ทุกข์เพราะโง่เขลา ข้อคิดเตือนใจ ให้รู้จักปล่อยวาง

สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมี คติธรรมและข้อคิด เรื่องของทุกข์เพราะความโง่เขลา ซึ่งเป็นข้อคิดเตือนใจ ให้รู้จักปล่อยวาง มาฝากครับ



หลายๆท่าน เมื่อเจอกับปัญหาชีวิต ก็พยายามอยากจะปล่อยวาง แต่งบางครั้ง ก็ทำไม่ได้ ซ้ำยังเป็นทุกข์หนักกว่าเดิมอีก คลิบนี้ผมจึงเอา คติธรรมและข้อคิด ของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ในการดำเนินชีวิต เพราะถ้าเรา ไม่เลือกที่จะปล่อยวางจากความทุกข์ เราก็จะหาความสุขไม่เจอ และจะกลายเป็นคนที่โง่เขลา ที่ไม่รู้จัก วิธีการสลัดความทุกข์ ออกไปให้ไกลๆ จากตัวเอง เรามาดูครับว่า ข้อคิดเตือนใจ ที่อาจจะช่วยให้เราหลุดพ้น จากความทุกข์ได้นั้น มีอะไรบ้างครับ

๑. ถ้าเรา ไปเกี่ยวข้องด้วยความเขลา เราก็เป็นทุกข์ สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ที่เราได้พบ ได้เห็น กันอยู่ทุกเวลานั้น ถ้าเรา เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความเขลา เราก็จะเป็นทุกข์ แต่ถ้าเรา เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยปัญญา เราก็จะไม่เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ เพราะการเปลี่ยนแปลงของสิ่งนั้นๆ จึงเป็นเหตุให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ จิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปขนาดนั้น เขาเรียกว่า มันเปลี่ยนหน้าตาไป

๒. ดีใจ มันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน เสียใจมันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน บางครั้งก็เป็นไป ในทางดีใจ บางครั้งก็เป็นไปในทางเสียอกเสียใจ ซึ่งเป็นต้นเหตุ ให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ทั้งสองอย่าง ดีใจมันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน เสียใจก็เป็นทุกข์เหมือนกัน แต่ว่าดีใจนั้น มันเป็นทุกข์ที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง ส่วนเสียใจนั้น เป็นทุกข์เปิดเผย มองเห็นได้ทันท่วงที

๓. เรื่องที่ปรากฏอยู่ ในจิตใจของท่านทั้งหลาย ความดีใจนั้น มันเป็นทุกข์ภายหลัง เมื่อสิ่งที่เราดีใจนั้น สูญเสียไป อันนี้เป็นเรื่องที่ปรากฏอยู่ ที่จิตใจของท่านทั้งหลาย ในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เราจะพบว่า มีอะไรๆ เกิดขึ้น ในชีวิตของเราหลายเรื่อง หลายประการ บางเรื่องก็เป็นอย่างหนึ่ง บางเรื่อง ก็เป็นไปอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเรา ไม่ค่อยจะได้เอามา พิจารณาเท่าใดนัก มักจะปล่อยให้มันผ่านพ้นไป ตามเรื่องราว

๔. ไม่เกิดอะไรขึ้น ในด้านปัญญา เช่น ความสุขเกิดขึ้นผ่านพ้นไป เราก็ให้มันผ่านพ้นไปเฉยๆ ความทุกข์เกิดขึ้น เมื่อผ่านพ้นไปแล้ว ก็ผ่านพ้นไปเฉยๆ อย่างนี้ ไม่เกิดอะไรขึ้น ในด้านปัญญา คือ เราไม่ได้นำเรื่องนั้น มาพิจารณาว่า เกิดขึ้นจากอะไร และเราควรจะทำใจ ของเราอย่างไร เราไม่ได้พิจารณาไตร่ตรอง ในเรื่องนั้นอย่างรอบคอบ ก็ไม่เกิดปัญญาเพิ่มขึ้น อยู่อย่างใด ก็เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดไป

๕. นำเรื่องนั้น มาพิจารณาไตร่ตรอง แต่ถ้าหากว่าเรา ได้นำเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในวิถีชีวิตของเรา มาพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป เราก็จะเข้าใจเรื่องนั้น ได้ถูกต้องมากขึ้น ได้ปัญญามากขึ้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนเราทั้งหลาย ให้อยู่ด้วยปัญญา หมายความว่า ให้พิจารณาสิ่งทั้งหลาย ที่เกิดขึ้น ในวิถีชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องได้ เรื่องเสีย เรื่องความสุข ความทุกข์ เรื่องความเสื่อม หรือความเจริญที่เกิดขึ้น ภายในวิถีชีวิตของเราแล้ว เราก็ต้องนำเรื่องนั้น มาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อให้รู้ชัด เห็นชัด ในเรื่องนั้น ตามสภาพ ที่มันเป็นอยู่จริงๆ

๖. การรู้ชัด ตามสภาพที่มันเป็น การรู้ชัด ตามสภาพที่มันเป็น จะทำให้เราคลายปัญหาได้ และเรา จะไม่สามารถสร้างปัญหาอะไรเพิ่มขึ้นอีก ในวิถีชีวิตของเรา เพราะว่าปกติคนเรานั้น มักชอบสร้างปัญหา ทำปัญหาให้เกิดขึ้นในชีวิต ด้วยประการต่างๆ เพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจ บางทีปัญหาเหล่านั้น มันเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก อยู่เรื่อยไป ไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักสิ้น นั่นก็เพราะว่า เราไม่ได้พิจารณา ในเรื่องนั้นๆ ไม่เอาเรื่องนั้น มาเป็นบทเรียน เป็นเครื่องสอนใจ จึงได้สร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก

๗. ไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักสิ้น เหมือนคนที่โกรธแล้วโกรธอีก เกลียดแล้วเกลียดอีก พยาบาทแล้ว ก็พยาบาทอีกเรื่อยไป ไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักสิ้นกันเสียที ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า ไม่ได้นำมาพิจารณาว่า ทำไมเราจึงได้โกรธ ทำไมเราจึงได้เกลียด ทำไมเราจึงได้พยาบาท ในบุคคลนั้น ในวัตถุนั้นๆ แล้วเราก็ไม่ได้พิจารณาว่า ในเวลาเราโกรธนั้น สภาพจิตใจ เป็นอย่างไร มีความร้อน หรือมีความเย็นอย่างไร เวลาเราเกลียด สภาพจิตใจเป็นอย่างไร



๘. จนเป็นเหตุ ให้เกิดความทุกข์ เราไม่ได้นำ มาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อให้รู้ชัดในเรื่องนั้น ตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ ก็เลยเผลอไปประมาท ไปทำสิ่งนั้นบ่อยๆ จนเป็นเหตุ ให้เกิดความทุข์ ไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักสิ้น อันเป็นคำที่เราเรียกกันว่า ไม่รู้จักเข็ดหลาบ ไม่รู้จักกลัว ต่อสิ่งเหล่านั้น เพราะว่าเรา ไม่ได้นำมาพิจารณา อันนี้เรียกว่า ไม่ได้ปฏิบัติธรรมนั่นเอง

๙. เรานำมาพิจารณา ด้วยความเขลา การปฏิบัติธรรม ก็ต้องใช้ปัญญา พิจารณาไตร่ตรอง ในเรื่องอะไรต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น ในวิถีชีวิตของเราอยู่บ่อยๆ แม้เรื่องนั้น จะผ่านพ้นไปแล้ว เราก็นำมาพิจารณา ด้วยปัญญาได้ การนำอะไร ที่ผ่านพ้นไปแล้ว มาพิจารณาด้วยปัญญานั้น ไม่เป็นเรื่องเสียหาย แต่ถ้าเรานำมาพิจารณา ด้วยความเขลา คือ ไม่ได้พิจารณา นำมานั่งคิด นั่งนึก กลุ้มอก กลุ้มใจ มีความวิตกกังวล ด้วยปัญหาอะไรต่างๆ ซึ่งมักจะเกิดขึ้น ในจิตใจของเราบ่อยๆ เราทุกคนคงจะเป็นอย่างนั้น

๑๐. คิดด้วยความโง่เขลา เช่น มีความเสียใจไม่รู้จักจบ มีความโกรธไม่รู้จักจบ มีความเกลียด อะไรในเรื่องของใครๆ ไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักสิ้น อย่างนี้เรียกว่า เราไม่ได้พิจารณา แต่ว่าเรานำเรื่องนั้น มาคิดเองเท่านั้น มาคิดเองด้วยความอาลัย คิดด้วยความโง่ ความเขลา เมื่อเราคิดด้วยความโง่ ความเขลา มันก็สร้างปัญหาขึ้น มาในจิตใจของเรา

๑๑. ถ้าเราคิดด้วยปัญญา ถ้าเราคิดด้วยปัญญา จะไม่สร้างปัญหา แต่เป็นการคลายปัญหานั้น ให้หมดไป คำที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า “อย่าคิดถึงสิ่งที่ล่วงแล้วด้วยอาลัย” การคิดถึงอะไร ที่ล่วงมาแล้ว ด้วยความอาลัย หมายความว่า ด้วยความเสียดาย ในเรื่องนั้นๆ เราจะมีความทุกข์ในเรื่องนั้น

๑๒. หูตาสว่าง การคิดอย่างนั้น ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเรา นำมาคิดเพื่อให้เกิดปัญญา เรียกว่า เอามาวิเคราะห์ วิจัยในเรื่องนั้น ให้รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร อย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง อย่างนี้ ไม่เป็นเรื่องเสียหาย แต่เป็นเรื่อง ที่จะช่วยให้เรา หูตาสว่าง และมีจิตใจสว่างขึ้นด้วย

เป็นยังไงบ้างครับคุณผู้ชม ข้อคิดเตือนใจ ที่ ทำให้เรารู้จักปล่อยวาง อย่าคิดถึงสิ่งที่ล่วงแล้วด้วยอาลัย จะทำให้เราจมอยู่กับความทุกข์ ครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

บาปกรรมหนัก 3 ข้อ ของการเป็นชู้ คบชู้และนอกใจ

กรรมของคน ชอบใส่ร้ายป้ายสี และนินทาผู้อื่น

หนทาง 7 สาย กรรมดีกรรมชั่ว ชีวิตหลังความตาย

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

พุทธประวัติ EP.4 การจุติจากดุสิตลงสู่ครรภ์ เกิดแสงสว่าง และแผ่นดินไหว เนื่องด้วยการจุติ

ผ้าเปลือกปอ (เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม)

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

วันอาสาฬหบูชา มีความสำคัญอย่างไร

เปรตรับผลบุญได้ การสงเคราะห์ผู้ล่วงลับไปแล้ว