ทำดีกับคนอื่น แต่ทำไมชีวิตไม่ได้ดี กรรมเกิดจากอะไร
สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมีคติธรรมและข้อคิด
เรื่องของการทำดีกับคนอื่น แต่ทำไมชีวิตกลับไม่ได้ดี
กรรมเกิดจากอะไร มาฝาก ครับ
หลายๆ ท่าน ในตอนนี้ อาจจะรู้สึกหมดหวัง และไม่มีกำลังใจ ในการทำความดี เพราะเมื่อทำแต่สิ่งที่ดีแล้ว ตัวเองกลับไม่เคยได้ดีเลย แต่คนที่ทำ ในเรื่องไม่ดี เขากลับได้ดี มีความรู้สึกว่า ตัวเองนั้นโง่มาตลอด ที่เลือกทำแต่ความดี จนไม่มีกำลังใจ ที่จะทำความดีต่อไป คลิบนี้ ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิดของครูบาอาจารย์ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์และเป็นข้อคิด ให้กับทุกท่าน ที่หมดกำลังในการสร้างความดี เพราะเรื่องของกฎแห่งกรรมนั้น เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก เปรียบเสมือนหนึ่งธรรมชาติ ของการเติบโต ของผลไม้ตามฤดูกาล กรรมที่เราสร้างในอดีตภพ ย่อมนำมาสู่เรา ในปัจจุบันภพ ฉันใดก็ฉันนั้น
กรรมที่เรา ได้ทำไปแล้ว แต่เราลืมไปเพราะอะไร ที่เราลืมไป ก็เพราะเราไปยึดว่า ทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี เพราะเรา ไม่โปร่งในขั้นสมุฏฐาน ของเหตุและปัจจัย ถ้าเรา หว่านพืชชนิดใดลงดิน พืชชนิดนั้น ก็จะขึ้นตามเหล่ากอของพืชพันธุ์นั้น และกรรมใด ที่เราสร้างมา ในภพที่เราลืมไปแล้ว แต่กรรมนั้น ก็ยังตามเสวย ตามภพชาติต่างๆ อยู่ ยกตัวอย่าง แบบเข้าใจง่ายๆ เช่น สมมติว่า เมื่อสองปีก่อน เราได้ไปทำไม่ดีกับคนอื่น แต่หลังจากนั้น เราก็หนีไปอยู่อีกที่หนึ่ง ซึ่งเปรียบเหมือนกับเรา เคยไปทำไม่ดีกับคนอื่น ในภพชาติที่แล้ว ก่อนที่เราจะมาเกิดใหม่ในภพนี้ เรียกว่า เราเกิดภพนี้ ทั้งที่เป็นคนเดิม คือ จิตวิญญาณเดิม จากภพก่อน แต่มาเกิดใหม่อยู่ในภพนี้ หรือหนีมาอาศัยอยู่ในเมืองนี้ เป็นต้น
กรรมที่ไม่ดี ที่ตามมาทันเรา ในตอนที่เรากำลังทำดีนั้น ทำให้เราคิดว่า ทำไมทำดีแล้ว จึงไม่ได้ดี กลับพบเจอ และได้รับแต่สิ่งที่ไม่ดี เราอาจจะลืมกรรม ที่เราทำไว้ในภพชาติก่อนแล้ว เพราะมันผ่านมานานแล้ว ข้ามภพข้ามชาติ มาจนจำไม่ได้ว่า เราทำกรรมไม่ดีอะไรไปบ้าง จึงทำให้คิดว่าภพนี้ ชาตินี้ทำแต่ความดี แล้วทำไมไม่ได้ดีสักที ซึ่ง ก้คล้ายกันกับ คนที่ทำชั่ว หรือทำไม่ดีในปัจจุบัน แต่เขากลับได้ดิบได้ดี ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะภพชาติก่อน เขาเคยทำดีเอาไว้มาก แล้วกรรมดีที่เราเห็น ตามมาทัน และส่งผล จนทำให้เขาได้ดิบได้ดี แม้ในขณะปัจจุบัน ที่เขากำลังทำกรรมไม่ดีอยู่ก็ตาม ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะเป็นกรรมคนละส่วน กับกรรมเก่า ที่เขาทำดีในภพชาติก่อน ส่วนกรรมใหม่ ที่เขาทำไม่ดีในขณะนี้ ยังไม่ได้ส่งผล ก็ต้องรอให้ผลในกาลต่อไป เปรียบเหมือนกับเรา เพิ่งปลูกข้าวดำนาเสร็จ จะให้กล้าในนา มันออกดอก ออกรวงข้าว ในวันนี้ หรือพรุ่งนี้เลย ย่อมเป็นไปไม่ได้ เราจะต้องรอเดือน รอเวลา จนกว่าต้นกล้าจะครบกำหนด ที่มันจะออกรวง ให้ผลิตผลเป็นเมล็ดข้าว จึงจะเก็บเกี่ยวได้ ฉันใดก็ฉันนั้น กฎแห่งกรรม ก็เช่นเดียวกัน กับกฎธรรมชาติ
การปลูกพืช ปลูกต้นไม้ชนิดต่างกัน ก็ย่อม จะต้องรอการ ออกดอกออกผล เป็นเวลาไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นไปตามพันธุกรรม ของพืชแต่ละชนิด ซึ่งจะใช้เวลาไม่เท่ากัน นานเป็นเดือน หรือนานเป็นปี จึงจะให้ผล เช่น ปลูกพริก ย่อมให้ผลิตผล เร็วกว่าปลูกมะม่วง ปลูกข้าว ย่อมให้ผลเร็ว กว่าปลูกมะพร้าว เป็นต้น ซึ่งเช่นเดียวกันกับ ผลของกรรมแต่ละชนิด กรรมหนัก กรรมเบา มีเจตนา หรือไม่เจตนา เป็นต้น จึงให้ผลกรรมหนักเบา ต่างกัน ต่างเวลา ตามเหตุปัจจัย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งละเอียด กฎแห่งกรรม ก็คือกฎแห่งธรรมชาติ ย่อมทรงไว้ ซึ่งความยุติธรรม เราสร้างกรรมดีไว้ ในปัจจุบันนี้ กรรมนั้น อาจจะให้เรา เสวยผลในอีกภพหนึ่ง ก็เป็นได้ เพราะว่ามันเป็นกงล้อ แห่งกงกรรมกงเกวียน ที่จะแยกแยะออกมา ชาติไหน ชาติอะไร ชาติโน้น ชาตินี้ เป็นสิ่งยาก เพราะว่ามนุษย์เรานั้น แต่ละคนที่เกิดมา ในชาติปัจจุบันนี้ เกิดมาเป็นร้อยๆ พันๆ ภพชาติ เป็นกงกรรมกงเวียน ที่ทับถม ทั้งดีและชั่ว โดยตัวเราเอง ก็แยกแยะไม่ออก อย่างเช่น เราคิดตั้งแต่เช้า จนถึงเย็น พอตกตอนเย็น เรามานั่งทบทวน เราก็แยกแยะ ทบทวนไม่ค่อยออกว่า เวลาไหนเรามีอกุศลอารมณ์ เวลาไหนเรามีเมตตาจิต เพราะว่าการเคลื่อนไหว แห่งจิตวิญญาณนี้ เร็วยิ่งกว่า อณูปรมาณูทั้งหลาย เร็วยิ่งกว่าปรอท เพราะฉะนั้น จึงแยกได้ว่า เราสร้างกรรมใดไว้ เราย่อม จะต้องเสวยกรรมนั้น ในภพชาติอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น อย่าพึ่งรู้สึกหมดหวัง เพราะคิดว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่คนที่เขาทำไม่ดี กลับได้ดี และรู้สึกเหมือนตัวเองโง่มาตลอด ที่เลือกทำแต่ความดี อย่าได้หมดกำลังใจ เพราะการที่เราละชั่ว แล้วทำดี ก็ได้ชื่อว่า เราปฏิบัติตาม คำสอนของพระพุทธเจ้า ผลย่อมต้องปรากฏ เป็นความดีอย่างแน่นอน ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ต้องเป็นความจริงอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น พอเราทำดี เรามักจะหวังว่า ผลแห่งความดี ที่เราทำ ควรจะส่งผลให้เรา เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เวลานั้นเวลานี้ นั่นเป็นเพราะเรา คาดเดาไปเอง ครั้นพอความดี มิได้ส่งผล ให้อย่างที่เราคาดหวัง ก็มัก จะน้อยเนื้อต่ำใจ เพ่งโทษตัวเองว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี ซึ่งเป็นเรา ที่คิดผิดไปเอง ไม่ใช่ความจริง ความจริง ก็คือ เมื่อเราทำดีเวลาใด ความดีที่เราทำ ก็ส่งผลดี แก่เราทันที คือ จิตใจของเราจะมีความสุขสบาย ชุ่มเย็น เพราะอำนาจแห่งการทำดีของเรา เมื่อนึกถึงความดี ที่เราทำขึ้นมาคราใด จิตใจ ก็จะอิ่มเอิบ ด้วยปีติยินดี นี่ก็เป็นผล ที่เกิดขึ้นที่ใจ โดยที่เราไม่รู้ตัว ส่วนผล อันจะเกิดขึ้นที่กาย เป็นวัตถุสมบัติ ข้าวของ เงินทองนั้น มันขึ้นอยู่กับเหตุ คือ ความดีของเรา มีกำลังมากพอ ที่จะส่งผลอย่างใด อย่างหนึ่ง ได้แล้วหรือไม่ แม้ความดี จะยังไม่ส่งผล ทางวัตถุอย่างใดก็ตาม แต่ความดี ก็ไม่สูญหายไปไหน คงเก็บสั่งสมไว้ตลอดเวลา เมื่อถึงกาลอันควร จะให้ผลอย่างไร ต้องให้ผลทันที ตามกำลังแห่งความดี ที่เราได้เคยทำไว้อย่างแน่นอน
เรื่องของกรรมนั้น มีความลึกลับซับซ้อน เพราะกรรม มีจำแนกออกไปอย่างมากมาย กรรมอาจจะให้ผลในชาตินี้ หรืออาจจะให้ผลในชาติหน้า ให้ผลก่อน ให้ผลหลัง หรือให้ผลทันที ขึ้นอยู่กับกำลังของกรรมที่เราทำ เพราะฉะนั้น จงเชื่อมั่นอย่าได้คลอนแคลน ทำดี ก็ต้องได้รับผลดีอย่างแน่นอน ไม่เป็นอื่น คนทำชั่ว ก็ต้องได้รับผลชั่วเช่นเดียวกัน จงอย่าได้ไปอิจฉาเขา ที่เขาทำชั่วแล้ว อาจจะดูเหมือนได้ดี เพราะดีอย่างนั้น ไม่ดีจริง มันมีโทษแอบแฝงอยู่ เมื่อผลแห่งความชั่วปรากฏ เขาก็ต้องได้รับทุกข์ทรมาน อย่างแสนสาหัส เขาอาจจะเคยทำดีมาบ้าง และผลแห่งกรรมดีของเขา เผอิญมาให้ผล ในขณะที่เขากำลังทำชั่วอยู่ มิใช่เขาได้ดี เพราะเหตุแห่งการทำชั่ว หาเป็นเช่นนั้นไม่ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ตราบใดที่กรรมชั่ว ยังไม่ให้ผล คนชั่ว ย่อมสนุกสนานเริงร่า พอใจต่อการทำชั่วเสมอไป" จงหลีกหนีไปเสียให้ไกล อย่าเอาตัวเองเข้าไปพัวพัน
ฉะนั้น จงแก้ความคิด ที่เห็นผิดของเราเสียใหม่ อย่าได้ไปอิจฉาเขา เมื่อเห็นเขา จะทำชั่วแล้วได้ดี ก็ช่างเขา มันอาจจะดูดีแต่เปลือกนอก แต่ภายในใจเขา อาจจะเร่าร้อน เหมือนตกนรกทั้งเป็นก็ได้ จงตั้งหน้าตั้งตา ทำแต่ความดีต่อไป ไม่ต้องไปเรียกร้อง ให้ความดีให้ผล ในเวลานั้น ในเวลานี้ หรืออย่างนั้นอย่างนี้ จงทำดีต่อไป ถึงเวลา ความดีนั้น ก็ย่อมจะให้ผลเอง ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
หลายๆ ท่าน ในตอนนี้ อาจจะรู้สึกหมดหวัง และไม่มีกำลังใจ ในการทำความดี เพราะเมื่อทำแต่สิ่งที่ดีแล้ว ตัวเองกลับไม่เคยได้ดีเลย แต่คนที่ทำ ในเรื่องไม่ดี เขากลับได้ดี มีความรู้สึกว่า ตัวเองนั้นโง่มาตลอด ที่เลือกทำแต่ความดี จนไม่มีกำลังใจ ที่จะทำความดีต่อไป คลิบนี้ ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิดของครูบาอาจารย์ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์และเป็นข้อคิด ให้กับทุกท่าน ที่หมดกำลังในการสร้างความดี เพราะเรื่องของกฎแห่งกรรมนั้น เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก เปรียบเสมือนหนึ่งธรรมชาติ ของการเติบโต ของผลไม้ตามฤดูกาล กรรมที่เราสร้างในอดีตภพ ย่อมนำมาสู่เรา ในปัจจุบันภพ ฉันใดก็ฉันนั้น
กรรมที่เรา ได้ทำไปแล้ว แต่เราลืมไปเพราะอะไร ที่เราลืมไป ก็เพราะเราไปยึดว่า ทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี เพราะเรา ไม่โปร่งในขั้นสมุฏฐาน ของเหตุและปัจจัย ถ้าเรา หว่านพืชชนิดใดลงดิน พืชชนิดนั้น ก็จะขึ้นตามเหล่ากอของพืชพันธุ์นั้น และกรรมใด ที่เราสร้างมา ในภพที่เราลืมไปแล้ว แต่กรรมนั้น ก็ยังตามเสวย ตามภพชาติต่างๆ อยู่ ยกตัวอย่าง แบบเข้าใจง่ายๆ เช่น สมมติว่า เมื่อสองปีก่อน เราได้ไปทำไม่ดีกับคนอื่น แต่หลังจากนั้น เราก็หนีไปอยู่อีกที่หนึ่ง ซึ่งเปรียบเหมือนกับเรา เคยไปทำไม่ดีกับคนอื่น ในภพชาติที่แล้ว ก่อนที่เราจะมาเกิดใหม่ในภพนี้ เรียกว่า เราเกิดภพนี้ ทั้งที่เป็นคนเดิม คือ จิตวิญญาณเดิม จากภพก่อน แต่มาเกิดใหม่อยู่ในภพนี้ หรือหนีมาอาศัยอยู่ในเมืองนี้ เป็นต้น
กรรมที่ไม่ดี ที่ตามมาทันเรา ในตอนที่เรากำลังทำดีนั้น ทำให้เราคิดว่า ทำไมทำดีแล้ว จึงไม่ได้ดี กลับพบเจอ และได้รับแต่สิ่งที่ไม่ดี เราอาจจะลืมกรรม ที่เราทำไว้ในภพชาติก่อนแล้ว เพราะมันผ่านมานานแล้ว ข้ามภพข้ามชาติ มาจนจำไม่ได้ว่า เราทำกรรมไม่ดีอะไรไปบ้าง จึงทำให้คิดว่าภพนี้ ชาตินี้ทำแต่ความดี แล้วทำไมไม่ได้ดีสักที ซึ่ง ก้คล้ายกันกับ คนที่ทำชั่ว หรือทำไม่ดีในปัจจุบัน แต่เขากลับได้ดิบได้ดี ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะภพชาติก่อน เขาเคยทำดีเอาไว้มาก แล้วกรรมดีที่เราเห็น ตามมาทัน และส่งผล จนทำให้เขาได้ดิบได้ดี แม้ในขณะปัจจุบัน ที่เขากำลังทำกรรมไม่ดีอยู่ก็ตาม ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะเป็นกรรมคนละส่วน กับกรรมเก่า ที่เขาทำดีในภพชาติก่อน ส่วนกรรมใหม่ ที่เขาทำไม่ดีในขณะนี้ ยังไม่ได้ส่งผล ก็ต้องรอให้ผลในกาลต่อไป เปรียบเหมือนกับเรา เพิ่งปลูกข้าวดำนาเสร็จ จะให้กล้าในนา มันออกดอก ออกรวงข้าว ในวันนี้ หรือพรุ่งนี้เลย ย่อมเป็นไปไม่ได้ เราจะต้องรอเดือน รอเวลา จนกว่าต้นกล้าจะครบกำหนด ที่มันจะออกรวง ให้ผลิตผลเป็นเมล็ดข้าว จึงจะเก็บเกี่ยวได้ ฉันใดก็ฉันนั้น กฎแห่งกรรม ก็เช่นเดียวกัน กับกฎธรรมชาติ
การปลูกพืช ปลูกต้นไม้ชนิดต่างกัน ก็ย่อม จะต้องรอการ ออกดอกออกผล เป็นเวลาไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นไปตามพันธุกรรม ของพืชแต่ละชนิด ซึ่งจะใช้เวลาไม่เท่ากัน นานเป็นเดือน หรือนานเป็นปี จึงจะให้ผล เช่น ปลูกพริก ย่อมให้ผลิตผล เร็วกว่าปลูกมะม่วง ปลูกข้าว ย่อมให้ผลเร็ว กว่าปลูกมะพร้าว เป็นต้น ซึ่งเช่นเดียวกันกับ ผลของกรรมแต่ละชนิด กรรมหนัก กรรมเบา มีเจตนา หรือไม่เจตนา เป็นต้น จึงให้ผลกรรมหนักเบา ต่างกัน ต่างเวลา ตามเหตุปัจจัย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งละเอียด กฎแห่งกรรม ก็คือกฎแห่งธรรมชาติ ย่อมทรงไว้ ซึ่งความยุติธรรม เราสร้างกรรมดีไว้ ในปัจจุบันนี้ กรรมนั้น อาจจะให้เรา เสวยผลในอีกภพหนึ่ง ก็เป็นได้ เพราะว่ามันเป็นกงล้อ แห่งกงกรรมกงเกวียน ที่จะแยกแยะออกมา ชาติไหน ชาติอะไร ชาติโน้น ชาตินี้ เป็นสิ่งยาก เพราะว่ามนุษย์เรานั้น แต่ละคนที่เกิดมา ในชาติปัจจุบันนี้ เกิดมาเป็นร้อยๆ พันๆ ภพชาติ เป็นกงกรรมกงเวียน ที่ทับถม ทั้งดีและชั่ว โดยตัวเราเอง ก็แยกแยะไม่ออก อย่างเช่น เราคิดตั้งแต่เช้า จนถึงเย็น พอตกตอนเย็น เรามานั่งทบทวน เราก็แยกแยะ ทบทวนไม่ค่อยออกว่า เวลาไหนเรามีอกุศลอารมณ์ เวลาไหนเรามีเมตตาจิต เพราะว่าการเคลื่อนไหว แห่งจิตวิญญาณนี้ เร็วยิ่งกว่า อณูปรมาณูทั้งหลาย เร็วยิ่งกว่าปรอท เพราะฉะนั้น จึงแยกได้ว่า เราสร้างกรรมใดไว้ เราย่อม จะต้องเสวยกรรมนั้น ในภพชาติอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น อย่าพึ่งรู้สึกหมดหวัง เพราะคิดว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่คนที่เขาทำไม่ดี กลับได้ดี และรู้สึกเหมือนตัวเองโง่มาตลอด ที่เลือกทำแต่ความดี อย่าได้หมดกำลังใจ เพราะการที่เราละชั่ว แล้วทำดี ก็ได้ชื่อว่า เราปฏิบัติตาม คำสอนของพระพุทธเจ้า ผลย่อมต้องปรากฏ เป็นความดีอย่างแน่นอน ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ต้องเป็นความจริงอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น พอเราทำดี เรามักจะหวังว่า ผลแห่งความดี ที่เราทำ ควรจะส่งผลให้เรา เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เวลานั้นเวลานี้ นั่นเป็นเพราะเรา คาดเดาไปเอง ครั้นพอความดี มิได้ส่งผล ให้อย่างที่เราคาดหวัง ก็มัก จะน้อยเนื้อต่ำใจ เพ่งโทษตัวเองว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี ซึ่งเป็นเรา ที่คิดผิดไปเอง ไม่ใช่ความจริง ความจริง ก็คือ เมื่อเราทำดีเวลาใด ความดีที่เราทำ ก็ส่งผลดี แก่เราทันที คือ จิตใจของเราจะมีความสุขสบาย ชุ่มเย็น เพราะอำนาจแห่งการทำดีของเรา เมื่อนึกถึงความดี ที่เราทำขึ้นมาคราใด จิตใจ ก็จะอิ่มเอิบ ด้วยปีติยินดี นี่ก็เป็นผล ที่เกิดขึ้นที่ใจ โดยที่เราไม่รู้ตัว ส่วนผล อันจะเกิดขึ้นที่กาย เป็นวัตถุสมบัติ ข้าวของ เงินทองนั้น มันขึ้นอยู่กับเหตุ คือ ความดีของเรา มีกำลังมากพอ ที่จะส่งผลอย่างใด อย่างหนึ่ง ได้แล้วหรือไม่ แม้ความดี จะยังไม่ส่งผล ทางวัตถุอย่างใดก็ตาม แต่ความดี ก็ไม่สูญหายไปไหน คงเก็บสั่งสมไว้ตลอดเวลา เมื่อถึงกาลอันควร จะให้ผลอย่างไร ต้องให้ผลทันที ตามกำลังแห่งความดี ที่เราได้เคยทำไว้อย่างแน่นอน
เรื่องของกรรมนั้น มีความลึกลับซับซ้อน เพราะกรรม มีจำแนกออกไปอย่างมากมาย กรรมอาจจะให้ผลในชาตินี้ หรืออาจจะให้ผลในชาติหน้า ให้ผลก่อน ให้ผลหลัง หรือให้ผลทันที ขึ้นอยู่กับกำลังของกรรมที่เราทำ เพราะฉะนั้น จงเชื่อมั่นอย่าได้คลอนแคลน ทำดี ก็ต้องได้รับผลดีอย่างแน่นอน ไม่เป็นอื่น คนทำชั่ว ก็ต้องได้รับผลชั่วเช่นเดียวกัน จงอย่าได้ไปอิจฉาเขา ที่เขาทำชั่วแล้ว อาจจะดูเหมือนได้ดี เพราะดีอย่างนั้น ไม่ดีจริง มันมีโทษแอบแฝงอยู่ เมื่อผลแห่งความชั่วปรากฏ เขาก็ต้องได้รับทุกข์ทรมาน อย่างแสนสาหัส เขาอาจจะเคยทำดีมาบ้าง และผลแห่งกรรมดีของเขา เผอิญมาให้ผล ในขณะที่เขากำลังทำชั่วอยู่ มิใช่เขาได้ดี เพราะเหตุแห่งการทำชั่ว หาเป็นเช่นนั้นไม่ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ตราบใดที่กรรมชั่ว ยังไม่ให้ผล คนชั่ว ย่อมสนุกสนานเริงร่า พอใจต่อการทำชั่วเสมอไป" จงหลีกหนีไปเสียให้ไกล อย่าเอาตัวเองเข้าไปพัวพัน
ฉะนั้น จงแก้ความคิด ที่เห็นผิดของเราเสียใหม่ อย่าได้ไปอิจฉาเขา เมื่อเห็นเขา จะทำชั่วแล้วได้ดี ก็ช่างเขา มันอาจจะดูดีแต่เปลือกนอก แต่ภายในใจเขา อาจจะเร่าร้อน เหมือนตกนรกทั้งเป็นก็ได้ จงตั้งหน้าตั้งตา ทำแต่ความดีต่อไป ไม่ต้องไปเรียกร้อง ให้ความดีให้ผล ในเวลานั้น ในเวลานี้ หรืออย่างนั้นอย่างนี้ จงทำดีต่อไป ถึงเวลา ความดีนั้น ก็ย่อมจะให้ผลเอง ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น