ออกจากทุกข์ ออกจากกรรม ด้วยทานและศีล

สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมีคติธรรมและข้อคิด เรื่องของการออกจากความทุกข์ ออกจากกรรม ด้วยการทำทานและรักษาศีลมาฝาก ครับ



เรื่องของความทุกข์นั้น เราคงจะหนีไม้พ้น ไม่ว่าจะมากหรือน้อย เราก็คงจะพบเจอกับความทุกข์แทบทุกวัน ไม่ว่าจะทุกข์ทางกาย หรือทุกทางใจ ล้วนทำให้เราไม่มีความสุข คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมของครูบาอาจารย์ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ที่กำลังมีความทุกข์ ซึ่งหลายๆ ท่านนั้น ก็ชอบทำทาน และรักษาศีลเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะทานนั้น ช่วยแก้ปัญหาความทุกข์ จากการกลัวจะเสียของไป ส่วนศีลนั้น เป็นการแก้ปัญหาความทุกข์ เพราะกลัวจะไม่ได้ของมา ด้วยการสละออก ที่เริ่มตั้งแต่ที่ใจของเรา คือพร้อมจะสละ ในสิ่งที่ไม่ใช่ส่วนของตน แทนที่จะดับความอยากนั้น ด้วยการพยายามไปครอบครอง ของที่ไม่ใช่ของตน ซึ่งจะไม่ได้ เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ที่ความอยากของเรา แต่เป็นการสร้างกรรมใหม่ อันจะเป็นผลให้เรา ต้องชดใช้กรรม และมีความทุกข์ไปเรื่อยๆ ตามเหตุ ที่เราได้เคยกระทำ ให้ผู้อื่นทุกข์ใจไว้

พระพุทธองค์ ทรงตรัสสอน เกี่ยวกับการดำเนินชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งในระดับการดำเนินชีวิต อย่างสงบสุขในสังคม ไปจนถึง การออกจากทุกข์ถาวร ซึ่งหลายท่าน ก็อาจจะเคยได้ยิน เกี่ยวกับเรื่องไตรสิกขา อันได้แก่ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา หรือ เรียกโดยย่อว่า ศีล สมาธิ และปัญญา ไตรสิกขานี้ เกี่ยวข้องเป็นประโยชน์ ทั้งในระดับการดำเนินชีวิต และการออกจากบ่วง ออกจากวงจรความทุกข์ โดยเราสามารถได้ประโยชน์ ทั้งสองอย่างสูงสุด ด้วยการมีเป้าหมายของใจ ที่จะศึกษาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของความทุกข์ทางใจทุกชนิด จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และเรื่อง ของการทำทานนั้น ก็เป็นฐานแรก ในการพาใจออกจากทุกข์ หลายๆ ท่าน อาจจะคงได้ยินว่า การให้ทาน เป็นเหตุ หรือเป็นบุญ ที่ส่งผลให้เราร่ำรวย ไม่ลำบากยากจน ในชาติต่อไป และนี้ ก็เป็นส่วนของประโยชน์ ในการดำเนินชีวิต ในการอยู่กับโลก แต่ในแง่ การทำให้ออกจากทุกข์ถาวรนั้น การได้ทำทาน ที่เป็นทานจริงๆ เป็นประจำ คือมีกิริยาทางกาย ที่เป็นการให้ และประกอบด้วย กิริยาทางใจ ที่เป็นการสละสิ่งของ ที่เป็นของเรา เมื่อทำบ่อยๆ จนคล่องแคล่วและชำนาญ ก็จะเป็นการฝึกใจ ให้รู้จักปล่อยวาง สิ่งที่ยึดถือว่า เป็นของเรา ซึ่งจะมีประโยชน์มาก ในการฝึกใจ ให้รู้จักการปล่อยวางจากความทุกข์ ทำให้ ไม่มีความทุกข์นาน ลองสังเกตจิตใจ เปรียบเทียบกัน ระหว่างที่ได้ทำทาน ด้วยการสละ การไม่ถือ ไม่ยึด จะให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง แต่เวลาที่มีความทุกข์ มันจะรู้สึกหนัก และแน่น ที่มันหนัก มันแน่น ก็เพราะใจเรายึด เราถือมันไว้ ดังนั้น ที่เรามีความทุกข์ ก็เพราะเราไม่เคยรู้ตรงนี้ และเพราะใจเราเคยชิน ที่จะถือมากกว่าปล่อย

ส่วนในเรื่องของการรักษาศีล หลายท่านที่ได้ศึกษามาบ้าง คงจะเคยได้ยินว่า การรักษาศีลเป็นการปกป้องเรา จากภยันตราย อันเนื่องมาจาก การที่เราไม่เบียดเบียนผู้อื่น ก็จะไม่มีใคร มาเบียดเบียนเรา และการรักษาศีล อย่างหมดจด คือการไม่กระทำกรรมใดๆ ตามอำนาจกิเลส อันเป็นเหตุ ให้เกิดความเศร้าหมอง ผลที่ได้ จึงเป็นไป ในทางตรงกันข้าม คือจะส่งผล ตกแต่งให้กาย หน้าตา ผิวพรรณดูผุดผ่อง สดใส เมื่อสะสมไปมากๆ ก็จะเป็นฐานบุญ ให้ชาติใหม่ เกิดมา มีรูปร่างหน้าตา ที่สมส่วนดูดี ส่วนในแง่ ของการรักษาศีล ที่มีประโยชน์ ต่อการฝึกตนฝึกใจนั้น หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ท่านได้เคยกล่าวไว้ว่า “คนเราละเมิดศีล ก็เพราะกรรม ที่เคยกระทำมาส่งผลให้เท่านี้ แต่แล้วก็ยังไม่จุใจ และทางเดียวที่จะได้มา ก็คือ ต้องไปเอาส่วน ที่เป็นของคนอื่น มาเป็นของเรา จึงมีการละเมิดศีล คือไปละเมิด ของที่ไม่ใช่ของเรา” การรักษาศีล จึงเป็นการฝึกความตั้งใจ ที่จะไม่ละเมิดผู้อื่น “ด้วยความอยาก” อันเป็นก้าวแรก ที่นำชีวิตของคนเรา ไปสู่ความทุกข์

หากเรา ได้มีการรักษาศีลไว้อย่างดี ใจจะรู้จักสละ ความอยากครอบครอง ที่เป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น เมื่อฝึกจนจิต เกิดความชำนาญ ก็จะมีผล ช่วยลดระงับความเร่าร้อน ในความอยากนั้น เนื่องจาก มีความเข้าใจ และเห็นโทษ เพราะสามารถเชื่อมโยงได้ว่า การละเมิดใจผู้อื่นในวันนี้ จะนำไปสู่ การถูกละเมิดใจ ในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน คือความสุข ที่ได้ในตอนนี้ จะพลิกเป็นความทุกข์มหันต์ ในวันข้างหน้า จึงมีผล ทำให้ใจรู้จักระงับ ยับยั้ง ไม่หลงไปกับกระทำ ตามความอยาก จนไปก่อกรรม ที่จะทำลายความสุข ทั้งของเราเองในอนาคต และความสุขของคนรอบข้าง ในปัจจุบัน

กล่าวโดยรวมแล้ว การทำทาน และรักษาศีลนั้น ก็ตอบโจทย์ ของการอบรมจิต เพื่อป้องกันความทุกข์ จากทั้งสองปัญหาใหญ่ ก็คือ ทานนั้น แก้ปัญหาความทุกข์ จากการกลัวจะเสียไป ส่วนศีลนั้น ก็เป็นการแก้ปัญหาความทุกข์ เพราะกลัวไม่ได้มา ด้วยการสละออก ที่เริ่มตั้งแต่ที่ใจของเรา คือพร้อมที่จะสละ ในสิ่งที่ไม่ใช่ ส่วนของตน แทนที่จะดับความอยากนั้น ด้วยการพยายาม ไปครอบครอง ของที่ไม่ใช่ของตน ซึ่งจะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ที่ความอยากของเรา แต่เป็นการก่อกรรมใหม่ อันจะเป็นผลให้เรา ต้องชดใช้ และมีความทุกข์ไปเรื่อยๆ ตามเหตุที่เรา ได้เคยกระทำให้ผู้อื่นทุกข์ใจไว้



เมื่อจิต รู้จักสละ ละ วางความยึด ด้วยการหมั่นทำทาน และรักษาศีลบ่อยๆเข้า เกิดความสนใจ และใส่ใจ ดูการกระทำของจิตบ่อยๆ จนเกิดความเคยชิน จิตก็จะเกิดความฉลาด หรือเกิดปัญญา ในการดูจิตมากขึ้น เป็นลำดับต่อมา คือเห็นกระบวนการทำงาน ของจิต รู้ตั้งแต่จิตกำลังทะยาน หรือเกิดตัณหา ไปอยากได้ของ ที่ไม่ใช่ของเรา ทะยานไปยึด ของที่เป็นของเราแล้ว แต่อาจจะเสียไป หรือกำลังจะเสียไป ตัณหา หรือความอยากนี้แหละ คือสมุทัย หรือเหตุแห่งทุกข์ ถัดจากนั้น เมื่อรู้ใจตนเองมากเข้า ก็จะเห็นได้ว่า ที่มันทะยานเรื่อยๆ นั้น ก็เพราะมันมีความเห็นผิดว่า เป็นเรา เป็นตัวเรา คืออัตตา ก็จงดูอยู่ที่จิต จนกว่าจะเห็นอนัตตา หรือความไม่ใช่ของเรา ความสั่งไม่ได้ คือเห็นว่าทุกๆ อย่าง ที่ประกอบกันขึ้นมา เป็นตัวเราทั้งร่างกาย และจิตใจนี้ มันไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้ ทั้งหมดนี้ ทุกโมเลกุล คืออาหาร ที่ยืมมาจากโลก เวลาทุกข์ ก็สั่งให้สุขไม่ได้ เวลากำลังสุข จะไปสั่งให้มันทุกข์ ก็ไม่ได้ คือ เข้าถึงธรรม ด้วยการปล่อยวาง ความเป็นตัวเรา ทิ้งความเป็นเรา เมื่อหมดความเห็นผิดว่า เป็นตัวเรา หมดความยึด จากการเฝ้าสังเกตใจ ก็จะหมดการกระทำ อันจะนำหรือก่อ ให้เกิดภพ เกิดชาติ และเกิดความทุกข์ทางใจ ได้อย่างถาวร ครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

บาปกรรมหนัก 3 ข้อ ของการเป็นชู้ คบชู้และนอกใจ

กรรมของคน ชอบใส่ร้ายป้ายสี และนินทาผู้อื่น

หนทาง 7 สาย กรรมดีกรรมชั่ว ชีวิตหลังความตาย

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

พุทธประวัติ EP.4 การจุติจากดุสิตลงสู่ครรภ์ เกิดแสงสว่าง และแผ่นดินไหว เนื่องด้วยการจุติ

ผ้าเปลือกปอ (เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม)

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

วันอาสาฬหบูชา มีความสำคัญอย่างไร

ประโยชน์ของการเจริญสมาธิ (สัมมาสมาธิ)