คนที่มีนิสัย ชอบอิจฉาริษยาผู้อื่น เกิดจากอะไร
สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้มีคติธรรมและข้อคิด
เรื่องของคน ที่มีนิสัยอิจฉา ริษยาผู้อื่น ว่าเกิดจากอะไร
และมีทางแก้ไขอย่างไร มาฝากครับ
หลายๆ ท่าน คงจะเคยเห็น คนที่ชอบอิจฉาริษยาคนอื่น อย่างเช่น เขาหน้าตาดีกว่า เรียนเก่งกว่า ทำงานเก่งกว่า หรือเป็นคนที่น่าสนใจกว่า เป็นต้น อิจฉาริษยา จนกระทั่ง ตัวเองรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วก็ดูถูกตัวเอง ที่มีคนอื่นเด่นกว่า ดังกว่า และมากไปกว่านั้น นำมาสู่ความอิจฉาริษยา จนอยากให้คนอื่นได้แย่กว่าตนเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ทั้งๆ ที่คนอื่น หรือพวกเขาเหล่านั้น ก็ไม่ได้ทำผิดอะไร คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิดของครูบาอาจารย์ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิด ให้กับทุกท่าน ในการดำเนินชีวิต เรามาดูกันครับว่า คนที่มีนิสัยอิจฉาริษยาคนอื่น เกิดจากอะไร และมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง
ครูบาอาจารย์ท่านได้ให้ข้อคิดเตือนสติว่า เราต้องดู ให้ถึงต้นตอ นิสัยของคน ที่ชอบอิจฉาตาร้อนเสียก่อน ที่เขาไม่อยากให้ใคร ได้ดีเกินกว่าตัวเองนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งนิสัยอิจฉาริษยานี้ จะเกิดขึ้น กับคนที่มีความดีในตัวเอง น้อยกว่าคนอื่น เพราะถ้าหากเขามีคุณงามความดี อยู่ในตัวเองมากกว่าคนอื่น เขาคงไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องไปอิจฉาตาร้อนใคร ที่เขามีนิสัยอิจฉาริษยาคนอื่น ก็เนื่องมาจาก เขามีคุณงามความดี มีความรู้ มีความสามารถ น้อยกว่าหรือด้อยกว่าคนอื่น แล้วก็อยากจะได้ดีเท่ากับเขา หรืออยากจะได้ดีมากกว่าเขา ซึ่งแทนที่ จะคิดแก้ไขตัวเอง ก็กลับไปคิดในทางที่ผิดๆ ในทางที่ร้ายๆ คือ แทนที่จะยกตัวเองขึ้นมา ด้วยการกระทำความดี ให้ดียิ่งขึ้นไป กลับกลายเป็นว่า ความดีก็ไม่คิดทำ แถมยังจะคิดเหยียบคนอื่น ลงไปด้วยฤทธิ์ แห่งความเข้าใจผิด จนกลายเป็นความอิจฉาริษยา ไม่อยากให้ใคร ได้ดีไปกว่าตนเอง
เมื่อเรารู้แล้วว่า ต้นเหตุแห่งความอิจฉาริษยาคนอื่นนั้น มาจากความที่ตัวเอง มีคุณงามความดีน้อย จึงสะท้อนให้เห็นว่า ถ้าอย่างนั้น ในใจของคนที่ชอบอิจฉาริษยา ก็คงจะมีแต่ความเศร้าหมอง ไม่มีความคิดที่จะสร้างสรรค์ อะไรแบบใครเขา คิดออกแต่ในเรื่อง ที่จะทำลาย และทำร้ายคนอื่น เช่น คิดจะทำลายทรัพย์สินเงินทองของคนอื่น คิดจะทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของคนอื่น คิดจะทำร้ายคนอื่น ให้เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ คิดวนเวียน มีแต่ความอิจฉาริษยาคนอื่น อยู่อย่างนี้ ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้น คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาริษยาคนอื่น จึงเป็นคนที่ ใจเศร้าหมองทั้งวัน เมื่อมีใจเศร้าหมองอย่างนี้ แม้แต่คำพูด ก็เป็นคำพูด ที่ชวนให้เศร้าหมอง คือ มีแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องไม่ดีออกจากปาก ไม่มีคำพูดที่เป็นภาษาดอกไม้ มีแต่พ่นพิษออกมาใส่คนอื่น เมื่อเป็นแบบนี้หนักๆ เข้า ก็จะเลยไป จนกระทั่ง ถึงการกระทำทางร่างกาย ทำให้เขาแสดงอาการร้ายๆ ออกมา ตั้งแต่การกระทบ กระแทกแดกดัน ทำอะไรโครมคราม หรือมีอาการ หน้านิ่วคิ้วขมวดใส่คนอื่น เป็นต้น คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาริษยาผู้อื่น หรือคนที่มีบุญน้อย แล้วไม่คิดจะทำบุญเพิ่มเติม คิดแต่จะกลับไปทำร้ายคนอื่น เขาจึงมีอาการเช่นนี้ และเมื่อความดีเก่าที่มีอยู่น้อยนิด จนทำให้สู้ใครเขาไม่ได้ แล้วความดีใหม่ ก็ไม่คิดจะสร้างเพิ่มเติม แล้วตรงกันข้าม ก็มีแต่จะเพิ่มความร้ายกาจ สร้างบาปสร้างกรรม หนักเข้าไปทุกวัน ก็เท่ากับว่า เป็นการเผาผลาญ เป็นการทำลายล้างตัวเอง นี่ก็คือ ผลเสียต่อตัวเอง ที่เป็นคนขี้อิจฉาริษยาคนอื่น
ฉะนั้น ถ้าหากครั้งใด ที่ใจเรา เริ่มคิดที่จะอิจฉาริษยาชาวบ้าน ที่เขาดังกว่าเรา เขาเด่นกว่าเรา เขาดีกว่าเรา ขึ้นมา เราก็รีบเตือนตัวเองว่า ที่เรายังตกต่ำอยู่อย่างนี้ เพราะว่าชาติที่แล้ว รวมทั้งชาตินี้ด้วย เราสั่งสม คุณงามความดีมาน้อย เมื่อเราเตือนตัวเองได้อย่างนี้ หนทางที่เราจะแก้ไขให้ดี ก็จะมีมากขึ้น เมื่อเรามีบุญน้อย ก็ต้องหาวิธีเติมบุญ อย่างเช่น ในเรื่องของการทำงาน เมื่อเราได้รับมอบหมายมา นอกจากเรา จะทำให้สุดฝีมือแล้ว เราก็ยังต้องปรับปรุง ให้งานนั้นดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกด้วย แต่หากในกรณี ถึงเราจะปรับปรุงอย่างไร เราก็ยังสู้เขาไม่ได้ หากเจอแบบนี้ เราก็ต้องรีบ เข้าไปขอความรู้จากเขา ซึ่งจะทำให้เราย่นระยะเวลา ทั้งในการปรับปรุงฝีมือ และเวลาที่ไม่ต้องไป ตกอยู่ในนรกอีกด้วย หากเรามีเวลา ก็หันหน้าเข้าหาวัด ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรม ให้ดียิ่งขึ้นไป และหากก่อนหน้านี้ เราไม่เคยทำบุญ ทำทาน ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยนั่งสมาธิเลย ต่อแต่นี้ ก็จงรีบไปทำ ด้วยการศึกษาจากหลวงปู่ หลวงพ่อ หรือครูบาอาจารย์ ว่าทำสิ่งเหล่านี้ แล้วดีอย่างไร เช่น การทำทาน มีผลทำให้รวย การรักษาศีล มีผลทำให้สวย การเจริญสมาธิภาวนา มีผลทำให้เฉลียวฉลาด มีสติปัญญา เป็นต้น เมื่อเราเข้าใจหลักตรงนี้ได้ ถ้าอยากจะเพิ่มเติมความรู้ ให้ดียิ่งขึ้นไป ก็ค่อยๆ ศึกษาจากครูบาอาจารย์ ที่ท่านมีความรู้ และมีความเข้าใจในธรรมะ เพิ่มเติม
นอกจากนี้ ครูบาอาจารย์ท่านได้เตือนสติไว้ว่า หากว่าเรา มีอะไรที่พร้อมแล้ว มากพอแล้ว แต่เรา ก็ยังไปรู้สึกอิจฉาริษยา คนอื่นอีก ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่า เราไม่มีบริวาร เวลาจะไปไหนมาไหน ทั้งๆ ที่รวย ก็แสนรวย หน้าตาสวยหล่อ ก็แสนจะสวยหล่อ แต่กลับว่า ใครๆ ก็ไม่รัก แล้วแทนที่เราจะคิด หรือถามว่า ทำไมใครๆ ถึงไม่รักเรา แต่เรากลับไปโกรธ ไปเคืองคนอื่นเขา หรือไปอิจฉาริษยาคนอื่น ที่เขามีคนรัก เต็มบ้านเต็มเมือง ซึ่งเราต้องมอง และตั้งคำถามให้กับตัวเองให้เป็น แทนที่จะตั้งคำถามว่าทำไม เขาจึงไม่รักเรา จงตั้งคำถามเสียใหม่ว่า เราไม่น่ารักตรงไหน เรามีข้อบกพร่องอะไร หรือเราไม่ดีตรงไหน แล้วเริ่มสำรวจตรวจสอบตัวเองดู ถ้าหากว่า เราไม่เจอจริงๆ หรือไม่รู้จริงๆ ครูบาอาจารย์ท่านได้ให้ข้อคิดเตือนสติ เกี่ยวกับวิชาเจ้าเสน่ห์ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ มีอยู่ด้วยกัน ๔ ข้อ ซึ่งมีดังต่อไปนี้
๑. หมั่นให้ทาน คำว่า "ทาน" ในที่นี้ นอกจากการตักบาตรกับพระภิกษุสามเณรแล้ว ทานในที่นี้ ยังหมายถึง มีอะไร ก็ปันกันกิน ปันกันใช้ รวมทั้งปันกันดังด้วย
๒. ปิยวาจา เวลาพูดจากับใคร ก็พูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ เพราะสิ่งที่จะให้กำลังใจคนได้ดีที่สุดนั้น ไม่มีอะไรเกินคำพูดที่เพราะๆ และในทำนองเดียวกัน สิ่งที่จะบั่นทอนกำลังใจคน ก็ไม่มีอะไรเกินคำพูด ที่ระคายหูเช่นกัน
๓. อัตถจริยา คือ ความรู้ความสามารถ ที่เรามีอยู่ ถ้าเราสามารถ เอาไปช่วยใครได้ ก็จงช่วยกันไป อย่าไปหวงวิชาเลย
๔. สมานัตตตา คือ ไม่ว่าจะคบกับใคร ก็จงมีแต่ความจริงใจให้เขา ไม่แทงข้างหลังใคร ไม่ว่าร้ายลับหลังใคร จงมีแต่ความจริงใจ มีแต่ความปลอดภัยให้คนอื่นเสมอ
ทั้ง ๔ ประการนี้ จะเป็นที่มาแห่งเสน่ห์ของเรา พูดง่ายๆ ก็คือ โปรยเสน่ห์ด้วยการให้ ให้ทั้งสิ่งของ ทั้งคำพูด ทั้งกำลังอกกำลังใจ ให้ทั้งความปลอดภัยแก่เขา หากทำอย่างนี้ได้แล้ว เวลาไปไหนมาไหน ก็จะมีแต่คนอื่น ตามอิจฉาริษยา เมื่อถึงตอนนั้น ก็จงช่วยสอนคนอื่น ที่กำลังอิจฉาริษยาเรา ให้รู้ว่า เมื่อก่อนเราเองนั้น ก็เคยเป็นอย่างเขาเหมือนกัน แล้วก็จงบอกเขาไปด้วย ว่าต้องแก้ ต้องทำอย่างไร เพื่อจะได้เป็นบุญเป็นกุศล ติดตัวเรา ต่อไป ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
หลายๆ ท่าน คงจะเคยเห็น คนที่ชอบอิจฉาริษยาคนอื่น อย่างเช่น เขาหน้าตาดีกว่า เรียนเก่งกว่า ทำงานเก่งกว่า หรือเป็นคนที่น่าสนใจกว่า เป็นต้น อิจฉาริษยา จนกระทั่ง ตัวเองรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วก็ดูถูกตัวเอง ที่มีคนอื่นเด่นกว่า ดังกว่า และมากไปกว่านั้น นำมาสู่ความอิจฉาริษยา จนอยากให้คนอื่นได้แย่กว่าตนเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ทั้งๆ ที่คนอื่น หรือพวกเขาเหล่านั้น ก็ไม่ได้ทำผิดอะไร คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิดของครูบาอาจารย์ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิด ให้กับทุกท่าน ในการดำเนินชีวิต เรามาดูกันครับว่า คนที่มีนิสัยอิจฉาริษยาคนอื่น เกิดจากอะไร และมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง
ครูบาอาจารย์ท่านได้ให้ข้อคิดเตือนสติว่า เราต้องดู ให้ถึงต้นตอ นิสัยของคน ที่ชอบอิจฉาตาร้อนเสียก่อน ที่เขาไม่อยากให้ใคร ได้ดีเกินกว่าตัวเองนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งนิสัยอิจฉาริษยานี้ จะเกิดขึ้น กับคนที่มีความดีในตัวเอง น้อยกว่าคนอื่น เพราะถ้าหากเขามีคุณงามความดี อยู่ในตัวเองมากกว่าคนอื่น เขาคงไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องไปอิจฉาตาร้อนใคร ที่เขามีนิสัยอิจฉาริษยาคนอื่น ก็เนื่องมาจาก เขามีคุณงามความดี มีความรู้ มีความสามารถ น้อยกว่าหรือด้อยกว่าคนอื่น แล้วก็อยากจะได้ดีเท่ากับเขา หรืออยากจะได้ดีมากกว่าเขา ซึ่งแทนที่ จะคิดแก้ไขตัวเอง ก็กลับไปคิดในทางที่ผิดๆ ในทางที่ร้ายๆ คือ แทนที่จะยกตัวเองขึ้นมา ด้วยการกระทำความดี ให้ดียิ่งขึ้นไป กลับกลายเป็นว่า ความดีก็ไม่คิดทำ แถมยังจะคิดเหยียบคนอื่น ลงไปด้วยฤทธิ์ แห่งความเข้าใจผิด จนกลายเป็นความอิจฉาริษยา ไม่อยากให้ใคร ได้ดีไปกว่าตนเอง
เมื่อเรารู้แล้วว่า ต้นเหตุแห่งความอิจฉาริษยาคนอื่นนั้น มาจากความที่ตัวเอง มีคุณงามความดีน้อย จึงสะท้อนให้เห็นว่า ถ้าอย่างนั้น ในใจของคนที่ชอบอิจฉาริษยา ก็คงจะมีแต่ความเศร้าหมอง ไม่มีความคิดที่จะสร้างสรรค์ อะไรแบบใครเขา คิดออกแต่ในเรื่อง ที่จะทำลาย และทำร้ายคนอื่น เช่น คิดจะทำลายทรัพย์สินเงินทองของคนอื่น คิดจะทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของคนอื่น คิดจะทำร้ายคนอื่น ให้เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ คิดวนเวียน มีแต่ความอิจฉาริษยาคนอื่น อยู่อย่างนี้ ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้น คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาริษยาคนอื่น จึงเป็นคนที่ ใจเศร้าหมองทั้งวัน เมื่อมีใจเศร้าหมองอย่างนี้ แม้แต่คำพูด ก็เป็นคำพูด ที่ชวนให้เศร้าหมอง คือ มีแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องไม่ดีออกจากปาก ไม่มีคำพูดที่เป็นภาษาดอกไม้ มีแต่พ่นพิษออกมาใส่คนอื่น เมื่อเป็นแบบนี้หนักๆ เข้า ก็จะเลยไป จนกระทั่ง ถึงการกระทำทางร่างกาย ทำให้เขาแสดงอาการร้ายๆ ออกมา ตั้งแต่การกระทบ กระแทกแดกดัน ทำอะไรโครมคราม หรือมีอาการ หน้านิ่วคิ้วขมวดใส่คนอื่น เป็นต้น คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาริษยาผู้อื่น หรือคนที่มีบุญน้อย แล้วไม่คิดจะทำบุญเพิ่มเติม คิดแต่จะกลับไปทำร้ายคนอื่น เขาจึงมีอาการเช่นนี้ และเมื่อความดีเก่าที่มีอยู่น้อยนิด จนทำให้สู้ใครเขาไม่ได้ แล้วความดีใหม่ ก็ไม่คิดจะสร้างเพิ่มเติม แล้วตรงกันข้าม ก็มีแต่จะเพิ่มความร้ายกาจ สร้างบาปสร้างกรรม หนักเข้าไปทุกวัน ก็เท่ากับว่า เป็นการเผาผลาญ เป็นการทำลายล้างตัวเอง นี่ก็คือ ผลเสียต่อตัวเอง ที่เป็นคนขี้อิจฉาริษยาคนอื่น
ฉะนั้น ถ้าหากครั้งใด ที่ใจเรา เริ่มคิดที่จะอิจฉาริษยาชาวบ้าน ที่เขาดังกว่าเรา เขาเด่นกว่าเรา เขาดีกว่าเรา ขึ้นมา เราก็รีบเตือนตัวเองว่า ที่เรายังตกต่ำอยู่อย่างนี้ เพราะว่าชาติที่แล้ว รวมทั้งชาตินี้ด้วย เราสั่งสม คุณงามความดีมาน้อย เมื่อเราเตือนตัวเองได้อย่างนี้ หนทางที่เราจะแก้ไขให้ดี ก็จะมีมากขึ้น เมื่อเรามีบุญน้อย ก็ต้องหาวิธีเติมบุญ อย่างเช่น ในเรื่องของการทำงาน เมื่อเราได้รับมอบหมายมา นอกจากเรา จะทำให้สุดฝีมือแล้ว เราก็ยังต้องปรับปรุง ให้งานนั้นดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกด้วย แต่หากในกรณี ถึงเราจะปรับปรุงอย่างไร เราก็ยังสู้เขาไม่ได้ หากเจอแบบนี้ เราก็ต้องรีบ เข้าไปขอความรู้จากเขา ซึ่งจะทำให้เราย่นระยะเวลา ทั้งในการปรับปรุงฝีมือ และเวลาที่ไม่ต้องไป ตกอยู่ในนรกอีกด้วย หากเรามีเวลา ก็หันหน้าเข้าหาวัด ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรม ให้ดียิ่งขึ้นไป และหากก่อนหน้านี้ เราไม่เคยทำบุญ ทำทาน ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยนั่งสมาธิเลย ต่อแต่นี้ ก็จงรีบไปทำ ด้วยการศึกษาจากหลวงปู่ หลวงพ่อ หรือครูบาอาจารย์ ว่าทำสิ่งเหล่านี้ แล้วดีอย่างไร เช่น การทำทาน มีผลทำให้รวย การรักษาศีล มีผลทำให้สวย การเจริญสมาธิภาวนา มีผลทำให้เฉลียวฉลาด มีสติปัญญา เป็นต้น เมื่อเราเข้าใจหลักตรงนี้ได้ ถ้าอยากจะเพิ่มเติมความรู้ ให้ดียิ่งขึ้นไป ก็ค่อยๆ ศึกษาจากครูบาอาจารย์ ที่ท่านมีความรู้ และมีความเข้าใจในธรรมะ เพิ่มเติม
นอกจากนี้ ครูบาอาจารย์ท่านได้เตือนสติไว้ว่า หากว่าเรา มีอะไรที่พร้อมแล้ว มากพอแล้ว แต่เรา ก็ยังไปรู้สึกอิจฉาริษยา คนอื่นอีก ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่า เราไม่มีบริวาร เวลาจะไปไหนมาไหน ทั้งๆ ที่รวย ก็แสนรวย หน้าตาสวยหล่อ ก็แสนจะสวยหล่อ แต่กลับว่า ใครๆ ก็ไม่รัก แล้วแทนที่เราจะคิด หรือถามว่า ทำไมใครๆ ถึงไม่รักเรา แต่เรากลับไปโกรธ ไปเคืองคนอื่นเขา หรือไปอิจฉาริษยาคนอื่น ที่เขามีคนรัก เต็มบ้านเต็มเมือง ซึ่งเราต้องมอง และตั้งคำถามให้กับตัวเองให้เป็น แทนที่จะตั้งคำถามว่าทำไม เขาจึงไม่รักเรา จงตั้งคำถามเสียใหม่ว่า เราไม่น่ารักตรงไหน เรามีข้อบกพร่องอะไร หรือเราไม่ดีตรงไหน แล้วเริ่มสำรวจตรวจสอบตัวเองดู ถ้าหากว่า เราไม่เจอจริงๆ หรือไม่รู้จริงๆ ครูบาอาจารย์ท่านได้ให้ข้อคิดเตือนสติ เกี่ยวกับวิชาเจ้าเสน่ห์ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ มีอยู่ด้วยกัน ๔ ข้อ ซึ่งมีดังต่อไปนี้
๑. หมั่นให้ทาน คำว่า "ทาน" ในที่นี้ นอกจากการตักบาตรกับพระภิกษุสามเณรแล้ว ทานในที่นี้ ยังหมายถึง มีอะไร ก็ปันกันกิน ปันกันใช้ รวมทั้งปันกันดังด้วย
๒. ปิยวาจา เวลาพูดจากับใคร ก็พูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ เพราะสิ่งที่จะให้กำลังใจคนได้ดีที่สุดนั้น ไม่มีอะไรเกินคำพูดที่เพราะๆ และในทำนองเดียวกัน สิ่งที่จะบั่นทอนกำลังใจคน ก็ไม่มีอะไรเกินคำพูด ที่ระคายหูเช่นกัน
๓. อัตถจริยา คือ ความรู้ความสามารถ ที่เรามีอยู่ ถ้าเราสามารถ เอาไปช่วยใครได้ ก็จงช่วยกันไป อย่าไปหวงวิชาเลย
๔. สมานัตตตา คือ ไม่ว่าจะคบกับใคร ก็จงมีแต่ความจริงใจให้เขา ไม่แทงข้างหลังใคร ไม่ว่าร้ายลับหลังใคร จงมีแต่ความจริงใจ มีแต่ความปลอดภัยให้คนอื่นเสมอ
ทั้ง ๔ ประการนี้ จะเป็นที่มาแห่งเสน่ห์ของเรา พูดง่ายๆ ก็คือ โปรยเสน่ห์ด้วยการให้ ให้ทั้งสิ่งของ ทั้งคำพูด ทั้งกำลังอกกำลังใจ ให้ทั้งความปลอดภัยแก่เขา หากทำอย่างนี้ได้แล้ว เวลาไปไหนมาไหน ก็จะมีแต่คนอื่น ตามอิจฉาริษยา เมื่อถึงตอนนั้น ก็จงช่วยสอนคนอื่น ที่กำลังอิจฉาริษยาเรา ให้รู้ว่า เมื่อก่อนเราเองนั้น ก็เคยเป็นอย่างเขาเหมือนกัน แล้วก็จงบอกเขาไปด้วย ว่าต้องแก้ ต้องทำอย่างไร เพื่อจะได้เป็นบุญเป็นกุศล ติดตัวเรา ต่อไป ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น