วิธีดูเนื้อคู่ ให้เหมาะสม เขาดูกันอย่างไร
สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมี คติธรรมและข้อคิด
เรื่องวิธีดูเนื้อคู่ ให้เหมาะสม ว่าเขาดูกันอย่างไร มาฝากครับ
เรื่องของเนื้อคู่นั้น การที่คนสองคน ก้าวไปสู่ การเป็นคู่ครองกัน ได้แบบที่ถูกต้องเหมาะสมนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า “ดูก่อนคฤหบดี และคฤหปตานี ถ้าภรรยาและสามีทั้งสอง หวังจะพบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ หรือชาติหน้า ไซร้ ทั้งสองคนนั้นแล พึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน และทั้งในสัมปรายภพ” ซึ่งในเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ท่านได้อธิบายให้ทราบกันว่า การที่คนเราจะมาผูกพันกันได้ เป็นเนื้อคู่ เป็นคู่ครองกัน และอยู่กันอย่างยืดยาวนั้น คนทั้งสอง พึงที่จะต้องมี ศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน และมีปัญญาเสมอกัน ซึ่งขยายความได้ดังต่อไปนี้ครับ
๑.มีศรัทธาเสมอกัน หลายๆ ท่าน อาจจะสงสัยว่า ทำไมคนสองคน จึงต้องมีศรัทธาเสมอกัน ซึ่งศรัทธานั้น ก็คือ ความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล และก็ต้อง ใช้ปัญญาเป็นส่วนประกอบด้วย การที่คนสองคน มาอยู่ด้วยกันได้ ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการมานั่งโต้เถียงกัน แบบไม่หยุดหย่อน เพียงเพื่อจะแค่เอาชนะกัน เพียงต้องการให้ความเชื่อ ของตนเองนั้นชนะ หรือโต้เถียงจนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะยอมตนเอง พระพุทธองค์ ได้ทรงชี้ทางสว่าง ให้กับคนที่จะมาเป็นคู่ครองกันว่า คนสองคนนั้น ควรต้องมีความเชื่อเสมอกัน และไปในทิศทางเดียวกัน เช่น เชื่อในหลักศาสนาเดียวกัน เชื่อว่าถ้าทำอย่างนั้น แล้วจะเกิดผลอย่างนี้ เชื่อว่าถ้าทำดีแล้วจะเจริญ เชื่อว่าเป็นคนดีแล้วไม่มีเสื่อม เชื่อว่าทำบุญแล้วต้องได้บุญ ทำบาปก็ต้องได้บาป เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง เชื่อว่าคนเราทุกคนนั้นเสมอภาคกัน หรือเชื่อว่า โลกนั้นหมุนรอบตัวเอง เป็นต้น เพราะถ้าคนสองคน ไม่เชื่ออะไรที่เหมือนๆ กัน ก็จะอยู่ด้วยกันแล้ว ชีวิตก็ไม่สงบสุขอย่างแน่นอน สรุปง่ายๆ ก็คือ คนทั้งสองจะต้องมีความเชื่อ ในเรื่องเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกันเอง อย่างน้อย ก็เป็นเรื่องใหญ่ๆ ที่สำคัญของการมีชีวิตคู่ ยิ่งนอกจากมีความเชื่อแล้ว ในยุคปัจจุบันนี้ ความชอบและรสนิยม ถ้าตรงกัน หรือเสมอกัน ก็เป็นส่วน ที่ช่วยให้คนทั้งคู่นั้น มีความสุข ในโลกปัจจุบันนี้ ถ้าหากความเชื่อไม่เหมือนกัน จะอยู่กันลำบาก ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นกันมากมาย บางคู่ไม่เคยมีความสุข ต้องฝืนทนกล้ำกลืนอยู่ด้วยกัน มีแต่เรื่องให้ปวดหัว ซึ่งก็เป็นเพราะความเชื่อที่แตกต่างกัน และการที่ทั้งคู่มาพบกันนั้น ก็เป็นเพราะมีกรรมลิขิต วิบากกรรมได้กำหนดไว้ เพื่อให้คนทั้งคู่ มาชดใช้วิบากกรรม ที่มีต่อกันให้หมดสิ้นไป ซึ่งจะนานหรือเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมนั้น จะหนักหรือจะเบา และเมื่อหมดแล้ว ก็ต้องแยกย้ายจากกันไป ต่างคน ก็ไปรับวิบากกรรมวาระอื่นต่อ บางคนก็อาจจะไปพบเนื้อคู่ และพบกับความสุขจริงๆ ส่วนคู่ที่เลิกรากัน หรือเปลี่ยนคู่กันบ่อยๆ นั้น ก็เป็นเพราะ อาจจะเป็นเนื้อคู่กัน ในชาติปางก่อน จึงกลับมาเกื้อกูลกันบ้าง ในชาติปัจจุบัน แต่เมื่อบุญ ที่ทำร่วมกันมา มันมีน้อย และเมื่อใช้บุญกัน ไปจนหมดแล้ว แต่ไม่มีทำการทำบุญเพิ่ม ถึงเวลาก็ต้องแยกย้าย จากกันไป เพราะฉะนั้น ใครที่มีคู่ครอง แบบศรัทธาเสมอกัน ถือเป็นคู่ที่ดี มีแต่ความสุข
๒. มีศีลเสมอกัน คนสองคนถ้า เป็นคนที่มีศีล รู้จักยับยั้งชั่งใจ รักษาศีล ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ก็จะพากันไปสู่สิ่งที่ดีงาม พากันเข้าไปสู่ประตูสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย ชีวิตคู่ก็จะราบรื่น แต่ถ้าศีลของฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งมีมากกว่า ก็คงจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ซึ่งเรื่องของศีลนั้น เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ คือ เป็นหลักในการปฏิบัติ เพื่อที่จะให้ผู้ปฏิบัติ มีกาย วาจา และใจ เป็นอิสระ จากเครื่องเหนี่ยวรั้งทั้งปวง และปกป้องตัวเอง จากความเสื่อมทั้งหลาย และพ้นจากกรรมชั่ว ที่จะกลับมาสนอง กับผู้ที่ไม่ปฏิบัติในศีล ซึ่งในเรื่องของการมีศีล ที่เสมอกันนั้น ถือว่าดีอย่างมาก แต่คนที่ชอบทำบุญ รักษาศีลนั้น ก็คงจทำใจลำบาก กับคู่ครองที่ไม่มีศีล หรือมีศีลน้อยกว่า เพราะคู่ครอง ที่ศีลห่างกันเยอะ จะอยู่กันได้ไม่นาน ก็ต้องโบกมือลา ต่างคนต่างไปตามกรรม ไปพบคู่ครอง ที่มีศีลเสมอกัน หรือใกล้เคียงกัน จึงจะอยู่ด้วยกันยืดยาว หรือก็อยู่ด้วยกันจนหมดอายุขัย ถ้าคนทั้งคู่ หมั่นถือศีล พากันชักชวนให้ไปรักษาศีลร่วมกัน ตามสถานที่ต่างๆ ดูแลศีลเป็นอย่างดี ไม่ให้บกพร่อง ก็จะเกิดเป็นอานิสงส์บุญ ที่สูงขึ้นเป็นบุญกุศลที่ทำร่วมกัน และเป็นสายใยแห่งบุญ ที่จะเกี่ยวรัดให้คนทั้งสอง กลับมาพบกันอีก ในทุกชาติที่ปรารถนาได้
๓. มีจาคะเสมอกัน จาคะ หมายถึง การสละสิ่งของ และความสุขส่วนตัว เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น และหมายรวมถึงการสละ การละทิ้งกิเลส ละความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ ความใจแคบ และการเลิกละนิสัย ตลอดถึงความประพฤติที่ไม่ดี ที่ทำให้เกิดความเสียหาย ก่อความบาดหมาง ทะเลาะเบาะแว้ง เป็นต้น จาคะนั้น เป็นคุณธรรม ที่เป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติมองเห็น และเอื้ออาทร ต่อความทุกข์ยาก และความต้องการของคนอื่น ทำให้เป็นคนใจไม่คับแคบ ไม่เห็นแก่ตัว แล้วให้ความช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้วยความเห็นอกเห็นใจ เป็นคนชอบให้ ชอบแบ่งปัน ใจนั้นคิดถึงคนอื่น มากกว่าตัวเอง คนที่ครองคู่กันแล้ว ปัญหาใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การเสียสละ มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ถ้าต่างคนต่างเป็นคนขี้เหนียว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ก็น่าจะมีปัญหา ต่อกันอย่างมาก ใครที่เจอคน ที่ถูกใจแค่รูป รส กลิ่น เสียง ซึ่งมันเสื่อมลงได้ตามกาลเวลา และหน้ามืด หรือที่เขาเรียกว่า วิบากกรรมมันบัง หลงไปคว้าคนแบบนี้มาเป็นคู่ครอง รับรองว่าบ้านนั้น คือเหมือนนรกดีๆ นี่เอง ไปไหนด้วยกัน ก็จะมีแต่เรื่องอับอาย เพราะความโลภ อยากได้ของคนอื่น ใจแคบไม่เอาใคร มีแต่ทำเรื่องให้ปวดหัวสารพัด เพราะไม่รู้จักการให้ ไม่รู้จักการเสียสละ แต่ถ้ากลับกัน คนทั้งสองเป็นคนใจบุญสุนทาน ร่วมกันบริจาคทาน รู้จักการให้ โดยที่ไม่หวังผลตอบแทน ให้เพราะอยากให้ผู้อื่นมีความสุข ไปไหนมาไหน ก็จะมีแต่คนเขาต้อนรับ ยกย่องสรรเสริญ ทานที่ทำ ก็เป็นผลบุญร่วมกันไป จะใส่บาตรร่วมขัน ทำสังฆทานร่วมกัน บริจาคทรัพย์เพื่อการกุศล และช่วยเหลือผู้ยากไร้ หรืออุดหนุนญาติสนิท มิตรสหายตามกำลัง เป็นต้น เพราะเรื่องของทานนั้น ถือว่าเป็นการสร้างบุญบารมีลำดับแรก ที่พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ เพื่อให้เราทุกคน รู้จักการเสียสละ รู้จักการให้ เพราะในการให้นั้น ย่อมเป็นสุข ผู้ให้ย่อมเป็นสุขมากกว่าผู้รับ เราให้ด้วยความเมตตา ให้ด้วยความเต็มใจ ให้ด้วยความยินดี สิ่งที่เราให้ไปนี้ เราก็จะอิ่มเอิบ ในขณะเดียวกัน เมื่อเราเห็นผู้รับ รับด้วยความดีใจ มีความสุข มีความยินดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันก็จะเป็นความสุขซ้ำสอง ที่กลับมาสะท้อน ให้กับเรา ซึ่งสังเกตง่ายๆ ก็คือ เมื่อเราเป็นผู้ให้ ผู้รับเขายินดีรับ แต่ในขณะเดียวกัน เราให้ เรากลับมีความยินดี ในการให้มากกว่า เรามีความสุข เมื่อเห็นผู้รับมีความสุข ซึ่งการรู้จักเป็นผู้เสียสละ การเป็นคนที่ไม่ตระหนี่ เป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวาง พอให้แล้ว ผู้รับก็รับด้วยความสุข เราก็ย่อมมีความสุขด้วย เรื่องเหล่านี้ เป็นบุญกุศลร่วมกันทั้งสิ้น ของคนสองคน ชาติหน้าฉันใด ก็ต้องมาเจอะเจอกันอีก มารับบุญ มารับความสุขความเจริญร่วมกัน เพราะเป็นกฎแห่งกรรม ทำได้ ก็ย่อมต้องได้ดี
๔. มีปัญญาเสมอกัน พระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านได้ตอบคำถามให้กับลูกศิษย์ เมื่อลูกศิษย์ถามท่านว่า ปัญญาคืออะไร หลวงพ่อ ท่านจึงได้เมตตาตอบไปว่า “ปัญญา โดยความหมายทั่วๆ ไปแล้ว แปลว่า ความรู้ ที่เกิดขึ้นจากการพินิจพิจารณา หรือ จะแปลว่าความเฉลียวฉลาดก็ได้ แต่มิใช่รู้อย่างเดียว ต้องนำเอาความรู้ที่ได้นั้น มาพิจารณาด้วย หรือมิใช่ฉลาดอย่างเดียว ต้องมีเฉลียวใจด้วย จึงจะเกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ถึงแก่นแท้ของการรู้ ในแต่ละอย่าง จึงจะเรียกว่า ปัญญา” พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสไว้ว่า ในเรื่องของการ ที่จะมาเป็นคู่ครองกันได้นั้น ต้องมีปัญญาเสมอกัน และในปัจจุบัน ถ้าใกล้เคียงกันมาก ก็จะยิ่งมีความสุข ความเจริญ เพราะนอกจาก มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกันแล้ว ยิ่งมีปัญญาเสมอกัน ก็ยิ่งเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะนำความเจริญมาสู่ชีวิตคู่ และในคู่ ที่มีปัญญาเสมอกันนั้น คิดทำอะไรก็มักจะสำเร็จ เพราะมีความรู้ความเชี่ยวชาญ ที่เกื้อหนุนกัน แต่ถ้ามีความรู้ ความเฉลียวฉลาด ต่างกันมากเกินไป ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก เพราะจะขัดแย้งกันตลอด สรุปแล้วก็คือ การที่คนจะมาเป็นคู่ครองกันนั้น ต้องเป็นคนที่เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน และต้องเคย เกื้อกูลกันมา ในชาติปัจจุบัน มีทั้งบุญ และกรรมเก่า รวมทั้งบุญและกรรมใหม่ร่วมกัน และต้องมีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะหรือการให้ทานเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน จึงจะเป็นคู่ครองที่ดี และเหมาะสมที่สุด ซึ่งในยุคปัจจุบันนั้น ก็มีสิ่งล่อแหลมมาก หรือเกินที่จะนำพา ให้คนทั้งคู่ หลงไปในทางที่ผิดได้ง่าย หลักการประคองคู่ที่ดีที่สุด ก็คือ การรู้จักการให้อภัยต่อกัน ให้โอกาสซึ่งกันและกัน ในการกระทำซึ่งความดี ให้โอกาสซึ่งกันและกัน ในการกลับตัว กลับใจ อย่างน้อย ก็เป็นเสบียงบุญกุศล ติดตัวผู้ที่ให้ ที่ได้ช่วยชี้ทาง ให้คนอื่น เป็นคนดีได้ ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
เรื่องของเนื้อคู่นั้น การที่คนสองคน ก้าวไปสู่ การเป็นคู่ครองกัน ได้แบบที่ถูกต้องเหมาะสมนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า “ดูก่อนคฤหบดี และคฤหปตานี ถ้าภรรยาและสามีทั้งสอง หวังจะพบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ หรือชาติหน้า ไซร้ ทั้งสองคนนั้นแล พึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน และทั้งในสัมปรายภพ” ซึ่งในเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ท่านได้อธิบายให้ทราบกันว่า การที่คนเราจะมาผูกพันกันได้ เป็นเนื้อคู่ เป็นคู่ครองกัน และอยู่กันอย่างยืดยาวนั้น คนทั้งสอง พึงที่จะต้องมี ศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน และมีปัญญาเสมอกัน ซึ่งขยายความได้ดังต่อไปนี้ครับ
๑.มีศรัทธาเสมอกัน หลายๆ ท่าน อาจจะสงสัยว่า ทำไมคนสองคน จึงต้องมีศรัทธาเสมอกัน ซึ่งศรัทธานั้น ก็คือ ความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล และก็ต้อง ใช้ปัญญาเป็นส่วนประกอบด้วย การที่คนสองคน มาอยู่ด้วยกันได้ ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการมานั่งโต้เถียงกัน แบบไม่หยุดหย่อน เพียงเพื่อจะแค่เอาชนะกัน เพียงต้องการให้ความเชื่อ ของตนเองนั้นชนะ หรือโต้เถียงจนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะยอมตนเอง พระพุทธองค์ ได้ทรงชี้ทางสว่าง ให้กับคนที่จะมาเป็นคู่ครองกันว่า คนสองคนนั้น ควรต้องมีความเชื่อเสมอกัน และไปในทิศทางเดียวกัน เช่น เชื่อในหลักศาสนาเดียวกัน เชื่อว่าถ้าทำอย่างนั้น แล้วจะเกิดผลอย่างนี้ เชื่อว่าถ้าทำดีแล้วจะเจริญ เชื่อว่าเป็นคนดีแล้วไม่มีเสื่อม เชื่อว่าทำบุญแล้วต้องได้บุญ ทำบาปก็ต้องได้บาป เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง เชื่อว่าคนเราทุกคนนั้นเสมอภาคกัน หรือเชื่อว่า โลกนั้นหมุนรอบตัวเอง เป็นต้น เพราะถ้าคนสองคน ไม่เชื่ออะไรที่เหมือนๆ กัน ก็จะอยู่ด้วยกันแล้ว ชีวิตก็ไม่สงบสุขอย่างแน่นอน สรุปง่ายๆ ก็คือ คนทั้งสองจะต้องมีความเชื่อ ในเรื่องเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกันเอง อย่างน้อย ก็เป็นเรื่องใหญ่ๆ ที่สำคัญของการมีชีวิตคู่ ยิ่งนอกจากมีความเชื่อแล้ว ในยุคปัจจุบันนี้ ความชอบและรสนิยม ถ้าตรงกัน หรือเสมอกัน ก็เป็นส่วน ที่ช่วยให้คนทั้งคู่นั้น มีความสุข ในโลกปัจจุบันนี้ ถ้าหากความเชื่อไม่เหมือนกัน จะอยู่กันลำบาก ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นกันมากมาย บางคู่ไม่เคยมีความสุข ต้องฝืนทนกล้ำกลืนอยู่ด้วยกัน มีแต่เรื่องให้ปวดหัว ซึ่งก็เป็นเพราะความเชื่อที่แตกต่างกัน และการที่ทั้งคู่มาพบกันนั้น ก็เป็นเพราะมีกรรมลิขิต วิบากกรรมได้กำหนดไว้ เพื่อให้คนทั้งคู่ มาชดใช้วิบากกรรม ที่มีต่อกันให้หมดสิ้นไป ซึ่งจะนานหรือเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมนั้น จะหนักหรือจะเบา และเมื่อหมดแล้ว ก็ต้องแยกย้ายจากกันไป ต่างคน ก็ไปรับวิบากกรรมวาระอื่นต่อ บางคนก็อาจจะไปพบเนื้อคู่ และพบกับความสุขจริงๆ ส่วนคู่ที่เลิกรากัน หรือเปลี่ยนคู่กันบ่อยๆ นั้น ก็เป็นเพราะ อาจจะเป็นเนื้อคู่กัน ในชาติปางก่อน จึงกลับมาเกื้อกูลกันบ้าง ในชาติปัจจุบัน แต่เมื่อบุญ ที่ทำร่วมกันมา มันมีน้อย และเมื่อใช้บุญกัน ไปจนหมดแล้ว แต่ไม่มีทำการทำบุญเพิ่ม ถึงเวลาก็ต้องแยกย้าย จากกันไป เพราะฉะนั้น ใครที่มีคู่ครอง แบบศรัทธาเสมอกัน ถือเป็นคู่ที่ดี มีแต่ความสุข
๒. มีศีลเสมอกัน คนสองคนถ้า เป็นคนที่มีศีล รู้จักยับยั้งชั่งใจ รักษาศีล ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ก็จะพากันไปสู่สิ่งที่ดีงาม พากันเข้าไปสู่ประตูสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย ชีวิตคู่ก็จะราบรื่น แต่ถ้าศีลของฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งมีมากกว่า ก็คงจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ซึ่งเรื่องของศีลนั้น เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ คือ เป็นหลักในการปฏิบัติ เพื่อที่จะให้ผู้ปฏิบัติ มีกาย วาจา และใจ เป็นอิสระ จากเครื่องเหนี่ยวรั้งทั้งปวง และปกป้องตัวเอง จากความเสื่อมทั้งหลาย และพ้นจากกรรมชั่ว ที่จะกลับมาสนอง กับผู้ที่ไม่ปฏิบัติในศีล ซึ่งในเรื่องของการมีศีล ที่เสมอกันนั้น ถือว่าดีอย่างมาก แต่คนที่ชอบทำบุญ รักษาศีลนั้น ก็คงจทำใจลำบาก กับคู่ครองที่ไม่มีศีล หรือมีศีลน้อยกว่า เพราะคู่ครอง ที่ศีลห่างกันเยอะ จะอยู่กันได้ไม่นาน ก็ต้องโบกมือลา ต่างคนต่างไปตามกรรม ไปพบคู่ครอง ที่มีศีลเสมอกัน หรือใกล้เคียงกัน จึงจะอยู่ด้วยกันยืดยาว หรือก็อยู่ด้วยกันจนหมดอายุขัย ถ้าคนทั้งคู่ หมั่นถือศีล พากันชักชวนให้ไปรักษาศีลร่วมกัน ตามสถานที่ต่างๆ ดูแลศีลเป็นอย่างดี ไม่ให้บกพร่อง ก็จะเกิดเป็นอานิสงส์บุญ ที่สูงขึ้นเป็นบุญกุศลที่ทำร่วมกัน และเป็นสายใยแห่งบุญ ที่จะเกี่ยวรัดให้คนทั้งสอง กลับมาพบกันอีก ในทุกชาติที่ปรารถนาได้
๓. มีจาคะเสมอกัน จาคะ หมายถึง การสละสิ่งของ และความสุขส่วนตัว เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น และหมายรวมถึงการสละ การละทิ้งกิเลส ละความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ ความใจแคบ และการเลิกละนิสัย ตลอดถึงความประพฤติที่ไม่ดี ที่ทำให้เกิดความเสียหาย ก่อความบาดหมาง ทะเลาะเบาะแว้ง เป็นต้น จาคะนั้น เป็นคุณธรรม ที่เป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติมองเห็น และเอื้ออาทร ต่อความทุกข์ยาก และความต้องการของคนอื่น ทำให้เป็นคนใจไม่คับแคบ ไม่เห็นแก่ตัว แล้วให้ความช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้วยความเห็นอกเห็นใจ เป็นคนชอบให้ ชอบแบ่งปัน ใจนั้นคิดถึงคนอื่น มากกว่าตัวเอง คนที่ครองคู่กันแล้ว ปัญหาใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การเสียสละ มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ถ้าต่างคนต่างเป็นคนขี้เหนียว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ก็น่าจะมีปัญหา ต่อกันอย่างมาก ใครที่เจอคน ที่ถูกใจแค่รูป รส กลิ่น เสียง ซึ่งมันเสื่อมลงได้ตามกาลเวลา และหน้ามืด หรือที่เขาเรียกว่า วิบากกรรมมันบัง หลงไปคว้าคนแบบนี้มาเป็นคู่ครอง รับรองว่าบ้านนั้น คือเหมือนนรกดีๆ นี่เอง ไปไหนด้วยกัน ก็จะมีแต่เรื่องอับอาย เพราะความโลภ อยากได้ของคนอื่น ใจแคบไม่เอาใคร มีแต่ทำเรื่องให้ปวดหัวสารพัด เพราะไม่รู้จักการให้ ไม่รู้จักการเสียสละ แต่ถ้ากลับกัน คนทั้งสองเป็นคนใจบุญสุนทาน ร่วมกันบริจาคทาน รู้จักการให้ โดยที่ไม่หวังผลตอบแทน ให้เพราะอยากให้ผู้อื่นมีความสุข ไปไหนมาไหน ก็จะมีแต่คนเขาต้อนรับ ยกย่องสรรเสริญ ทานที่ทำ ก็เป็นผลบุญร่วมกันไป จะใส่บาตรร่วมขัน ทำสังฆทานร่วมกัน บริจาคทรัพย์เพื่อการกุศล และช่วยเหลือผู้ยากไร้ หรืออุดหนุนญาติสนิท มิตรสหายตามกำลัง เป็นต้น เพราะเรื่องของทานนั้น ถือว่าเป็นการสร้างบุญบารมีลำดับแรก ที่พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ เพื่อให้เราทุกคน รู้จักการเสียสละ รู้จักการให้ เพราะในการให้นั้น ย่อมเป็นสุข ผู้ให้ย่อมเป็นสุขมากกว่าผู้รับ เราให้ด้วยความเมตตา ให้ด้วยความเต็มใจ ให้ด้วยความยินดี สิ่งที่เราให้ไปนี้ เราก็จะอิ่มเอิบ ในขณะเดียวกัน เมื่อเราเห็นผู้รับ รับด้วยความดีใจ มีความสุข มีความยินดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันก็จะเป็นความสุขซ้ำสอง ที่กลับมาสะท้อน ให้กับเรา ซึ่งสังเกตง่ายๆ ก็คือ เมื่อเราเป็นผู้ให้ ผู้รับเขายินดีรับ แต่ในขณะเดียวกัน เราให้ เรากลับมีความยินดี ในการให้มากกว่า เรามีความสุข เมื่อเห็นผู้รับมีความสุข ซึ่งการรู้จักเป็นผู้เสียสละ การเป็นคนที่ไม่ตระหนี่ เป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวาง พอให้แล้ว ผู้รับก็รับด้วยความสุข เราก็ย่อมมีความสุขด้วย เรื่องเหล่านี้ เป็นบุญกุศลร่วมกันทั้งสิ้น ของคนสองคน ชาติหน้าฉันใด ก็ต้องมาเจอะเจอกันอีก มารับบุญ มารับความสุขความเจริญร่วมกัน เพราะเป็นกฎแห่งกรรม ทำได้ ก็ย่อมต้องได้ดี
๔. มีปัญญาเสมอกัน พระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านได้ตอบคำถามให้กับลูกศิษย์ เมื่อลูกศิษย์ถามท่านว่า ปัญญาคืออะไร หลวงพ่อ ท่านจึงได้เมตตาตอบไปว่า “ปัญญา โดยความหมายทั่วๆ ไปแล้ว แปลว่า ความรู้ ที่เกิดขึ้นจากการพินิจพิจารณา หรือ จะแปลว่าความเฉลียวฉลาดก็ได้ แต่มิใช่รู้อย่างเดียว ต้องนำเอาความรู้ที่ได้นั้น มาพิจารณาด้วย หรือมิใช่ฉลาดอย่างเดียว ต้องมีเฉลียวใจด้วย จึงจะเกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ถึงแก่นแท้ของการรู้ ในแต่ละอย่าง จึงจะเรียกว่า ปัญญา” พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสไว้ว่า ในเรื่องของการ ที่จะมาเป็นคู่ครองกันได้นั้น ต้องมีปัญญาเสมอกัน และในปัจจุบัน ถ้าใกล้เคียงกันมาก ก็จะยิ่งมีความสุข ความเจริญ เพราะนอกจาก มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกันแล้ว ยิ่งมีปัญญาเสมอกัน ก็ยิ่งเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะนำความเจริญมาสู่ชีวิตคู่ และในคู่ ที่มีปัญญาเสมอกันนั้น คิดทำอะไรก็มักจะสำเร็จ เพราะมีความรู้ความเชี่ยวชาญ ที่เกื้อหนุนกัน แต่ถ้ามีความรู้ ความเฉลียวฉลาด ต่างกันมากเกินไป ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก เพราะจะขัดแย้งกันตลอด สรุปแล้วก็คือ การที่คนจะมาเป็นคู่ครองกันนั้น ต้องเป็นคนที่เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน และต้องเคย เกื้อกูลกันมา ในชาติปัจจุบัน มีทั้งบุญ และกรรมเก่า รวมทั้งบุญและกรรมใหม่ร่วมกัน และต้องมีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะหรือการให้ทานเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน จึงจะเป็นคู่ครองที่ดี และเหมาะสมที่สุด ซึ่งในยุคปัจจุบันนั้น ก็มีสิ่งล่อแหลมมาก หรือเกินที่จะนำพา ให้คนทั้งคู่ หลงไปในทางที่ผิดได้ง่าย หลักการประคองคู่ที่ดีที่สุด ก็คือ การรู้จักการให้อภัยต่อกัน ให้โอกาสซึ่งกันและกัน ในการกระทำซึ่งความดี ให้โอกาสซึ่งกันและกัน ในการกลับตัว กลับใจ อย่างน้อย ก็เป็นเสบียงบุญกุศล ติดตัวผู้ที่ให้ ที่ได้ช่วยชี้ทาง ให้คนอื่น เป็นคนดีได้ ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น