การดับทุกข์ หลุดพ้นจากกิเลส ด้วยอริยสัจ ๔ และมรรค ๘
สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้มีคติธรรมและข้อคิด
เรื่องของ การดับทุกข์ เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลส
ด้วยอริยสัจ ๔ และมรรคมีองค์ ๘ มาฝากครับ
หลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินและได้ฟัง เรื่องของอริสัจ ๔ และมรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นความจริงแห่งการดับทุกข์ เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง อยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อฟังแล้ว อาจจะยังไม่เข้าใจ หรือเข้าถึงได้ยาก เพราะแนวทางในการปฏิบัตินั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย คลิบนี้ ผมจึงเอาคติธรรมของครูบาอาจารย์ เรื่องของ อริยสัจ ๔ และมรรคมีองค์ ๘ มาให้รับชม แบบภาษาและแนวทางที่พอจะเข้าใจได้ง่าย และไม่ยาวมากนัก เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ในการใช้ชีวิต และใช้ดับทุกข์ เพราะการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็คือ การค้นพบสัจจะความจริงที่ว่า เราทุกคนอยู่บนโลก ภายใต้กฎของธรรมชาติ และกรรม ก็เป็นกฎของธรรมชาติ ซึ่งเป็นคำสอนที่พิสูจน์ได้ และถ้าเราอยากได้ดี ก็ต้องทำดี ความจริงแห่งพระอริยะ สำหรับการดับทุกข์ เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง อันประกอบด้วยธรรมนั้น จะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้าง ไปชมกันเลยครับ
อริยสัจ ๔ หมายถึง ความจริงแห่งพระอริยะ สำหรับการดับทุกข์ เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง อันประกอบไปด้วยธรรม ๔ ประการ ก็คือ
๑. ทุกข์ คือ ความทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
๒. สมุทัย คือ มูลเหตุ หรือต้นเหตุแห่งทุกข์
๓. นิโรธ คือ สิ่งที่ใช้ดับทุกข์
๔ มรรค คือ แนวทางแห่งการดับทุกข์
คุณสมบัติของอริยสัจ ๔ นั้น
๑. เป็นความจริงที่พระอริยะรู้แจ้ง คือ (ตรัสรู้)
๒. เป็นความจริงที่พระอริยะพึงมี
๓. เป็นความจริงที่ทำให้เป็นอริยะ
๔. เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ และไม่มีวันหักล้างได้ ครับ
ขั้นตอนการเข้าถึงอริยสัจ ๔
๑. การรับรู้ การรับรู้ คือ ความเข้าใจ ในสิ่งที่มากระทบ กับประสาทสัมผัสทั้ง ๖ ที่นำมาสู่สิ่งที่กาย และใจตนเอง ไม่ปรารถนา เรียกว่า “ทุกข์”
๒. การใช้ปัญญา การใช้ปัญญา คือ การคิด วิเคราะห์ เหตุแห่งที่มาของความทุกข์ โดยใช้พื้นฐานแห่งความรู้ของตนเอง ที่มีมา จนรู้แจ้งในเหตุ และผล ในสิ่งเหล่านั้น เรียกว่า “สมุทัย”
๓. การกำหนดสิ่งดับทุกข์ การกำหนดสิ่งดับทุกข์ เป็นขั้นหลัง จากที่รู้เหตุแห่งทุกข์แล้ว จึงใช้ปัญญากำหนด เครื่องดับทุกข์ คือ การยอมรับในทุกข์ ด้วยความเข้าใจ ในความจริงของทุกสรรพสิ่ง เรียกว่า “นิโรธ”
๔. การปฏิบัติ การปฏิบัติ คือ การดำเนินตามแนวทาง ที่ช่วยส่งเสริม เครื่องดับทุกข์ หรือทำให้เกิดการดับทุกข์ คือ มรรคมีองค์ ๘ และทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แห่งอริยสัจ ๔ ขยายความแบบสั้นๆ พอที่เรา จะเข้าใจได้ง่าย มีดังนี้
๑.ทุกข์ แห่งอริยสัจ ๔ หมายถึง สภาพที่ทำให้เกิดความไม่สบายกาย และไม่สบายใจ ทั้งสภาพที่ทนได้ คือ เกิดขึ้นน้อย และสภาพที่ทนได้ยาก คือ เกิดขึ้นมาก แต่หากกล่าวให้ลึก ในทางธรรมแห่งพระอริยะ คือ สภาวะของทุกสรรพสิ่ง ที่ไม่เป็นไปตามการยึดมั่น ถือมั่น เพราะเหตุ ที่ต้องตกอยู่ ในกฎแห่งความไม่เที่ยง คือ ปัญจุปาทานักขันธ์ ๑๑ ประการ ซึ่งเป็นความทุกข์ ที่เกิดขึ้นกับทุกชีวิต คือ
การเกิด (ชาติ)
การแก่ (ชรา)
การตาย (มรณะ)
การโศกเศร้า (โสกะ)
การร่ำไร และรำพัน(ปริเทวะ)
การทุกข์กาย (ทุกขะ)
การทุกข์ใจ (โทมนัสสะ)
การคับแค้นใจ (อุปายาส)
การพลั้งเจอ หรืออยู่ร่วมกับสิ่งที่ตนไม่รัก ไม่ยินดี (อิปปิยสัมปโยค)
การพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก (ปิยวิปปโยค)
และการปรารถนาที่ไม่ได้ตามปรารถนา (อิจฉาวิฆาตะ) ซึ่งความทุกข์เหล่านี้ ย่อมเกิดแก่ทุกชีวิต ทั้งปุถุชนทั่วไป และผู้ทรงศีล ที่ยังไม่เข้าถึงพระนิพพาน สำหรับปุถุชนทั่วไป คือ ฆราวาสผู้รักษาศีล ๕ หรือ ศีล ๘ แนวทางแห่งอริยสัจ ๔ นี้ จะมีประโยชน์ ต่อการดับทุกข์ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต อาทิ ความทุกข์จากความยากจน ความทุกข์จากการถูกดุด่า และความทุกข์ จากการสูญเสีย เป็นต้น
๒.สมุทัย แห่งอริยสัจ ๔ หมายถึง สาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ กำหนดรู้ ด้วยการใช้ปัญญาในการคิด วิเคราะห์ ภายใต้พื้นฐานของความรู้ และสติปัญญาของตนเอง สาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ ในคำสอนของพระพุทธองค์ คือ ตัณหา อันประกอบขึ้น ด้วยความยึดมั่นถือมั่น และความทะยานอยาก ในจิตของตน ซึ่งแบ่งเป็น ๓ อย่างคือ
๑. กามตัณหา คือ ความอยาก ที่ต้องการในการได้มา การต้องจับ หรือสัมผัส กับสิ่งที่ตนรักใคร่ ได้แก่ เห็นรูปกาย ได้ยินเสียง ได้กลิ่นหอมเหม็น รับรสทั้ง ๕ และสัมผัสกาย
๒. ภวตัณหา คือ ความอยาก อยากมี อยากเป็น ในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นกับตนเอง เช่น อยากเป็นคนร่ำรวย อยากมีรถยนต์ เป็นต้น
๓. วิภวตัณหา คือ ความอยาก ที่ไม่ต้องการ ให้เป็นไปในสิ่งที่ตนไม่ปรารถนา หรือต้องการให้เกิดขึ้น ในสิ่งที่ตนปรารถนา เช่น ไม่อยากเจอคนพาล หรือไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากไปมหาลัย เป็นต้น การพิจารณา เพื่อเข้าถึงสมุทัย ตามวิถีแห่งปุถุชน ในการดำเนินชีวิตนั้น เป็นการวิเคราะห์ เพื่อให้ทราบสาเหตุทั่วไป ของความทุกข์ ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิต ถือว่า ยังไม่ถึงขั้น ของการเข้าถึงสมุทัย แห่งพระนิพพาน อาทิเช่น สาเหตุของการสอบตก หรือสาเหตุของการมาเรียนสาย เป็นต้น
๓. นิโรธ แห่งอริยสัจ ๔ หมายถึง ความดับทุกข์ หรือสิ่งที่ใช้ดับทุกข์ ด้วยการเข้าใจ ในความทุกข์ อันมีตัณหาเป็นสาเหตุ ที่ทุกชีวิตไม่สามารถ จะหลีกพ้นได้ เมื่อจิตมองเห็น ถึงความดับทุกข์ คือ จิตสงบ ไม่มีความยินดี หรือไม่ยินดีกับความทุกข์ที่เกิด อันประกอบขึ้นด้วย การหลุดพ้นแห่งกิเลสทั้งปวง นั่นคือ พระนิพพาน ที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ในภพภูมิทั้งหลาย การเข้าถึงนิโรธ ของปุถุชน ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตนั้น เป็นเพียงการดับทุกข์ ที่เป็นกิเลสพื้นฐานทั่วไป มิใช่การดับ ซึ่งกิเลสแห่งพระนิพพาน เรียกการเข้าถึงนิโรธ ในลักษณะนี้ว่า การดับทุกข์ชั่วขณะ หรือนิพพานชั่วขณะ (ตพังคนิพพาน) ธรรม ที่จะช่วยให้เรา เข้าถึงนิโรธได้นั้น ครูบาอาจารย์ ท่านได้กล่าว ให้พึงใช้หลักธรรมที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ ๓ อันประกอบด้วย
๑. อนิจจัง คือ ทุกสรรพสิ่งไม่มีความเที่ยง
๒. ทุกขัง คือ ทุกสรรพสิ่งย่อมมีความทุกข์
๓. อนัตตา คือ ทุกสรรพสิ่งย่อมไม่มีตัวตน ไม่สามารถ ทำให้เป็นไปตาม ที่ตนมุ่งหมายได้ทุกอย่าง
๔. มรรค แห่งอริยสัจ ๔ หมายถึง หนทาง หรือแนวทางแห่งการดับทุกข์ มรรค คือ หนทางแห่งการดับทุกข์นั้น แบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือ
๑. มรรค ๘ คือ มรรคที่อรรถาธิบาย ในเชิงที่เหมาะ สำหรับพุทธศาสนิกชน พึงนำไปใช้ปฏิบัติ
๒.อริยมรรค ๘ คือ มรรคที่อรรถาธิบาย ในเชิงที่เหมาะ สำหรับผู้ทรงศีล พึงนำไปใช้ปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพาน แห่งการเป็นพระอริยะ มรรค ๘ หมายถึง แนวทางปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งด้วยปัญญา สำหรับขจัดความเขลา ความหลงผิด ความทุกข์ เพื่อให้การดำเนินชีวิต ดำรงอยู่ ในศีลธรรมอันดีงาม ซึ่งประกอบไปด้วยธรรม ๘ ประการ คือ
๑. สัมมาทิฏฐิ คือ การเห็นชอบ
๒. สัมมาสังกัปปะ คือ การดำริชอบ
๓. สัมมาวาจา คือ การเจรจาชอบ
๔. สัมมากัมมันตะคือ การประพฤติชอบ
๕. สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ
๖. สัมมาวายามะ คือ การเพียรชอบ
๗. สัมมาสติ คือ การตั้งสติชอบ
๘. สัมมาสมาธิ คือ การตั้งมั่นชอบ
อริยมรรค คือ แนวทางอันประเสริฐ ของพระอริยะด้วยปัญญา เพื่อนำไปสู่ การพ้นจากกิเลสทั้งปวง ดั่งเช่น พระพุทธองค์ และพระอรหันต์ทั้งหลาย ประกอบด้วยมรรค ๘ ประการ ข้างต้นที่กล่าวมา ดังนั้น อริยมรรค จึงหมายถึงมรรค ๘ ประการ แต่เป็นมรรค ๘ ประการ ที่ภิกษุ หรือปถุชน ใช้เป็นแนวทาง เพื่อการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ซึ่งคำว่า มรรค มาจากรากศัพท์ภาษาบาลี คือ มคฺค อ่าน มัคคะ แปลว่า ทาง แนวทาง หรือ หนทาง แต่ มรรค แนวทางหรือหนทาง ในที่นี้ หมายถึง หนทางแห่งการดับทุกข์
ปัญญาที่เป็นเครื่องมือ ในการขจัดความเขลา หรือเพื่อละซึ่งกิเลส แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ
๑. สุตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจาก การศึกษาเล่าเรียน ในตำราเรียน
๒. จินตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากกระบวนการคิด การวิเคราะห์ ไตร่ตรองในเหตุ และผล โดยใช้สุตมยปัญญา เป็นปัญญาพื้นฐาน
๓. ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติ ลงมือทำ ลงมือทดลอง จนรู้เห็น ด้วยประสบการณ์ที่แท้จริงของตนเอง โดยมีสุตมยปัญญา และจินตมยปัญญา เป็นปัญญาพื้นฐาน ซึ่งมรรคทั้ง ๘ นั้น ก็แบ่งได้ ๓ หมวด คือ
๑. หมวดศีล ประกอบด้วย สัมมาวาจา คือ การเจรจาชอบ สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติชอบ สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ
๒. หมวดสมาธิ ประกอบด้วย สัมมาวายามะ คือ การเพียรชอบ สัมมาสติ คือ การตั้งสติชอบ สัมมาสมาธิ คือ การตั้งมั่นชอบ ๓. หมวดปัญญา ประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ คือ การเห็นชอบ และสัมมาสังกัปปะ คือ การคิดชอบ หรือรู้ดำริชอบ ซึ่ง มรรค ๘ ประการ สำหรับแนวทาง ในการใช้ดำเนินชีวิต แบบสั้นๆ ที่ทำให้เราเข้าใจได้ง่าย มีดังนี้
๑.สัมมาทิฏฐิ (การเห็นชอบ) สัมมาทิฏฐิ แห่งมรรค ๘ หมายถึง ความเห็น หรือ การเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง และดีงาม ตามแนวทางแห่งอริยสัจ ๔ อันประกอบด้วย
๑.ทุกข์ คือ สภาวะจิตใจที่เกิดความทุกข์
๒.สมุทัย คือ สิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ อันได้แก่ โทสะ โมหะ และโลภะ
๓.นิโรธ คือ สิ่งที่สามารถดับทุกข์ได้ อันประกอบด้วย ความเข้าใจในสภาพจริง ของธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
๔.มรรค คือ หนทางในการดับทุกข์ ก็คือ มรรค ๘ และองค์ที่ก่อให้เกิด สัมมาทิฏฐิ ๒ อย่าง คือ
๑.ปรโตโฆสะ คือ ความเห็นชอบ ที่มาจากปัจจัยรอบด้าน เช่น คำบอกเล่า ข่าวสาร คำสั่งสอน หรือตำรา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นบ่อเกิดของความรู้ ที่ประกอบขึ้น จากภายนอก ที่เราต้องขวนขวายหา แต่ความรู้เหล่านี้ จำเป็นต้องกรอง หรือต้องรู้จักใช้วิจารณญาณ ให้เกิดความเข้าใจ อย่างท่องแท้เสียก่อน การใช้วิจารณญาณนี้ เรียกทางพุทธธรรมว่า โยนิโสมนสิการ
๒.โยนิโสมนสิการ คือ การรู้จักคิด วิเคราะห์ในเหตุ และผล อันนำมาซึ่งปัญญา คือ การรู้แจ้ง โดยใช้ข้อมูลข่าวสาร หรือแหล่งความรู้ต่างๆ จากปรโตโฆสะ มาประกอบ ส่วน สัมมาทิฏฐิ ๒ ระดับ คือ
๑.โลกิยสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็น หรือ การเข้าใจ ในระดับปุถุชน ที่มีความเห็น หรือเข้าใจ ในสิ่งชั่วดี สอดคล้องกับครรลองคลองธรรม ซึ่งยังมิได้เข้าถึง การรู้แจ้งในระดับพระอริยะ ทำให้ยังเวียนว่าย อยู่ในวัฏสงสาร
๒.โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็น หรือ การเข้าใจ ในระดับพระอริยะ ที่มีความเห็นแจ้ง รู้แจ้งในทุกสรรพสิ่งบนโลก หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง และไม่เวียนว่ายในวัฏสงสาร
๒.สัมมาสังกัปปะ (การดำริชอบ การคิดชอบ) สัมมาสังกัปปะ แห่งมรรค ๘ หมายถึง การรู้จักคิด ในทางที่ถูกที่ควร บนพื้นฐานของศีลธรรมอันดีงาม ที่ปราศจาก การคิดโลภ ในความอยากของตนเอง การคิดพยาบาท อาฆาตแค้น และการคิด ที่จะเบียดเบียนผู้อื่นให้เสียหาย สัมมาสังกัปปะ เป็นธรรมที่พึงเว้น จากมิจฉาสังกัปปะ ๓ ประการ คือ
๑.กามสังกัปปะ คือ การคิดในกาม อันเป็นความอยาก ความต้องการของตน ในทุกด้าน โดยไม่สนใจเรื่องศีลธรรมอันดี จนนำไปสู่ การแสวงหาแนวทาง เพื่อให้บรรลุ ซึ่งความอยากเหล่านั้น
๒.พยาบาทสังกัปปะ คือ การคิดพยาบาท อันประกอบขึ้นด้วยจิต ที่มีความขุ่นเคือง ความเคียดแค้น และความอาฆาตต่อผู้อื่น
๓.วิหิงสาสังกัปปะ คือ การคิดเบียดเบียน อันประกอบขึ้นจาก พยาบาทสังกัปปะ ที่ฝังอยู่ในจิตใจ จนนำไปสู่การคิด เพื่อแสวงหาทาง ที่จะเบียดเบียน หรือทำร้ายผู้อื่น ให้เกิดความเสียหาย เป็นต้น
๓. สัมมาวาจา (การเจรจาชอบ) สัมมาวาจา แห่งมรรค ๘ หมายถึง การพูดจาชอบ ในทางที่ถูกที่งาม อันประกอบด้วย เว้นจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง เว้นจากการพูดส่อเสียด เว้นจากการพูดคำหยาบ และเว้นจากการพูดกลับคำ การประพฤติสัมมาวาจา ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำ ให้พึงเว้นจาก วจีทุจริต ๔ ประการ คือ
๑.มุสาวาทา คือ พึงเว้นจากการพูดคำเท็จ คำหลอกลวง ที่ไม่เป็นจริง ดังปรากฏ เพียงเพื่อหวังประโยชน์แก่ตน และยังให้ผู้อื่นเสียหาย
๒.ปิสุณาวาจา คือ พึงเว้นจากการพูดส่อเสียด เพื่อให้ผู้อื่นเจ็บใจ และการพูดยุแย่ เพื่อให้เกิดความแตกแยก ในหมู่คณะ หรือความแตกร้าวของผู้อื่น
๓.ผรุสวาจา คือ พึงเว้นจากการพูดคำหยาบ อันเป็นคำที่ไม่ระรื่นหู เพียงเพื่อทำให้ผู้อื่นเจ็บใจ หรือพูดเพราะ ความคึกคะนอง
๔.สัมผัปปลาปะ คือ พึงเว้นจากการพูดกลับคำ พูดกลับไปกลับมา จับสาระไม่ได้ เป็นต้นครับ
๔. สัมมากัมมันตะ (การประพฤติชอบ) สัมมากัมมันตะ แห่งมรรค ๘ หมายถึง การประพฤติปฏิบัติ ในทางที่ถูกต้องอันควร สัมมากัมมันตะในทางโลก ครูบาอาจารย์ท่านพึงให้ละเว้น จากกายทุจริต ๓ ประการ คือ
๑.ปาณาติปาตา คือ การละซึ่งการพรากชีวิตสรรพสัตว์ และชีวิตผู้อื่น
๒.อทินนาทานา คือ การละซึ่งการลักทรัพย์ อันเป็นทรัพย์ที่ผู้อื่นเขาไม่ยินยอมให้
๓.กาเมสุมิจฉาจารา คือ การละ ซึ่งการประพฤติผิดในกาม ในหญิงต้องห้าม และชายต้องห้ามทั้งหลาย เป็นต้นครับ
๕.สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ) สัมมาอาชีวะ แห่งมรรค ๘ หมายถึง การประกอบอาชีพ หรือการหาเลี้ยงชีพ ด้วยความสุจริต ด้วยการใช้ปัญญา และความรู้ของตน ในการประกอบอาชีพ บนพื้นฐานของความถูกต้อง ปราศจากการประพฤติ อันผิดต่อศีลธรรมอันงาม ผู้มีสัมมาอาชีวะ ครูบาอาจารย์ ท่านพึงให้เว้น จากมิจฉาอาชีวะ ๕ ประการ คือ
๑.สัตถวณิชชา คือ การประกอบอาชีพ ด้วยการค้าขายอาวุธสงคราม หรือวัตถุที่เกี่ยวข้องกับอาวุธ
๒.สัตตวณิชชา คือ การประกอบอาชีพ ด้วยการค้าขายมนุษย์ การใช้แรงงานผิดกฎหมาย การทารุณกรรม การบริการทางเพศ เป็นต้น
๓.มังสวณิชชา คือ การประกอบอาชีพ ด้วยการค้าขายสัตว์ ค้าขายเนื้อสัตว์ต้องห้าม ที่ผิดต่อหลักกฎหมาย หรือศาสนา
๔.มัชชวณิชชา คือ การประกอบอาชีพ ด้วยการค้าขายน้ำเมา และสารเสพติด
๕.วิสวณิชชา คือ การประกอบอาชีพ ด้วยการค้าขายยา หรือสารสำหรับ การทำพิษต่อคน หรือสัตว์ เป็นต้นครับ
๖.สัมมาวายามะ (การเพียรชอบ) สัมมาวายามะ แห่งมรรค ๘ หมายถึง ความเพียรในการงาน หรือความเพียร ในการประพฤติ ต่อคุณงามความดี อันได้แก่
๑.สังวรปธาน คือ การเพียรป้องกัน มิให้ตนเอง ประพฤติอยู่ในอกุศลกรรม
๒.ปหานปธาน คือ การเพียรละ ซึ่งอกุศลกรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว ให้หมดไปจากตนเอง
๓.ภาวนาปธาน คือ การเพียรสร้างกุศลกรรม อันที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง และผู้อื่น
๔.อนุรักขนาปธาน คือ การเพียรรักษา สิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ยังคงอยู่เป็นนิจ และเพียรส่งเสริมพัฒนาให้สิ่งนั้น เกิดยิ่งๆ ขึ้นไป
๗.สัมมาสติ (การตั้งสติชอบ) สัมมาสติ แห่งมรรค ๘ หมายถึง การตั้งสติได้ การระลึกได้ ไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลื่อนลอย สามารถระวังตัว มิให้ประพฤติตน หลงเข้าไปในวังวน ของกิเลสทั้งหลาย อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ รวมถึงการตื่นตัว ในหน้าที่ การสำนึก ในหน้าที่อยู่เสมอ ลักษณะของการมีสติ
๑. ระลึกได้ว่า สิ่งที่จะกระทำ หรือกำลังกระทำ มีประโยชน์หรือไม่ เป็นเรื่องดี หรือเรื่องชั่ว
๒. ระลึกได้ว่า สิ่งที่จะกระทำ หรือกำลังกระทำ เหมาะกับตน หรือไม่
๓. ระลึกได้ว่า สิ่งที่จะกระทำ หรือกำลังกระทำ มีผลดี หรือร้าย
๔. ระลึกได้ว่า สิ่งที่จะกระทำ หรือกำลังกระทำ เป็นเรื่องงมงาย หรือไม่
๕. ระลึกได้ว่า สิ่งที่จะกระทำ หรือกำลังกระทำ มีโอกาสสำเร็จ หรือไม่
๘.สัมมาสมาธิ (การตั้งมั่นชอบ) สัมมาสมาธิ แห่งมรรค ๘ หมายถึง การตั้งมั่นในจิต การมีจิตแน่วแน่ ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คือ มีจิตเป็นหนึ่งรวมกับสิ่งใดๆ แบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ
๑.ขณิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะ เป็นสมาธิที่เกิดขณะ ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในการดำเนินชีวิต เช่น การทำงาน การท่องหนังสือ เป็นต้น
๒.อุปจารสมาธิ คือ สมาธิจวนจะแน่วแน่ เป็นสมาธิ ที่เกิดจากการกำหนดจิต ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในชั่วขณะ ที่ไม่ได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนถึงการมีจิตรวมเป็นหนึ่ง กับสิ่งนั้น เช่น การกำหนดจิต ต่อลมหายใจเข้าออก ได้ชั่วครู่ชั่วขณะ เพราะเกิดจิตเลื่อนลอย ไปนึกถึงสิ่งอื่น
๓.อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิที่แน่วแน่เป็นหนึ่ง เป็นสมาธิ ที่เกิดจากการกำหนด จิตต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนสามารถกำหนดจิตแน่วแน่ รวมเป็นหนึ่งกับสิ่งนั้นได้ เช่น จิตรับรู้ และแน่วแน่ ต่อลมหายใจเข้าออก เป็นต้น
สรุปแล้ว มรรค ๘ คือ ธรรมอันเป็นแนวทางแห่งการดับทุกข์ ๘ ประการ คือ
๑. สัมมาทิฏฐิ คือ การเห็นชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ สมุทัย และนิโรธ แห่งอริยสัจ ๔
๒. สัมมาสังกัปปะ คือ การคิดชอบ หรือรู้ดำริชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ เว้นจากมิจฉาสังกัปปะ ๓
๓. สัมมาวาจา คือ การเจรจาชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ เว้นจากวจีทุจริต ๔
๔. สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ เว้นจากกายทุจริต ๓
๕. สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ วิริยะ
๖. สัมมาวายามะ คือ การเพียรชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ ปธาน ๔
7. สัมมาสติ คือ การตั้งสติชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ สติสัมปชัญญะ
๘. สัมมาสมาธิ คือ การตั้งมั่นชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ ฌาน ๔
ทั้งหมดนี้คือความจริงแห่งพระอริยะ แบบสั้นๆ พอที่จะทำให้เราเข้าใจได้ง่าย สำหรับการดับทุกข์ เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ท้ายนี้ ก็ขอให้ทุกท่าน หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง และดับทุกข์ได้ครับ ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
หลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินและได้ฟัง เรื่องของอริสัจ ๔ และมรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นความจริงแห่งการดับทุกข์ เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง อยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อฟังแล้ว อาจจะยังไม่เข้าใจ หรือเข้าถึงได้ยาก เพราะแนวทางในการปฏิบัตินั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย คลิบนี้ ผมจึงเอาคติธรรมของครูบาอาจารย์ เรื่องของ อริยสัจ ๔ และมรรคมีองค์ ๘ มาให้รับชม แบบภาษาและแนวทางที่พอจะเข้าใจได้ง่าย และไม่ยาวมากนัก เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ในการใช้ชีวิต และใช้ดับทุกข์ เพราะการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็คือ การค้นพบสัจจะความจริงที่ว่า เราทุกคนอยู่บนโลก ภายใต้กฎของธรรมชาติ และกรรม ก็เป็นกฎของธรรมชาติ ซึ่งเป็นคำสอนที่พิสูจน์ได้ และถ้าเราอยากได้ดี ก็ต้องทำดี ความจริงแห่งพระอริยะ สำหรับการดับทุกข์ เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง อันประกอบด้วยธรรมนั้น จะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้าง ไปชมกันเลยครับ
อริยสัจ ๔ หมายถึง ความจริงแห่งพระอริยะ สำหรับการดับทุกข์ เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง อันประกอบไปด้วยธรรม ๔ ประการ ก็คือ
๑. ทุกข์ คือ ความทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
๒. สมุทัย คือ มูลเหตุ หรือต้นเหตุแห่งทุกข์
๓. นิโรธ คือ สิ่งที่ใช้ดับทุกข์
๔ มรรค คือ แนวทางแห่งการดับทุกข์
คุณสมบัติของอริยสัจ ๔ นั้น
๑. เป็นความจริงที่พระอริยะรู้แจ้ง คือ (ตรัสรู้)
๒. เป็นความจริงที่พระอริยะพึงมี
๓. เป็นความจริงที่ทำให้เป็นอริยะ
๔. เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ และไม่มีวันหักล้างได้ ครับ
ขั้นตอนการเข้าถึงอริยสัจ ๔
๑. การรับรู้ การรับรู้ คือ ความเข้าใจ ในสิ่งที่มากระทบ กับประสาทสัมผัสทั้ง ๖ ที่นำมาสู่สิ่งที่กาย และใจตนเอง ไม่ปรารถนา เรียกว่า “ทุกข์”
๒. การใช้ปัญญา การใช้ปัญญา คือ การคิด วิเคราะห์ เหตุแห่งที่มาของความทุกข์ โดยใช้พื้นฐานแห่งความรู้ของตนเอง ที่มีมา จนรู้แจ้งในเหตุ และผล ในสิ่งเหล่านั้น เรียกว่า “สมุทัย”
๓. การกำหนดสิ่งดับทุกข์ การกำหนดสิ่งดับทุกข์ เป็นขั้นหลัง จากที่รู้เหตุแห่งทุกข์แล้ว จึงใช้ปัญญากำหนด เครื่องดับทุกข์ คือ การยอมรับในทุกข์ ด้วยความเข้าใจ ในความจริงของทุกสรรพสิ่ง เรียกว่า “นิโรธ”
๔. การปฏิบัติ การปฏิบัติ คือ การดำเนินตามแนวทาง ที่ช่วยส่งเสริม เครื่องดับทุกข์ หรือทำให้เกิดการดับทุกข์ คือ มรรคมีองค์ ๘ และทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แห่งอริยสัจ ๔ ขยายความแบบสั้นๆ พอที่เรา จะเข้าใจได้ง่าย มีดังนี้
๑.ทุกข์ แห่งอริยสัจ ๔ หมายถึง สภาพที่ทำให้เกิดความไม่สบายกาย และไม่สบายใจ ทั้งสภาพที่ทนได้ คือ เกิดขึ้นน้อย และสภาพที่ทนได้ยาก คือ เกิดขึ้นมาก แต่หากกล่าวให้ลึก ในทางธรรมแห่งพระอริยะ คือ สภาวะของทุกสรรพสิ่ง ที่ไม่เป็นไปตามการยึดมั่น ถือมั่น เพราะเหตุ ที่ต้องตกอยู่ ในกฎแห่งความไม่เที่ยง คือ ปัญจุปาทานักขันธ์ ๑๑ ประการ ซึ่งเป็นความทุกข์ ที่เกิดขึ้นกับทุกชีวิต คือ
การเกิด (ชาติ)
การแก่ (ชรา)
การตาย (มรณะ)
การโศกเศร้า (โสกะ)
การร่ำไร และรำพัน(ปริเทวะ)
การทุกข์กาย (ทุกขะ)
การทุกข์ใจ (โทมนัสสะ)
การคับแค้นใจ (อุปายาส)
การพลั้งเจอ หรืออยู่ร่วมกับสิ่งที่ตนไม่รัก ไม่ยินดี (อิปปิยสัมปโยค)
การพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก (ปิยวิปปโยค)
และการปรารถนาที่ไม่ได้ตามปรารถนา (อิจฉาวิฆาตะ) ซึ่งความทุกข์เหล่านี้ ย่อมเกิดแก่ทุกชีวิต ทั้งปุถุชนทั่วไป และผู้ทรงศีล ที่ยังไม่เข้าถึงพระนิพพาน สำหรับปุถุชนทั่วไป คือ ฆราวาสผู้รักษาศีล ๕ หรือ ศีล ๘ แนวทางแห่งอริยสัจ ๔ นี้ จะมีประโยชน์ ต่อการดับทุกข์ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต อาทิ ความทุกข์จากความยากจน ความทุกข์จากการถูกดุด่า และความทุกข์ จากการสูญเสีย เป็นต้น
๒.สมุทัย แห่งอริยสัจ ๔ หมายถึง สาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ กำหนดรู้ ด้วยการใช้ปัญญาในการคิด วิเคราะห์ ภายใต้พื้นฐานของความรู้ และสติปัญญาของตนเอง สาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ ในคำสอนของพระพุทธองค์ คือ ตัณหา อันประกอบขึ้น ด้วยความยึดมั่นถือมั่น และความทะยานอยาก ในจิตของตน ซึ่งแบ่งเป็น ๓ อย่างคือ
๑. กามตัณหา คือ ความอยาก ที่ต้องการในการได้มา การต้องจับ หรือสัมผัส กับสิ่งที่ตนรักใคร่ ได้แก่ เห็นรูปกาย ได้ยินเสียง ได้กลิ่นหอมเหม็น รับรสทั้ง ๕ และสัมผัสกาย
๒. ภวตัณหา คือ ความอยาก อยากมี อยากเป็น ในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นกับตนเอง เช่น อยากเป็นคนร่ำรวย อยากมีรถยนต์ เป็นต้น
๓. วิภวตัณหา คือ ความอยาก ที่ไม่ต้องการ ให้เป็นไปในสิ่งที่ตนไม่ปรารถนา หรือต้องการให้เกิดขึ้น ในสิ่งที่ตนปรารถนา เช่น ไม่อยากเจอคนพาล หรือไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากไปมหาลัย เป็นต้น การพิจารณา เพื่อเข้าถึงสมุทัย ตามวิถีแห่งปุถุชน ในการดำเนินชีวิตนั้น เป็นการวิเคราะห์ เพื่อให้ทราบสาเหตุทั่วไป ของความทุกข์ ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิต ถือว่า ยังไม่ถึงขั้น ของการเข้าถึงสมุทัย แห่งพระนิพพาน อาทิเช่น สาเหตุของการสอบตก หรือสาเหตุของการมาเรียนสาย เป็นต้น
๓. นิโรธ แห่งอริยสัจ ๔ หมายถึง ความดับทุกข์ หรือสิ่งที่ใช้ดับทุกข์ ด้วยการเข้าใจ ในความทุกข์ อันมีตัณหาเป็นสาเหตุ ที่ทุกชีวิตไม่สามารถ จะหลีกพ้นได้ เมื่อจิตมองเห็น ถึงความดับทุกข์ คือ จิตสงบ ไม่มีความยินดี หรือไม่ยินดีกับความทุกข์ที่เกิด อันประกอบขึ้นด้วย การหลุดพ้นแห่งกิเลสทั้งปวง นั่นคือ พระนิพพาน ที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ในภพภูมิทั้งหลาย การเข้าถึงนิโรธ ของปุถุชน ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตนั้น เป็นเพียงการดับทุกข์ ที่เป็นกิเลสพื้นฐานทั่วไป มิใช่การดับ ซึ่งกิเลสแห่งพระนิพพาน เรียกการเข้าถึงนิโรธ ในลักษณะนี้ว่า การดับทุกข์ชั่วขณะ หรือนิพพานชั่วขณะ (ตพังคนิพพาน) ธรรม ที่จะช่วยให้เรา เข้าถึงนิโรธได้นั้น ครูบาอาจารย์ ท่านได้กล่าว ให้พึงใช้หลักธรรมที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ ๓ อันประกอบด้วย
๑. อนิจจัง คือ ทุกสรรพสิ่งไม่มีความเที่ยง
๒. ทุกขัง คือ ทุกสรรพสิ่งย่อมมีความทุกข์
๓. อนัตตา คือ ทุกสรรพสิ่งย่อมไม่มีตัวตน ไม่สามารถ ทำให้เป็นไปตาม ที่ตนมุ่งหมายได้ทุกอย่าง
๔. มรรค แห่งอริยสัจ ๔ หมายถึง หนทาง หรือแนวทางแห่งการดับทุกข์ มรรค คือ หนทางแห่งการดับทุกข์นั้น แบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือ
๑. มรรค ๘ คือ มรรคที่อรรถาธิบาย ในเชิงที่เหมาะ สำหรับพุทธศาสนิกชน พึงนำไปใช้ปฏิบัติ
๒.อริยมรรค ๘ คือ มรรคที่อรรถาธิบาย ในเชิงที่เหมาะ สำหรับผู้ทรงศีล พึงนำไปใช้ปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพาน แห่งการเป็นพระอริยะ มรรค ๘ หมายถึง แนวทางปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งด้วยปัญญา สำหรับขจัดความเขลา ความหลงผิด ความทุกข์ เพื่อให้การดำเนินชีวิต ดำรงอยู่ ในศีลธรรมอันดีงาม ซึ่งประกอบไปด้วยธรรม ๘ ประการ คือ
๑. สัมมาทิฏฐิ คือ การเห็นชอบ
๒. สัมมาสังกัปปะ คือ การดำริชอบ
๓. สัมมาวาจา คือ การเจรจาชอบ
๔. สัมมากัมมันตะคือ การประพฤติชอบ
๕. สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ
๖. สัมมาวายามะ คือ การเพียรชอบ
๗. สัมมาสติ คือ การตั้งสติชอบ
๘. สัมมาสมาธิ คือ การตั้งมั่นชอบ
อริยมรรค คือ แนวทางอันประเสริฐ ของพระอริยะด้วยปัญญา เพื่อนำไปสู่ การพ้นจากกิเลสทั้งปวง ดั่งเช่น พระพุทธองค์ และพระอรหันต์ทั้งหลาย ประกอบด้วยมรรค ๘ ประการ ข้างต้นที่กล่าวมา ดังนั้น อริยมรรค จึงหมายถึงมรรค ๘ ประการ แต่เป็นมรรค ๘ ประการ ที่ภิกษุ หรือปถุชน ใช้เป็นแนวทาง เพื่อการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ซึ่งคำว่า มรรค มาจากรากศัพท์ภาษาบาลี คือ มคฺค อ่าน มัคคะ แปลว่า ทาง แนวทาง หรือ หนทาง แต่ มรรค แนวทางหรือหนทาง ในที่นี้ หมายถึง หนทางแห่งการดับทุกข์
ปัญญาที่เป็นเครื่องมือ ในการขจัดความเขลา หรือเพื่อละซึ่งกิเลส แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ
๑. สุตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจาก การศึกษาเล่าเรียน ในตำราเรียน
๒. จินตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากกระบวนการคิด การวิเคราะห์ ไตร่ตรองในเหตุ และผล โดยใช้สุตมยปัญญา เป็นปัญญาพื้นฐาน
๓. ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติ ลงมือทำ ลงมือทดลอง จนรู้เห็น ด้วยประสบการณ์ที่แท้จริงของตนเอง โดยมีสุตมยปัญญา และจินตมยปัญญา เป็นปัญญาพื้นฐาน ซึ่งมรรคทั้ง ๘ นั้น ก็แบ่งได้ ๓ หมวด คือ
๑. หมวดศีล ประกอบด้วย สัมมาวาจา คือ การเจรจาชอบ สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติชอบ สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ
๒. หมวดสมาธิ ประกอบด้วย สัมมาวายามะ คือ การเพียรชอบ สัมมาสติ คือ การตั้งสติชอบ สัมมาสมาธิ คือ การตั้งมั่นชอบ ๓. หมวดปัญญา ประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ คือ การเห็นชอบ และสัมมาสังกัปปะ คือ การคิดชอบ หรือรู้ดำริชอบ ซึ่ง มรรค ๘ ประการ สำหรับแนวทาง ในการใช้ดำเนินชีวิต แบบสั้นๆ ที่ทำให้เราเข้าใจได้ง่าย มีดังนี้
๑.สัมมาทิฏฐิ (การเห็นชอบ) สัมมาทิฏฐิ แห่งมรรค ๘ หมายถึง ความเห็น หรือ การเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง และดีงาม ตามแนวทางแห่งอริยสัจ ๔ อันประกอบด้วย
๑.ทุกข์ คือ สภาวะจิตใจที่เกิดความทุกข์
๒.สมุทัย คือ สิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ อันได้แก่ โทสะ โมหะ และโลภะ
๓.นิโรธ คือ สิ่งที่สามารถดับทุกข์ได้ อันประกอบด้วย ความเข้าใจในสภาพจริง ของธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
๔.มรรค คือ หนทางในการดับทุกข์ ก็คือ มรรค ๘ และองค์ที่ก่อให้เกิด สัมมาทิฏฐิ ๒ อย่าง คือ
๑.ปรโตโฆสะ คือ ความเห็นชอบ ที่มาจากปัจจัยรอบด้าน เช่น คำบอกเล่า ข่าวสาร คำสั่งสอน หรือตำรา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นบ่อเกิดของความรู้ ที่ประกอบขึ้น จากภายนอก ที่เราต้องขวนขวายหา แต่ความรู้เหล่านี้ จำเป็นต้องกรอง หรือต้องรู้จักใช้วิจารณญาณ ให้เกิดความเข้าใจ อย่างท่องแท้เสียก่อน การใช้วิจารณญาณนี้ เรียกทางพุทธธรรมว่า โยนิโสมนสิการ
๒.โยนิโสมนสิการ คือ การรู้จักคิด วิเคราะห์ในเหตุ และผล อันนำมาซึ่งปัญญา คือ การรู้แจ้ง โดยใช้ข้อมูลข่าวสาร หรือแหล่งความรู้ต่างๆ จากปรโตโฆสะ มาประกอบ ส่วน สัมมาทิฏฐิ ๒ ระดับ คือ
๑.โลกิยสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็น หรือ การเข้าใจ ในระดับปุถุชน ที่มีความเห็น หรือเข้าใจ ในสิ่งชั่วดี สอดคล้องกับครรลองคลองธรรม ซึ่งยังมิได้เข้าถึง การรู้แจ้งในระดับพระอริยะ ทำให้ยังเวียนว่าย อยู่ในวัฏสงสาร
๒.โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็น หรือ การเข้าใจ ในระดับพระอริยะ ที่มีความเห็นแจ้ง รู้แจ้งในทุกสรรพสิ่งบนโลก หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง และไม่เวียนว่ายในวัฏสงสาร
๒.สัมมาสังกัปปะ (การดำริชอบ การคิดชอบ) สัมมาสังกัปปะ แห่งมรรค ๘ หมายถึง การรู้จักคิด ในทางที่ถูกที่ควร บนพื้นฐานของศีลธรรมอันดีงาม ที่ปราศจาก การคิดโลภ ในความอยากของตนเอง การคิดพยาบาท อาฆาตแค้น และการคิด ที่จะเบียดเบียนผู้อื่นให้เสียหาย สัมมาสังกัปปะ เป็นธรรมที่พึงเว้น จากมิจฉาสังกัปปะ ๓ ประการ คือ
๑.กามสังกัปปะ คือ การคิดในกาม อันเป็นความอยาก ความต้องการของตน ในทุกด้าน โดยไม่สนใจเรื่องศีลธรรมอันดี จนนำไปสู่ การแสวงหาแนวทาง เพื่อให้บรรลุ ซึ่งความอยากเหล่านั้น
๒.พยาบาทสังกัปปะ คือ การคิดพยาบาท อันประกอบขึ้นด้วยจิต ที่มีความขุ่นเคือง ความเคียดแค้น และความอาฆาตต่อผู้อื่น
๓.วิหิงสาสังกัปปะ คือ การคิดเบียดเบียน อันประกอบขึ้นจาก พยาบาทสังกัปปะ ที่ฝังอยู่ในจิตใจ จนนำไปสู่การคิด เพื่อแสวงหาทาง ที่จะเบียดเบียน หรือทำร้ายผู้อื่น ให้เกิดความเสียหาย เป็นต้น
๓. สัมมาวาจา (การเจรจาชอบ) สัมมาวาจา แห่งมรรค ๘ หมายถึง การพูดจาชอบ ในทางที่ถูกที่งาม อันประกอบด้วย เว้นจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง เว้นจากการพูดส่อเสียด เว้นจากการพูดคำหยาบ และเว้นจากการพูดกลับคำ การประพฤติสัมมาวาจา ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำ ให้พึงเว้นจาก วจีทุจริต ๔ ประการ คือ
๑.มุสาวาทา คือ พึงเว้นจากการพูดคำเท็จ คำหลอกลวง ที่ไม่เป็นจริง ดังปรากฏ เพียงเพื่อหวังประโยชน์แก่ตน และยังให้ผู้อื่นเสียหาย
๒.ปิสุณาวาจา คือ พึงเว้นจากการพูดส่อเสียด เพื่อให้ผู้อื่นเจ็บใจ และการพูดยุแย่ เพื่อให้เกิดความแตกแยก ในหมู่คณะ หรือความแตกร้าวของผู้อื่น
๓.ผรุสวาจา คือ พึงเว้นจากการพูดคำหยาบ อันเป็นคำที่ไม่ระรื่นหู เพียงเพื่อทำให้ผู้อื่นเจ็บใจ หรือพูดเพราะ ความคึกคะนอง
๔.สัมผัปปลาปะ คือ พึงเว้นจากการพูดกลับคำ พูดกลับไปกลับมา จับสาระไม่ได้ เป็นต้นครับ
๔. สัมมากัมมันตะ (การประพฤติชอบ) สัมมากัมมันตะ แห่งมรรค ๘ หมายถึง การประพฤติปฏิบัติ ในทางที่ถูกต้องอันควร สัมมากัมมันตะในทางโลก ครูบาอาจารย์ท่านพึงให้ละเว้น จากกายทุจริต ๓ ประการ คือ
๑.ปาณาติปาตา คือ การละซึ่งการพรากชีวิตสรรพสัตว์ และชีวิตผู้อื่น
๒.อทินนาทานา คือ การละซึ่งการลักทรัพย์ อันเป็นทรัพย์ที่ผู้อื่นเขาไม่ยินยอมให้
๓.กาเมสุมิจฉาจารา คือ การละ ซึ่งการประพฤติผิดในกาม ในหญิงต้องห้าม และชายต้องห้ามทั้งหลาย เป็นต้นครับ
๕.สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ) สัมมาอาชีวะ แห่งมรรค ๘ หมายถึง การประกอบอาชีพ หรือการหาเลี้ยงชีพ ด้วยความสุจริต ด้วยการใช้ปัญญา และความรู้ของตน ในการประกอบอาชีพ บนพื้นฐานของความถูกต้อง ปราศจากการประพฤติ อันผิดต่อศีลธรรมอันงาม ผู้มีสัมมาอาชีวะ ครูบาอาจารย์ ท่านพึงให้เว้น จากมิจฉาอาชีวะ ๕ ประการ คือ
๑.สัตถวณิชชา คือ การประกอบอาชีพ ด้วยการค้าขายอาวุธสงคราม หรือวัตถุที่เกี่ยวข้องกับอาวุธ
๒.สัตตวณิชชา คือ การประกอบอาชีพ ด้วยการค้าขายมนุษย์ การใช้แรงงานผิดกฎหมาย การทารุณกรรม การบริการทางเพศ เป็นต้น
๓.มังสวณิชชา คือ การประกอบอาชีพ ด้วยการค้าขายสัตว์ ค้าขายเนื้อสัตว์ต้องห้าม ที่ผิดต่อหลักกฎหมาย หรือศาสนา
๔.มัชชวณิชชา คือ การประกอบอาชีพ ด้วยการค้าขายน้ำเมา และสารเสพติด
๕.วิสวณิชชา คือ การประกอบอาชีพ ด้วยการค้าขายยา หรือสารสำหรับ การทำพิษต่อคน หรือสัตว์ เป็นต้นครับ
๖.สัมมาวายามะ (การเพียรชอบ) สัมมาวายามะ แห่งมรรค ๘ หมายถึง ความเพียรในการงาน หรือความเพียร ในการประพฤติ ต่อคุณงามความดี อันได้แก่
๑.สังวรปธาน คือ การเพียรป้องกัน มิให้ตนเอง ประพฤติอยู่ในอกุศลกรรม
๒.ปหานปธาน คือ การเพียรละ ซึ่งอกุศลกรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว ให้หมดไปจากตนเอง
๓.ภาวนาปธาน คือ การเพียรสร้างกุศลกรรม อันที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง และผู้อื่น
๔.อนุรักขนาปธาน คือ การเพียรรักษา สิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ยังคงอยู่เป็นนิจ และเพียรส่งเสริมพัฒนาให้สิ่งนั้น เกิดยิ่งๆ ขึ้นไป
๗.สัมมาสติ (การตั้งสติชอบ) สัมมาสติ แห่งมรรค ๘ หมายถึง การตั้งสติได้ การระลึกได้ ไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลื่อนลอย สามารถระวังตัว มิให้ประพฤติตน หลงเข้าไปในวังวน ของกิเลสทั้งหลาย อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ รวมถึงการตื่นตัว ในหน้าที่ การสำนึก ในหน้าที่อยู่เสมอ ลักษณะของการมีสติ
๑. ระลึกได้ว่า สิ่งที่จะกระทำ หรือกำลังกระทำ มีประโยชน์หรือไม่ เป็นเรื่องดี หรือเรื่องชั่ว
๒. ระลึกได้ว่า สิ่งที่จะกระทำ หรือกำลังกระทำ เหมาะกับตน หรือไม่
๓. ระลึกได้ว่า สิ่งที่จะกระทำ หรือกำลังกระทำ มีผลดี หรือร้าย
๔. ระลึกได้ว่า สิ่งที่จะกระทำ หรือกำลังกระทำ เป็นเรื่องงมงาย หรือไม่
๕. ระลึกได้ว่า สิ่งที่จะกระทำ หรือกำลังกระทำ มีโอกาสสำเร็จ หรือไม่
๘.สัมมาสมาธิ (การตั้งมั่นชอบ) สัมมาสมาธิ แห่งมรรค ๘ หมายถึง การตั้งมั่นในจิต การมีจิตแน่วแน่ ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คือ มีจิตเป็นหนึ่งรวมกับสิ่งใดๆ แบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ
๑.ขณิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะ เป็นสมาธิที่เกิดขณะ ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในการดำเนินชีวิต เช่น การทำงาน การท่องหนังสือ เป็นต้น
๒.อุปจารสมาธิ คือ สมาธิจวนจะแน่วแน่ เป็นสมาธิ ที่เกิดจากการกำหนดจิต ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในชั่วขณะ ที่ไม่ได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนถึงการมีจิตรวมเป็นหนึ่ง กับสิ่งนั้น เช่น การกำหนดจิต ต่อลมหายใจเข้าออก ได้ชั่วครู่ชั่วขณะ เพราะเกิดจิตเลื่อนลอย ไปนึกถึงสิ่งอื่น
๓.อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิที่แน่วแน่เป็นหนึ่ง เป็นสมาธิ ที่เกิดจากการกำหนด จิตต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนสามารถกำหนดจิตแน่วแน่ รวมเป็นหนึ่งกับสิ่งนั้นได้ เช่น จิตรับรู้ และแน่วแน่ ต่อลมหายใจเข้าออก เป็นต้น
สรุปแล้ว มรรค ๘ คือ ธรรมอันเป็นแนวทางแห่งการดับทุกข์ ๘ ประการ คือ
๑. สัมมาทิฏฐิ คือ การเห็นชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ สมุทัย และนิโรธ แห่งอริยสัจ ๔
๒. สัมมาสังกัปปะ คือ การคิดชอบ หรือรู้ดำริชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ เว้นจากมิจฉาสังกัปปะ ๓
๓. สัมมาวาจา คือ การเจรจาชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ เว้นจากวจีทุจริต ๔
๔. สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ เว้นจากกายทุจริต ๓
๕. สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ วิริยะ
๖. สัมมาวายามะ คือ การเพียรชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ ปธาน ๔
7. สัมมาสติ คือ การตั้งสติชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ สติสัมปชัญญะ
๘. สัมมาสมาธิ คือ การตั้งมั่นชอบ ใช้ธรรมพื้นฐาน คือ ฌาน ๔
ทั้งหมดนี้คือความจริงแห่งพระอริยะ แบบสั้นๆ พอที่จะทำให้เราเข้าใจได้ง่าย สำหรับการดับทุกข์ เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ท้ายนี้ ก็ขอให้ทุกท่าน หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง และดับทุกข์ได้ครับ ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น