ทาน ศีล ภาวนา คืออะไร ปฏบัติแล้วได้อานิสงส์อะไร

สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมีคติธรรมะและข้อคิด เรื่องความสุขที่แท้จริง ของการสร้างบุญ สร้างบารมีสูงสุด มาฝากครับ



ครูบาอาจารย์ ท่านได้ให้คติธรรมไว้ว่า "บุญเราไม่เคยสร้าง ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือ บารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมี คนอื่นมาช่วย มิฉะนั้น เจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมี ที่ไปเที่ยวขอยืมมาจนพ้นตัว"

การเจริญภาวนานั้น เป็นการสร้างบุญสะสมไว้ ที่ถือได้ว่า ได้บุญบารมีอย่างมากมาย และยิ่งใหญ่ ในพระพุทธศาสนา ถือว่าเป็นแก่นแท้ เพราะว่าการเจริญภาวนา เป็นการเน้น ระงับการกระทำความชั่วทางใจ คือ เป็นการซักฟอกจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ ซึ่งการเจริญภาวนานั้น สามารถแบ่งออกเป็น ๒ ประการใหญ่ๆ ที่จะทำให้เราเข้าใจได้ง่าย มีดังนี้

๑. การทำสมาธิด้วยสมถะภาวนา การทำสมาธิแบบสมถะภาวนา คือ การกำหนดใจให้นิ่ง กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อยู่เป็นอารมณ์เดียว ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม ขอให้เพียงแต่ใจอยู่นิ่งไม่วอกแวก ก็คือเป็นสมาธิ ถ้าเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด และเราคุ้นเคยที่สุดก็คือ การไหว้พระสวดมนต์ การกำหนดจิต ด้วยการสวดมนต์นี้ จะทำให้จิตนิ่งอยู่ที่บทสวด ซึ่งก็เรียกได้ว่า เป็นการทำสมาธิระดับต้นขั้นที่หนึ่ง หรือขณิกสมาธิครับ

๒. การเจริญปัญญา การเจริญปัญญานั้น ต่างไปจากความเป็นสมาธิ ตรงที่สมาธิ เป็นเพียงการทำใจให้สงบนิ่ง อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เพียงอารมณ์เดียวแน่นิ่ง อยู่อย่างนั้น โดยไม่ได้นึกคิดอะไร แต่การเจริญปัญญา ที่คำพระท่านว่า วิปัสสนานั้น ไม่ใช่ทำให้แค่จิตใจตั้งมั่น อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น การเจริญปัญญานั้น เป็นการคิดใคร่ครวญ เพื่อหาเหตุผล ในสภาวะที่เป็นธรรม และความจริงในแต่สรรพสิ่งที่ว่า สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป หืรอ อนิจจัง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทุกข์ หรือ ทุกขัง คือทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสภาพที่ ไม่อาจทนอยู่ในสภาพเดิมได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่อาจทรงตัว ต้องเปลี่ยนแปลงไป ทำให้อารมณ์ความเปลี่ยนแปลง ไปตามวัตถุ ซึ่งก่อให้เกิดทุกข์ตามมา และสุดท้ายก็คือ ทุกสิ่งไม่มีตัวตน และไม่ใช่ตน หรือของใคร ใดๆ ทั้งสิ้น คือ อนัตตา

การเจริญสมาธิและปัญญา จะทำให้พบกับความสุขที่แท้จริง เพราะความสุข ที่ได้จากการเจริญภาวนานั้น เป็นความสุขที่เรียกได้ว่า ละเอียดกว่าความสุข ทางกายมากมายนัก และมีถึง ๓ ขั้น คือ มีความสุขในปัจจุบัน สุขในโลกหน้า และมีความสุข เป็นที่สุด คือนิพพาน ซึ่งขยายความได้ดังนี้

๑. ความสุขในปัจจุบัน เมื่อฝึกทำสมาธิ ได้ในระดับเบื้องต้น เพียงแค่เราปล่อยวางให้ผ่อนคลาย กับเรื่องราวต่างๆ ได้ ก็เกิดผลบุญขึ้น คือ ใจเราเป็นสุข ที่ได้ปล่อยวางได้ พบกับความสุขใจ ในขั้นพื้นฐานได้แก่ เมื่อหลับก็มีความสุข เมื่อตื่นก็เป็นความสุข จะนั่ง จะนอน จะยืน หรือเดิน ไม่ว่าอิริยาบถไหน ก็มีความสุขทั้งสิ้น มีความสุข ที่ไม่ต้องเลือกเวลา และสถานที่ เพราะว่าจิตใจของเรานิ่ง และเป็นสุขแล้ว ดังที่พระท่านกล่าวว่า "นัตถิ สันติปะรัง สุขัง" สุขอื่นนอกจากหยุดนิ่งนั้น ไม่มี

๒. ความสุขในโลกหน้า ความสุขในระดับขั้นต่อไปนั้น ก็คือ เมื่อเราได้ละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็จะได้ไปเสวยสุข ในภพภูมิ ที่เป็นสุขขึ้นไป ในโลกหน้า เพราะการที่เราจะไปสู่ "สุคติ" หรือภพที่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับความหมอง หรือความใส ของจิตเป็นหลัก หากก่อนตาย มีจิตใจที่ผ่องใสเป็นสุข ก็มีสุคติเป็นที่ไป หากก่อนตาย จิตนั้นมีความขุ่นข้องเป็นทุกข์ ก็มีทุคติเป็นที่ไป ตามหลักกรรมแห่งอาสันนกรรม

๓. ความสุขอันเป็นนิพพาน การเจริญภาวนานั้น เป็นเหตุให้หลุดพ้นจากกิเลส หากหมั่นเพียร ฝึกฝน จนกระทำสำเร็จ สิ้นกิเลสในภพชาติปัจจุบัน ก็จะทำให้จิตหลุดพ้น ไม่ต้องกลับไป เวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฏอีก อันหมายถึงพระนิพพาน ซึ่งความสุขแบบนี้ มีแต่พระพุทธเจ้า กับเหล่าพระอรหันต์เท่านั้น ที่สามารถไปถึงได้ หากเราต้องการ ที่จะไปถึงความสุข พ้นทุกข์ไปตลอดกาล ในภพชาติปัจจุบัน ก็ต้องพยายามฝึกฝน ไปเรื่อยๆ หากไม่ถึงนิพพานในชาตินี้ ชาติหน้า ก็จะถึงได้แน่นอน ต้องหมั่นสะสมบุญบารมี และต้องมี เคล็ดวิธีการฝึกสมาธิ และการเจริญปัญญา ที่ถูกต้อง จากผู้ที่รู้จริง ฉะนั้น การสร้างและการสั่งสมบุญนั้น จึงเป็น "งานสำคัญของชีวิต" ควรที่เราจะต้องกระทำ ให้เป็นนิสัย จนกระทั่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ดังที่บรรพบุรุษของเรา เคยกระทำมา โดยคนโบราณนั้น ถึงกับมีคติ ในการสร้างบุญบารมี เอาไว้ว่า "เช้าใดยังไม่ได้ให้ทาน หรือทำทาน เช้านั้นก็อย่าเพิ่งกินข้าว" "วันใดที่ยังไม่ได้สมาทานศีล เพื่อที่จะตั้งใจรักษาศีล วันนั้นก็อย่าเพิ่งออกจากบ้าน" "คืนใดที่ยังไม่ได้สวดมนต์ นั่งเจริญสมาธิภาวนา คืนนั้นก็อย่าเพิ่งเข้านอน" หากเราตั้งเงื่อนไข การสร้างบุญ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำยาก เมื่อทำจนเป็นนิสัย มันก็จะติดตัวเราไป และยังประโยชน์ ให้เกิดกับคนรอบข้างไปด้วย เพราะเขาจะพบเห็น ความเปลี่ยนแปลง ไปในทางที่ดีขึ้น แล้วก็จะเริ่มเกิดศรัทธา หันมาทำตาม เป็นการพากัน สร้างบุญกลุ่ม ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก



เมื่อเราสร้างบุญมาดีแล้ว บุญนี้จะเก็บไว้กับตัวเสียก่อน เมื่อสร้างให้มากๆ ก็ยิ่งดี เพราะเมื่อถึงเวลา นำไปใช้ จะได้มีใช้ไม่ขาดแคลน ดังคำสอน ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี ที่ท่านกล่าวเป็นอมตะวาจาว่า "บุญเราไม่เคยสร้าง ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมี ที่ไปเที่่ยวขอยืมมา จนพ้นตัว เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัวแล้ว เจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นเมื่อถึงเวลา ทั่วฟ้าจบจิน ก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า"

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

บาปกรรมหนัก 3 ข้อ ของการเป็นชู้ คบชู้และนอกใจ

กรรมของคน ชอบใส่ร้ายป้ายสี และนินทาผู้อื่น

หนทาง 7 สาย กรรมดีกรรมชั่ว ชีวิตหลังความตาย

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

พุทธประวัติ EP.4 การจุติจากดุสิตลงสู่ครรภ์ เกิดแสงสว่าง และแผ่นดินไหว เนื่องด้วยการจุติ

ผ้าเปลือกปอ (เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม)

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

วันอาสาฬหบูชา มีความสำคัญอย่างไร

เปรตรับผลบุญได้ การสงเคราะห์ผู้ล่วงลับไปแล้ว