขายไม่ดี ชีวิตทำอะไรก็ไม่เจริญ และได้เงินมาเท่าไรก็หมด ไม่พอใช้ เรามาดูกันว่า ชีวิตที่เราพบเจอนั้น เกิดจากบาปกรรมอะไรครับ

เหตุจากกรรมเก่า คนที่มีปัญหาเรื่องเงินขาดมือ อยู่บ่อยๆนั้น อาจจะเกิดจาก การกระทำในอดีตชาตินั้น เคยทำทาน มาไม่ครบ ตามเหตุและปัจจัย ซึ่งหมายถึง เวลาในการทำทานนั้น ยังมีจิตที่ตกอยู่ ยังคงเสียดายทาน ที่ทำไป อย่างเช่น ตั้งใจว่า จะทำทาน ด้วยอาหารคาวหวาน 4 อย่าง ผลไม้ 5 อย่าง พอเอาเข้าจริง หรือเวลาลงมือปฏิบัติ ในทานนั้น กลับรู้สึกเสียดาย หรือว่าด้วยเหตุอะไรก็ตาม จึงทำทานนั้น น้อยลงไป จากที่เคยตั้งใจไว้ เช่น ไปลดปริมาณของลงเสีย ให้เหลือเพียงอย่าง หรือสองอย่าง ไม่ตรงกับที่ตั้งใจไว้ หรือลดคุณภาพ วัตถุทาน ที่จะทำนั้น ด้วยความเสียดายเป็นเหตุ

ครูบาอาจารย์ ท่านได้เมตตากล่าว ถึงการตั้งใจสร้างบุญ หรือไปรับปากพระสงฆ์ แล้วไม่ได้ทำ หรือทำเกิน ที่รับปาก ที่จะมีผล ต่อเรื่องเงินทองมาก โดยให้พิจารณาดังนี้

๑.ทำน้อยกว่าที่ตั้งใจ เงินทองจะขาดมือบ่อย มักจะมีแต่ปัญหา การเงินตลอดเวลา คาดหวังว่า จะได้เงิน มักจะพลาดไม่ได้ดังใจหวัง

๒.ทำเท่ากับที่ตั้งใจ จะมีความสุขตามบุญที่ทำ เงินทองไม่ขาดมือ มีใช้แต่ไม่ค่อยเหลือเก็บ ยังช่วยเหลือใครไม่ได้ หรือช่วยได้แต่น้อยมาก

๓.ทำมากกว่าที่ตั้งใจเอาไว้ เงินทองจะมากมาย เหลือกินเหลือใช้ โชคลาภเข้ามา อย่างไม่ทันตั้งตัว อยู่ๆ ก็มีเงินทองเข้ามา และเป็นถูกต้อง ถูกธรรมด้วย และสามารถ ไปช่วยเหลือคนอื่น ได้ตลอดเวลา เป็นบุญงอก ที่งอกเงย ทำให้คนผู้นั้น พบกับความสุขความเจริญ ซึ่งทั้ง ๓ ประเภทนี้ ใครอยากรวย อยากมีเงิน ก็ขอให้คิดเอาเองว่า จะทำบุญแบบไหนดี เมื่อได้ตั้งใจ เอาไว้แล้ว

การที่เงินทอง ต้องขาดมือบ่อยๆ หรือหมุนไม่ทันนั้น อีกสาเหตุหนึ่ง มาจากการ ที่วัตถุทาน ที่เอามาสร้างบุญนั้น ไม่บริสุทธิ์ อาจจะมีบาป เจือปน คือ วัตถุทานนั้น อาจจะซื้อมา ด้วยเงินที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นเงินมาจาก การได้มาทางอบายมุข เช่น เงินจากการเล่นการพนัน หวยเถื่อน หรือ เงินมาจาก การเบียดเบียนผู้อื่น หรือมาจากการทำร้าย ทำลายชีวิตเบียดเบียนผู้อื่น เช่น การไปฆ่าไก่ มาต้มข่าถวายพระ การไปเด็ดดอกไม้ จากสวนเพื่อนบ้าน โดยไม่ขออนุญาต เอามาถวายพระ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ บุญกุศลที่เคยทำมา จึงมีลักษณะแบบ ครึ่งๆ กลางๆ ขาดๆ หายๆ เดี๋ยว ก็มีเงินทองมาก พอผ่านไปสักระยะ เงินก็ขาดมือ หมุนไม่ทัน จะไปหยิบยืมใครเขา ก็ยาก เพราะไม่มีบุญ เชื่อมกับเขาไว้พอ หรือเกิดความยากลำบาก เจอกับอุปสรรค กว่าจะได้รับ การช่วยเหลือ บางครั้ง ต้องโดนเขาต่อว่า ต่อขาน หรือดูถูกเอา ซึ่งคนที่เขาต่อว่า ดูถูกเหล่านี้ เขาอาจเคยเป็น เจ้ากรรมนายเวร คือ เคยเป็นเจ้าของ วัตถุทาน ที่เราเคยไปขโมยเขามาก่อน เป็นต้น

เหตุจากกรรมใหม่ การที่เรา หาเงินได้ แบบชักหน้าไม่ถึงหลังนั้น ไม่ใช่ว่า จะเกิดจากกรรมเก่า เพียงอย่างเดียว เราต้องมาพิจารณาว่า เราทำเหตุให้ตรงกับผล หรือไม่ คือ พิจารณา จากการกระทำในปัจจุบัน ซึ่งเห็นได้ชัดเจน กว่ากรรมเก่าในอดีต ยกตัวอย่างเช่น ในการประกอบอาชีพ เราเป็นคนใจเร็ว ตัดสินพลาดในบางครั้ง อาจจะทำให้ชวดโอกาสสำคัญ ก็ให้ใช้ ปัญญาตรึกตรอง ให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ หากบอกว่า ไม่มีความรู้ความสามารถ ก็ต้องพยายาม ขวนขวายเรียนรู้ เพื่อเอาความรู้นั้น มาเปลี่ยนเป็นเงิน ตัวของเรา ยังเป็นคนที่ใช้เงิน ด้วยอารมณ์ มากกว่าเหตุผล ก็หันกลับด้าน ความคิดเสีย ให้ดูว่า ของที่เราจะซื้อนั้น สมควรหรือไม่ ที่จะซื้อ เมื่อซื้อแล้ว ทำให้เราต้องเงินขาดมือ หรือไม่ ของที่จะซื้อ รอได้อีก หรือไม่ พิจารณาให้ดีๆ ส่วนหนึ่ง ที่เงินขาดมือ มาจากการซื้อของ โดยไม่คิดเน้น ซื้อของโดย มุ่งประโยชน์เทียม มากกว่าประโยชน์แท้ เช่น เงินเดือนน้อยอยู่แล้ว แต่ชอบนำเงิน ไปใช้จ่าย โดยไม่จำเป็น ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า กระเป๋ารองเท้า ทุกเดือน หรือซื้ออุปกรณ์ ที่เป็นเทคโนโลยี แบบเกินกว่าความจำเป็น ต้องใช้จริง ในชีวิตประจำวัน เป็นต้น ซึ่งเราต้องเปลี่ยนพฤติกรรม โดยหันมาประหยัด เน้นประโยชน์แท้ มากกว่าประโยชน์เทียม หากยังเป็นคนไม่อดออม สุรุ่ยสุร่าย ออกไปกินข้าวนอกบ้านทุกวัน รายจ่ายมากกว่ารายได้ ขาดปัญญาในการใช้เงิน ก็ย่อมต้องมีปัญหา ทางการเงิน อยู่ตลอดเวลา การแก้ไข ควรเป็นไปทั้งสองทาง ทั้งทางโลก และทางธรรม เพื่อให้เกิด การเสริมแรง ซึ่งกันและกัน

การแก้ไขกรรมในทางโลก เกือบทุกคนนั้น ล้วนต้องมี “หนี้” อยู่ มากบ้างน้อยบ้าง ใครที่เป็นหนี้เป็นสิน คนอื่นอยู่ ต้องอย่าหลบ อย่าหนี ให้ติดต่อเจ้าหนี้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบ เท่าที่กำลังจะทำได้ หากยังไม่ได้ ในขณะนี้ ก็ต้องทำการขอโทษเขา และขอโอกาสเขา ที่จะแก้ตัว ขอผ่อนใช้เขาไป จะน้อย หรือมาก ก็ต้องทำ ถ้าทำไม่ได้ อย่าไปรับปากส่งเดช จะทำให้เกิดกรรมใหม่ ที่หนักกว่ากรรมเก่า ยิ่งกว่าเดิม เป็นการสร้างรอยแผล และผูกแค้นให้กับเจ้าหนี้อีก ซึ่งการแสดงความรับผิดชอบ และจริงใจ ในการจะรับผิดชอบหนี้ ที่เกิดขึ้น อย่างน้อย ก็จะเป็นการผ่อนคลาย ความตึงเครียดต่อเจ้าหนี้ ให้เขาเกิดความเชื่อมั่นว่า คนเป็นลูกหนี้ จะไม่เบี้ยว หรือหนีหายไป ส่งผลให้กรรมทั้งหลาย อาจคลายตัวให้เบาบางลง นอกจากนั้น เรายังต้องพิจารณาตนเอง ให้สม่ำเสมอว่า เราเองยังเป็นคน ที่หาเงินไม่คล่อง ถ้าเพราะเราไม่มีช่องทาง หรือไม่มีคน สนับสนุน ก็ต้องแสวงหา ต้องเปิดประตูโอกาส ด้วยตัวเอง เริ่มจากการสร้างนิสัย ในการอ่อนน้อมถ่อมตน ความเย่อหยิ่งจองหองนั้น ไม่เคยช่วยชีวิต ให้ใครสบายขึ้น ผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน แบบไม่ประจบประแจง ย่อมได้รับความเมตตา ช่วยเหลือได้ดีกว่า คนที่เสแสร้ง หรือเย่อหยิ่ง หากผู้ที่เราไปขอความช่วยเหลือ มีบุญร่วมกันมา ก็ยิ่งถือเป็นเรื่องง่าย โดยสังเกตได้จาก อัธยาศัยไมตรี ในการพูดคุยครั้งแรก หากถูกชะตา หรือเข้าหาได้ง่าย ก็แสดงว่า มีความเกี่ยวพันกัน มาก่อนในทางที่ดี

การแก้ไขในทางกรรม ทางแก้ไขในเรื่องนี้ แบบเร่งด่วน เพื่อให้ได้ผลทันใจนั้น ควรหมั่นทำทาน เสียใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วยทาน ๓ อย่าง ที่เกิดบุญมาก อย่างสม่ำเสมอ คือ วัตถุทาน ธรรมทาน และอภัยทาน ซึ่งมีดังนี้

๑. วัตถุทาน ที่จะทำ เอาแบบที่ตั้งใจทำ แบบไหน แค่ไหน ให้ทำแบบนั้น อยากทำ ๑ บาท ก็ ๑ บาท อยากทำ ๑๐๐ บาท ก็ ๑๐๐ บาท อยากถวายข้าวเปล่า ก็ข้าวเปล่า ไม่ต้องเสียดาย ในการทำทานทุกครั้ง ควรระวัง อย่าให้จิตตก ไปพะวงว่า คนที่รับทานนั้น เขาจะเอาวัตถุทาน หรือปัจจัยนั้น ไปทำอะไร ยิ่งวัตถุทานนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ต้องใช้ในชีวิตของเรา แต่เราเสียสละ ให้คนอื่นได้ จะยิ่งมีอานิสงส์มาก

๒. ธรรมทาน คือ การเอาความรู้ ไปช่วยให้เขาพ้นทุกข์ เป็น วิทยาทาน ไม่ว่าจะเป็นทางโลก และทางธรรม เช่น ไปสอนเขาปลูกผัก ให้ถูกต้อง ไปสอนเขาทำอาหาร ให้ดีให้เก่ง สอนวิชาช่าง ไปทำเป็นอาชีพได้ บอกทางให้เขา ได้เดินชีวิตถูกต้อง การให้กำลังใจเขา ให้สู้ชีวิต การไปร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะ หนังสือสวดมนต์ หรือแม้แต่เรา ไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว ก็เป็นผู้นำบุญ ไปบอกไปเชิญชวน ให้คนมาร่วมพิมพ์หนังสือ หรือชวนคนทำบุญ ถือว่าเป็นธรรมทานทั้งสิ้น

๓. อภัยทาน เรื่องนี้เป็นบุญใหญ่ที่สุด ลักษณะการทำนั้น ทำได้ง่ายด้วยตัวเอง ไม่ต้องเสียเงินทอง แต่อภัยทาน แม้รูปแบบจะทำได้ง่าย แต่ว่า กลับทำได้ยากที่สุด ในทานทั้งหมด เพราะว่าวิสัยของปุถุชน ย่อมมีความโกรธ ความอาฆาตพยาบาท อยู่ในกมลสันดานอยู่แล้ว ซึ่งต้องหมั่นฝึกฝน ทำให้เป็นประจำ ซึ่งถ้ามีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นหลัก จะช่วยให้ง่ายขึ้น และสำเร็จได้แบบสบายๆ การให้อภัยนั้น ควรเริ่มจากการตั้งจิต ให้สงบเสียก่อน คือให้ละจาก อารมณ์โกรธเคียดแค้นใดๆ ให้ได้ก่อน แม้ความขัดเคืองในใจ ยังมีอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องทำให้ จิตสงบนิ่งให้ได้ ขอให้คิดว่า กรรมใดๆ เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เราเคยไปสร้างกรรมเวรไว้กับเขา เมื่อถึงเวลาเขา ก็ต้องมาเอาคืน เป็นการดีแล้ว ที่เราใช้หนี้เขาไปเสีย จะได้ไม่ติดค้างกันอีก หมดสิ้นกันเสียที จากนั้น ให้อโหสิกรรม ต่อเจ้ากรรมนายเวรเขาเสีย ไม่ให้มีเวรกรรม ติดค้างผูกพันกันอีก ต่อมาคือ ให้อภัยต่อคนรอบข้างทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใคร เป็นพ่อแม่ พี่น้อง ลูก ญาติมิตร คนร่วมงานกัน คู่ค้า ลูกค้า สัตว์เลี้ยง สรรพสัตว์ต่างๆ หมั่นให้อภัยทานบ่อยๆ จิตเราจะมีกำลังมาก ทำอะไร ก็สำเร็จ ไม่มีกรรมมาเหนี่ยว มาขวางเอาไว้ แต่ต้องให้อภัยทั้งหมด ทั้งกาย วาจา และใจ และที่สำคัญ พยายามให้คนรอบข้าง ที่มีส่วนในชีวิตของเรา ให้อโหสิกรรมต่อกัน และกัน



การสร้างทานใหญ่ด้วย วัตถุทาน ธรรมทาน อภัยทาน ควรทำในทุกๆ วัน ยิ่งวันละหลายครั้ง ก็จะยิ่งดีขึ้น อย่างทันตาเห็น เคล็ดลับสำคัญคือ การทำทาน ให้เป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก เพราะยิ่งเกิดประโยชน์มากเท่าใด โชคลาภจะหลั่งไหล มาสู่ไม่ขาดสาย เงินทองจะไม่ขาดมือ ไม่มีขัดสน ด้วยอานิสงส์บุญที่ทำลงไป เช่น ร่วมสร้างถนน โรงพยาบาล ร่วมซื้อเครื่องมือแพทย์ สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ สร้างมหาเจดีย์ หรือโรงทาน เป็นต้น เมื่อทำทานครั้งใด เสร็จสิ้น ให้อุทิศบุญ ไปให้เจ้ากรรมนายเวร เขาทันที พูดด้วยภาษาง่ายๆ ก็ได้ ให้เขามารับบุญกุศลนี้ ถ้าเขาพอใจแล้ว ยินดีในบุญแล้ว ขอให้เขาอโหสิกรรมให้ ถอนตัวไป จากการขัดขวางในเรื่องเงินนี้ และต้องระบุไปอย่างเจาะจงเลย การที่เราไม่บอก แบบเจาะจง ว่าเดือดร้อนเรื่องอะไร เจ้ากรรมนายเวร อาจนึกว่าเป็นดอกเบี้ยกรรม จึงนิ่งเฉย ไม่ถอนตัวออกไป เพราะเขาไม่รู้ว่า เราต้องการอะไรกันแน่

นอกจากเจ้ากรรมนายเวรแล้ว เราต้องอุทิศบุญ ให้กับเทวดาประจำตัว ดวงวิญญาณ ที่ดูแลคุ้มครองเราอยู่ ซึ่งทุกคนนั้น ตามความเชื่อ มีเทวดาประจำตัว อย่างน้อย 2 ตนขึ้นไป และดวงวิญญาณ ที่คุ้มครองด้วย ท่านเหล่านี้ มาจากคนที่รักเรา เมตตาเรา อย่างจริงใจ และมีกรรมดี ผูกพันกันมา อาจจะเป็นบรรพบุรุษ ในอดีตชาติ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย พี่น้อง ลูก ญาติ หรือเพื่อนสนิท ครูบาอาจารย์ ที่ตายไปแล้ว และอยู่ในภพภูมิอื่น ท่านยังเป็นห่วง จึงมาดูแลเราอยู่

เพราะฉะนั้น เราต้องหมั่นอุทิศบุญ ส่งไปให้ท่าน เพื่อให้ท่าน มีบุญเพิ่มขึ้น และสายใยแห่งบุญ ที่เหนียวแน่น มั่นคง ท่านจะรัก และเมตตาเรา มากขึ้นไปอีก ท่านเหล่านี้ มีอำนาจในระดับหนึ่ง ที่จะช่วยดลใจให้เรา พบช่องทางการหาเงิน ที่ถูกต้อง ถูกธรรม ไม่มีกรรมชั่วติดมาด้วย ช่วยดลใจให้เราพบคนดีที่จะช่วยเหลือ ดลใจให้เราพบโชคลาภ ที่ถึงเวลาจะได้ จากที่เคยช้า ก็จะเร็วขึ้น

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ขอบคุณที่มา http://purifilm.blogspot.com/2017/12/ep20.html

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

บาปกรรมหนัก 3 ข้อ ของการเป็นชู้ คบชู้และนอกใจ

กรรมของคน ชอบใส่ร้ายป้ายสี และนินทาผู้อื่น

หนทาง 7 สาย กรรมดีกรรมชั่ว ชีวิตหลังความตาย

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

พุทธประวัติ EP.4 การจุติจากดุสิตลงสู่ครรภ์ เกิดแสงสว่าง และแผ่นดินไหว เนื่องด้วยการจุติ

ผ้าเปลือกปอ (เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม)

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

วันอาสาฬหบูชา มีความสำคัญอย่างไร

เปรตรับผลบุญได้ การสงเคราะห์ผู้ล่วงลับไปแล้ว