มีกิเลส มีความทุกข์ แก้ไขชีวิตอย่างไร
สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมี คติธรรมและข้อคิด
เรื่องของกิเลส และความทุกข์ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว
เราจะแก้ไขชีวิตอย่างไร มาฝากครับ
คำว่ากิเลสนั้น เป็นคำที่เราได้ยินกันบ่อยมากที่สุด เมื่อมีการกล่าวถึงเรื่องของความทุกข์ เพราะในทางพุทธศาสนานั้น กิเลส ก็คือตัวการสำคัญ ที่จุดชนวนให้ใจเข้าไปสู่ความทุกข์
กิเลสนั้น มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กๆ นั่นก็คือ การที่เรามีความรู้สึกชอบ พอใจ และอยากได้ หรือโกรธ ไม่พอใจสิ่งใด ก็อยากให้สิ่งนั้น ไปให้ไกลจากเรา กิเลส จึงเป็นสิ่งที่เกิดต่อเนื่องมา หลังจากที่เรา มีความยึดมั่นถือมั่น ในความเป็นตัวตน หรือตัวเราของเรา ในความของคำว่า กิเลสนั้นก็ คือ สิ่งสกปรก หรือ สิ่งที่ทำให้หมอง กล่าวคือ เมื่อเกิดกิเลสขึ้นในจิตใจของเราแล้ว ก็จะทำให้ใจของเรา เกิดความสกปรกหมองมัวขึ้น เหมือนผ้าขาวบริสุทธิ์ ที่ต้องมาเปื้อนคราบสกปรก จนทำให้ความใสกระจ่างหายไป ดังนั้น ความหมายโดยนัยของกิเลส จึงหมายถึง การที่ใจของเราเกิดความหมอง หมดสิ้นความกระจ่างลง การรับรู้ในสิ่งต่างๆ ของชีวิตจึงเปลี่ยนแปลง จากการมองทุกอย่าง ด้วยความเป็นกลาง v ก็กลายเป็นเริ่มยึดติด เริ่มตีตราว่า สิ่งใดที่เราชอบ สิ่งใดที่เราไม่ชอบ แล้วในที่สุด ความทุกข์ ก็จะเริ่มเกิดในใจ และเมื่อเรา ไม่ได้สิ่งที่ชอบ หรือต้องเจอกับสิ่งที่ไม่ชอบขึ้นมา ความชอบไม่ชอบนั้น ก็เกิดหลังจากที่เรา สัมผัสผ่านทางผัสสะทั้ง ๕ ซึ่งได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และ กาย ส่วนประเภทของกิเลสนั้น ก็มีอยู่ ๓ ตัวหลักๆ ด้วยกัน นั่นก็คือ โลภะ โทสะ และโมหะ ซึ่งครูบาอาจารย์ ท่านได้อธิบายไว้ดังต่อไปนี้ครับ
๑.โลภะ คือ ความรู้สึกชอบ ความพึงพอใจ และต้องการให้สิ่งที่ชอบนั้น เข้ามาหาตนเองให้มากๆ เช่น ชอบเงินทอง ชอบความร่ำรวย เป็นต้น เมื่อรู้สึกชอบ เราก็อยากให้ตัวเองได้เงินมากๆ และยิ่งโลภมากเท่าไร ก็ยิ่งอยากได้มากขึ้นเท่านั้น
๒.โทสะ คือ ความรู้สึกไม่ชอบ ไม่พอใจ และต้องการให้สิ่งที่ตนไม่พอใจนั้น ออกไปให้ห่างตนที่สุด หรือไม่ก็ ถึงขั้นอยากทำลายสิ่งนั้น ให้สูญสิ้นไป เช่น ในยามที่เรา โกรธใครสักคนอย่างมาก เราก็จะอยากทำร้าย อยากจะทำลายคนผู้นั้น ให้เสียหาย เป็นต้น
๓.โมหะ คือ ความรู้สึกหลง ซึ่งมีทั้งเกิดจากความชอบ และไม่ชอบ เป็นอารมณ์ในเชิงไม่แน่ใจ และสงสัยในบางเรื่อง ซึ่งก่อให้เกิดความสับสน ในจิตใจขึ้นมา แต่จะไม่รุนแรงเท่า โลภะหรือโทสะ
โลภะ โทสะ และโมหะนี้ คือกิเลสหลัก ที่นำความทุกข์มาสู่มนุษย์เรา มันคือตัวเหนี่ยวนำ ให้ใจของเรา เกิดความชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่ม ที่สำคัญของความทุกข์ ทำให้แนวทางสำคัญ สำหรับคนที่ต้องการเอาชนะความทุกข์ มีจิตใจที่อิสระเหนือความทุกข์ได้ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องหาทาง กำจัดกิเลสเหล่านี้ ให้หมดไป หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ต้องรู้วิธี ที่จะข่มกิเลส ไม่ให้มีอำนาจมากกว่าตัวเรา และจุดสำคัญอย่างหนึ่ง ของการเอาชนะความทุกข์ก็คือ เราต้องมั่นใจว่า ความทุกข์นั้นเอาชนะได้ หรือตัวกิเลสเรา ก็สามารถข่มมันได้ อย่าเพิ่งท้อแท้ หรือคิดว่าเราไม่อาจเอาชนะกิเลส หรือความอยาก ความชอบ ความไม่ชอบได้
หลายๆ ท่าน อาจคิดว่า ในเมื่อเรา ก็คือสัตว์โลกชนิดหนึ่ง ก็ย่อมหนีไม่พ้นที่จะมีความอยาก ความชอบในจิตใจ ซึ่งนั่นก็เป็น ความเชื่อ ที่อาจจะไม่ถูกเสียทั้งหมด จริงที่เราเป็นสัตว์โลก และเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่จะต้องมีอารมณ์ความรู้สึกเกิดขึ้น ผ่านทางผัสสะ แล้วตรงมาก่อความรู้สึกต่างๆ ที่จิตใจ แต่มนุษย์อย่างเรา ก็มีความพิเศษกว่าสัตว์อื่น คือ มีสมอง ที่มีประสิทธิภาพ สามารถพัฒนาความคิด ไหวพริบ และความฉลาดได้อย่างต่อเนื่อง พระพุทธเจ้าท่านทรงเน้นย้ำเสมอว่า มนุษย์คือสัตว์ที่มีสติปัญญา เป็นสัตว์ ที่สามารถพัฒนาตนเอง ให้กลายเป็นสัตว์ประเสริฐได้ ขอเพียงรู้จักฝึกฝน บ่มเพาะความรู้ความเข้าใจ ทำให้ตนเอง ให้มีทักษะทางจิต ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์ผู้นั้น ก็จะเป็นบุรุษที่เหนือกว่าบุรุษอื่นได้ เพราะคนที่ได้ชื่อว่า เป็นสัตว์ประเสริฐ คือคนที่สามารถฝึกตนเอง เกลาตนเอง จนไม่ตกเป็นเหยื่อของกิเลส ของความอยาก ของสัญชาตญาณ หรือสิ่งผิดใดๆ เพราะแท้จริงแล้วมนุษย์ ก็เริ่มต้นเหมือนสัตว์โลกอื่นๆ ที่ตกอยู่ในอำนาจ ของสัญชาตญาณ และความอยากชนิดต่างๆ และแนวทางแห่งการเป็นสัตว์ประเสริฐ กับแนวทางแห่งการเอาชนะความทุกข์ จึงต่าง ก็เป็นการฝึกฝนตัวเรา ให้มีความสามารถ ในการดำรงชีวิต ให้ห่างไกลจากความทุกข์ และคนที่ ความทุกข์ชอบมาแวะเวียน และสิงสถิตอยู่ ในความคิดเป็นเวลานานๆ นั้น ก็มักจะเป็นคน ที่ยึดมั่นถือมั่น ชอบคิดลบ ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ หรือ เต็มไปด้วยความไม่รู้ ซึ่งที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
๑.ยึดมั่นถือมั่น หลายๆ ท่าน เป็นคนที่มีความยึดติด ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะการยึดถือตัวตน ตัวเราของเรา หรือการยึดว่าสิ่งนั้น เป็นของเรา อันนั้นควรเป็นของเรา หรือการที่เราดำรงชีวิตปกติ มาระยะหนึ่ง พอเกิดความเปลี่ยนแปลงเข้า ก็ไม่ยอมทำใจเข้ากับสิ่งที่เปลี่ยน แต่ยังยึดติดกับสิ่งเดิม จึงทำให้ความทุกข์เริ่มต้นขึ้น
๒.เต็มไปด้วยความไม่รู้ เป็นคนที่ไม่รู้ว่าตัวเอง เป็นคนเช่นไร มีลักษณะที่เป็นสื่อนำความทุกข์ มาสู่ใจหรือไม่ ไม่รู้ว่าแนวทางการดับทุกข์ หรือเอาชนะความทุกข์ต้องทำเช่นไร หรือไม่รู้แม้กระทั่งว่า ความทุกข์ที่กำลังรบกวนจิตใจ ของตัวเองตอนนี้ มันคือเรื่องอะไรกันแน่ แล้วก็ปล่อยให้ตนเอง ตกอยู่ในความไม่รู้นั้น ไปเรื่อยๆ จนความทุกข์สะสม และหมักหมมไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
๓.ชอบคิดลบ หลายๆ ท่าน เป็นคนที่ชอบคิดลบไว้ก่อนเสมอ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร ใจก็พาไปคิดลบ คิดแต่ในเชิงทำลายตนเอง ทำลายความมั่นใจ หรือทำลายคนอื่น เช่น อยากทำร้ายคนอื่นให้สาสม และชอบคิดว่า ปัญหาเป็นสิ่งที่แก้ไม่ได้ คิดว่าตัวเองไม่เก่งพอ เมื่อเจอปัญหา ก็เห็นแต่ทางตัน แทนที่จะเป็นทางออก เป็นต้น
๔.ไม่รู้จักคุมอารมณ์ เมื่อเกิดปัญหาทีไร ก็อาละวาดก่อนทุกครั้ง หรือไม่ ก็มานั่งร้องไห้ ปล่อยให้อารมณ์ครอบครองตัวเอง และขับไล่สติ ไปจนหมดสิ้น ทำให้นอกจาก เราจะไม่สามารถแก้ปัญหาตัวทุกข์ ที่เกิดขึ้นได้แล้ว ก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาชนิดใหม่ขึ้น จากการกระทำ ที่ไม่เหมาะของเราก็เป็นได้
ลองสำรวจตัวเองดูว่า เรามีกิเลสตัวไหนบ้าง หรือมีสิ่งที่นำความทุกข์ อยู่กับตัวหรือไม่ ค้นดูตัวเองว่า มีจุดอ่อน ที่ความทุกข์นั้น จะเข้ามาจู่โจมที่ตรงไหน จากนั้น ก็ค่อยๆ หาทางออก และค่อยๆ ปรับแก้ เพื่อให้ตัวเราเข้มแข็งขึ้นต่อไป ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
คำว่ากิเลสนั้น เป็นคำที่เราได้ยินกันบ่อยมากที่สุด เมื่อมีการกล่าวถึงเรื่องของความทุกข์ เพราะในทางพุทธศาสนานั้น กิเลส ก็คือตัวการสำคัญ ที่จุดชนวนให้ใจเข้าไปสู่ความทุกข์
กิเลสนั้น มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กๆ นั่นก็คือ การที่เรามีความรู้สึกชอบ พอใจ และอยากได้ หรือโกรธ ไม่พอใจสิ่งใด ก็อยากให้สิ่งนั้น ไปให้ไกลจากเรา กิเลส จึงเป็นสิ่งที่เกิดต่อเนื่องมา หลังจากที่เรา มีความยึดมั่นถือมั่น ในความเป็นตัวตน หรือตัวเราของเรา ในความของคำว่า กิเลสนั้นก็ คือ สิ่งสกปรก หรือ สิ่งที่ทำให้หมอง กล่าวคือ เมื่อเกิดกิเลสขึ้นในจิตใจของเราแล้ว ก็จะทำให้ใจของเรา เกิดความสกปรกหมองมัวขึ้น เหมือนผ้าขาวบริสุทธิ์ ที่ต้องมาเปื้อนคราบสกปรก จนทำให้ความใสกระจ่างหายไป ดังนั้น ความหมายโดยนัยของกิเลส จึงหมายถึง การที่ใจของเราเกิดความหมอง หมดสิ้นความกระจ่างลง การรับรู้ในสิ่งต่างๆ ของชีวิตจึงเปลี่ยนแปลง จากการมองทุกอย่าง ด้วยความเป็นกลาง v ก็กลายเป็นเริ่มยึดติด เริ่มตีตราว่า สิ่งใดที่เราชอบ สิ่งใดที่เราไม่ชอบ แล้วในที่สุด ความทุกข์ ก็จะเริ่มเกิดในใจ และเมื่อเรา ไม่ได้สิ่งที่ชอบ หรือต้องเจอกับสิ่งที่ไม่ชอบขึ้นมา ความชอบไม่ชอบนั้น ก็เกิดหลังจากที่เรา สัมผัสผ่านทางผัสสะทั้ง ๕ ซึ่งได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และ กาย ส่วนประเภทของกิเลสนั้น ก็มีอยู่ ๓ ตัวหลักๆ ด้วยกัน นั่นก็คือ โลภะ โทสะ และโมหะ ซึ่งครูบาอาจารย์ ท่านได้อธิบายไว้ดังต่อไปนี้ครับ
๑.โลภะ คือ ความรู้สึกชอบ ความพึงพอใจ และต้องการให้สิ่งที่ชอบนั้น เข้ามาหาตนเองให้มากๆ เช่น ชอบเงินทอง ชอบความร่ำรวย เป็นต้น เมื่อรู้สึกชอบ เราก็อยากให้ตัวเองได้เงินมากๆ และยิ่งโลภมากเท่าไร ก็ยิ่งอยากได้มากขึ้นเท่านั้น
๒.โทสะ คือ ความรู้สึกไม่ชอบ ไม่พอใจ และต้องการให้สิ่งที่ตนไม่พอใจนั้น ออกไปให้ห่างตนที่สุด หรือไม่ก็ ถึงขั้นอยากทำลายสิ่งนั้น ให้สูญสิ้นไป เช่น ในยามที่เรา โกรธใครสักคนอย่างมาก เราก็จะอยากทำร้าย อยากจะทำลายคนผู้นั้น ให้เสียหาย เป็นต้น
๓.โมหะ คือ ความรู้สึกหลง ซึ่งมีทั้งเกิดจากความชอบ และไม่ชอบ เป็นอารมณ์ในเชิงไม่แน่ใจ และสงสัยในบางเรื่อง ซึ่งก่อให้เกิดความสับสน ในจิตใจขึ้นมา แต่จะไม่รุนแรงเท่า โลภะหรือโทสะ
โลภะ โทสะ และโมหะนี้ คือกิเลสหลัก ที่นำความทุกข์มาสู่มนุษย์เรา มันคือตัวเหนี่ยวนำ ให้ใจของเรา เกิดความชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่ม ที่สำคัญของความทุกข์ ทำให้แนวทางสำคัญ สำหรับคนที่ต้องการเอาชนะความทุกข์ มีจิตใจที่อิสระเหนือความทุกข์ได้ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องหาทาง กำจัดกิเลสเหล่านี้ ให้หมดไป หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ต้องรู้วิธี ที่จะข่มกิเลส ไม่ให้มีอำนาจมากกว่าตัวเรา และจุดสำคัญอย่างหนึ่ง ของการเอาชนะความทุกข์ก็คือ เราต้องมั่นใจว่า ความทุกข์นั้นเอาชนะได้ หรือตัวกิเลสเรา ก็สามารถข่มมันได้ อย่าเพิ่งท้อแท้ หรือคิดว่าเราไม่อาจเอาชนะกิเลส หรือความอยาก ความชอบ ความไม่ชอบได้
หลายๆ ท่าน อาจคิดว่า ในเมื่อเรา ก็คือสัตว์โลกชนิดหนึ่ง ก็ย่อมหนีไม่พ้นที่จะมีความอยาก ความชอบในจิตใจ ซึ่งนั่นก็เป็น ความเชื่อ ที่อาจจะไม่ถูกเสียทั้งหมด จริงที่เราเป็นสัตว์โลก และเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่จะต้องมีอารมณ์ความรู้สึกเกิดขึ้น ผ่านทางผัสสะ แล้วตรงมาก่อความรู้สึกต่างๆ ที่จิตใจ แต่มนุษย์อย่างเรา ก็มีความพิเศษกว่าสัตว์อื่น คือ มีสมอง ที่มีประสิทธิภาพ สามารถพัฒนาความคิด ไหวพริบ และความฉลาดได้อย่างต่อเนื่อง พระพุทธเจ้าท่านทรงเน้นย้ำเสมอว่า มนุษย์คือสัตว์ที่มีสติปัญญา เป็นสัตว์ ที่สามารถพัฒนาตนเอง ให้กลายเป็นสัตว์ประเสริฐได้ ขอเพียงรู้จักฝึกฝน บ่มเพาะความรู้ความเข้าใจ ทำให้ตนเอง ให้มีทักษะทางจิต ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์ผู้นั้น ก็จะเป็นบุรุษที่เหนือกว่าบุรุษอื่นได้ เพราะคนที่ได้ชื่อว่า เป็นสัตว์ประเสริฐ คือคนที่สามารถฝึกตนเอง เกลาตนเอง จนไม่ตกเป็นเหยื่อของกิเลส ของความอยาก ของสัญชาตญาณ หรือสิ่งผิดใดๆ เพราะแท้จริงแล้วมนุษย์ ก็เริ่มต้นเหมือนสัตว์โลกอื่นๆ ที่ตกอยู่ในอำนาจ ของสัญชาตญาณ และความอยากชนิดต่างๆ และแนวทางแห่งการเป็นสัตว์ประเสริฐ กับแนวทางแห่งการเอาชนะความทุกข์ จึงต่าง ก็เป็นการฝึกฝนตัวเรา ให้มีความสามารถ ในการดำรงชีวิต ให้ห่างไกลจากความทุกข์ และคนที่ ความทุกข์ชอบมาแวะเวียน และสิงสถิตอยู่ ในความคิดเป็นเวลานานๆ นั้น ก็มักจะเป็นคน ที่ยึดมั่นถือมั่น ชอบคิดลบ ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ หรือ เต็มไปด้วยความไม่รู้ ซึ่งที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
๑.ยึดมั่นถือมั่น หลายๆ ท่าน เป็นคนที่มีความยึดติด ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะการยึดถือตัวตน ตัวเราของเรา หรือการยึดว่าสิ่งนั้น เป็นของเรา อันนั้นควรเป็นของเรา หรือการที่เราดำรงชีวิตปกติ มาระยะหนึ่ง พอเกิดความเปลี่ยนแปลงเข้า ก็ไม่ยอมทำใจเข้ากับสิ่งที่เปลี่ยน แต่ยังยึดติดกับสิ่งเดิม จึงทำให้ความทุกข์เริ่มต้นขึ้น
๒.เต็มไปด้วยความไม่รู้ เป็นคนที่ไม่รู้ว่าตัวเอง เป็นคนเช่นไร มีลักษณะที่เป็นสื่อนำความทุกข์ มาสู่ใจหรือไม่ ไม่รู้ว่าแนวทางการดับทุกข์ หรือเอาชนะความทุกข์ต้องทำเช่นไร หรือไม่รู้แม้กระทั่งว่า ความทุกข์ที่กำลังรบกวนจิตใจ ของตัวเองตอนนี้ มันคือเรื่องอะไรกันแน่ แล้วก็ปล่อยให้ตนเอง ตกอยู่ในความไม่รู้นั้น ไปเรื่อยๆ จนความทุกข์สะสม และหมักหมมไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
๓.ชอบคิดลบ หลายๆ ท่าน เป็นคนที่ชอบคิดลบไว้ก่อนเสมอ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร ใจก็พาไปคิดลบ คิดแต่ในเชิงทำลายตนเอง ทำลายความมั่นใจ หรือทำลายคนอื่น เช่น อยากทำร้ายคนอื่นให้สาสม และชอบคิดว่า ปัญหาเป็นสิ่งที่แก้ไม่ได้ คิดว่าตัวเองไม่เก่งพอ เมื่อเจอปัญหา ก็เห็นแต่ทางตัน แทนที่จะเป็นทางออก เป็นต้น
๔.ไม่รู้จักคุมอารมณ์ เมื่อเกิดปัญหาทีไร ก็อาละวาดก่อนทุกครั้ง หรือไม่ ก็มานั่งร้องไห้ ปล่อยให้อารมณ์ครอบครองตัวเอง และขับไล่สติ ไปจนหมดสิ้น ทำให้นอกจาก เราจะไม่สามารถแก้ปัญหาตัวทุกข์ ที่เกิดขึ้นได้แล้ว ก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาชนิดใหม่ขึ้น จากการกระทำ ที่ไม่เหมาะของเราก็เป็นได้
ลองสำรวจตัวเองดูว่า เรามีกิเลสตัวไหนบ้าง หรือมีสิ่งที่นำความทุกข์ อยู่กับตัวหรือไม่ ค้นดูตัวเองว่า มีจุดอ่อน ที่ความทุกข์นั้น จะเข้ามาจู่โจมที่ตรงไหน จากนั้น ก็ค่อยๆ หาทางออก และค่อยๆ ปรับแก้ เพื่อให้ตัวเราเข้มแข็งขึ้นต่อไป ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น