วันอาสาฬหบูชา มีความสำคัญอย่างไร

สวัสดีครับคุณผู้ชม เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นวันที่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา “ธัมมจัก กัปปวัตตนสูตร” ซึ่งตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ (หรือ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หลัง ในปีอธิกมาส) คลิบนี้ผมจึงเอาประวัติความเป็นมาของวันอาสาฬหบูชา มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ในการทำบุญ เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ครับ



ความหมาย ของคำว่า อาสาฬหบูชา “อาสาฬห” เป็นชื่อเรียกของเดือน ๘ ส่วนคำว่า “อาสาฬหบูชา” ย่อมาจาก “อาสาฬหปุร ณมีบูชา” แปลว่า “การบูชาพระใน วันเพ็ญ เดือน ๘” ดังนั้น วันอาสาฬหบูชา จึงตรงกับ วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ (หรือ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หลัง ในปีอธิกมาส) วันอาสาฬหบูชานี้ ถือเป็นวันคล้าย วันที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดงปฐมเทศนา หรือ เทศนาครั้งแรก ที่มีชื่อว่า “ธัมมจัก กัปป วัตตนสูตร” ซึ่งแปลว่า “พระสูตร ของการหมุนวงล้อ แห่งพระธรรม ให้ดำเนินไป” โดยเป็นการแสดง พระธรรมเทศนาครั้งแรก เพื่อโปรด ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ โดยทรงแสดง เทศนานี้ ที่ป่าอิสิป ตน มฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ในปีแรกที่ทรงตรัสรู้



ความเป็นมา ของวันอาสาฬหบูชา ครั้น เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้า ทรงบำเพ็ญเพียร จนได้บรรลุ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงเข้าถึง ความเป็นพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง ในวันรุ่งเดือน ๖ ณ ใต้ร่มมหาโพธิบัลลังก์ ทรงหมดสิ้น ซึ่งอาสวะกิเลส เมื่อพระพุทธองค์ ทรงบรรลุ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ทรงเสวยวิมุตติสุข เนิ่นนานอยู่ ทรงคำนึงว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นี้ ล้ำลึกยิ่งนัก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม จึงท้อพระทัยที่จะสั่งสอนสัตว์ ฝ่ายท้าวสหัมบดีพรหม ทรงวิตกว่า พระพุทธองค์ จะทรงละเลยกิจ ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในอดีต ได้ทรงปฏิบัติ คือ ทรงจะแสดงพระสัทธรรม โปรดหมู่เวไนยสัตว์ ในภพทั้งหลาย คือ (พรหมภูมิ สวรรค์ภูมิ มนุษย์ภูมิ) ด้วย เมื่อพระโพธิสัตว์ ทรงบรรลุธรรมแล้ว จะทรงน้อมพระทัย ไปสู่การ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เหตุนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม จึงได้ชักชวน หมู่พรหม และทวยเทพในภพสวรรค์ เสด็จมาชุมนุม ต่อหน้าพระพักตร์ สมเด็จพระบรมศาสดา แล้วกล่าวคำทูลอาราธนา ให้ทรงแสดงธรรมว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้โปรดแสดงธรรมเถิด”

พระพุทธองค์ทรงพิจารณา หมู่เวไนยสัตว์ เมื่อพระพุทธองค์ ได้ทรงตรึกตรอง ทรงคำนึงว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นี้ ลึกซึ้งมาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม จึงยังทรง มิได้รับคำทูลอาราธนาทีเดียว แต่ได้ทรงพิจารณา โดยพระญาณก่อนว่า เวไนยสัตว์นั้น จำแนกเหล่าใด ที่จะรองรับพระสัทธรรม ได้เพียงใด และจำนวนเท่าใด ทรงจำแนกด้วยพระญาณว่า เหล่าเวไนยสัตว์บุคคล ที่จะรับพระสัทธรรมได้ และไม่ได้ มีอยู่ ๔ จำพวก เปรียบได้ดังดอกบัวสี่เหล่า อันหมายถึง ปัญญา วาสนา บารมี และอุปนิสัย ที่สร้างสมมา แต่อดีตของบุคคล ซึ่งบัว ๔ เหล่านั้น ก็คือ
๑. ดอกบัวที่พ้นน้ำแล้ว รอแสงพระอาทิตย์ จะบานวันนี้
๒. ดอกบัวที่ปริ่มน้ำ จะบานวันพรุ่งนี้
๓. ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ยังอีก ๓ วันจึงจะบาน
๔. ดอกบัวที่เพิ่งงอกใหม่ จากเหง้าในน้ำ จะยังไม่พ้นภัย จากเต่าและปลา
บุคคลที่เปรียบ ได้กับดอกบัวดอกที่ ๑ ที่ดอก ๒ และที่ดอก ๓ นั้น สามารถให้อนุศาสโนวาทแล้ว สามารถบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ได้เร็วช้าต่างกัน ก็ด้วยปัญญา วาสนา บารมี และอุปนิสัย ที่ต่างกัน ซึ่งจำแนกเป็น พุทธเวไนย์ สาวกเวไนย์ ธาตุเวไนย์ ตามลำดับ ส่วนบุคคล ซึ่งเปรียบเป็นบัว ประเภทที่ ๔ ไม่สามารถบรรลุ อะไรได้ในชาตินี้ ด้วยขาดซึ่งปัญญา แต่จะเป็นอุปนิสัย วาสนา บารมีต่อไป ในภายภาคหน้า เมื่อทราบด้วยพระญาณดังนั้นแล้ว ด้วยพระกรุณาคุณ ทรงเล็งเห็นว่าโลกนี้ ผู้ที่พอจะรู้ตามได้ ก็คงมีอยู่บ้าง เมื่อเล็งเห็นเหตุนี้ จึงตกลงพระทัยจะสอนธรรม ให้แก่สัตว์ทั้งปวง จึงรับอาราธนา ของท้าวสหัมบดีพรหม

พระพุทธเจ้าทรงนึกถึง ผู้ที่ควรโปรดก่อน คือ อาฬารดาบส กับ อุทกดาบส ผู้เป็นอาจารย์ แต่ท่านเหล่านี้ ก็สิ้นชีวิตไปแล้ว จะมีอยู่ ก็แต่ปัญจวัคคียทั้ง ๕ ที่มีชื่อว่า ๑.โกณฑัญญะ ๒. วัปปะ ๓. ภัททิยะ ๔. มหานามะ และ๕. อัสสชิ ซึ่งท่านโกณฑัญญะ เป็นหัวหน้าปัญจวัคคีย์ ท่านผู้นี้ ได้เป็นพราหมณ์คนหนึ่ง ในจำนวนพราหมณ์ ๑๐๘ คน ที่มาประชุม ทำนายพระลักษณะ เมื่อพระพุทธเจ้า ได้ประสูติแล้ว ๕ วัน พราหมณ์เหล่านี้ พากันทำนายว่า พระองค์จะมีคติเป็น ๒ คือ ถ้าอยู่ครองฆราวาส จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระราชาเอกในโลก แต่ถ้าออกทรงผนวช จะได้เป็นศาสดาเอกของโลก ส่วนท่านโกณฑัญญะ เป็นพราหมณ์หนุ่มที่สุด ในหมู่พราหมณ์นั้น ได้ทำนายไว้คติเดียวว่า จะเสด็จออกทรงผนวช จะได้เป็นศาสดาเอกในโลก เพราะฉะนั้น จึงได้คอยฟังข่าว พระโพธิสัตว์อยู่เสมอ จนเมื่อพระโพธิสัตว์ เสด็จออกทรงผนวช ท่านโกณฑัญญะ ก็ได้ชักชวนบุตรของพราหมณ์ ที่มาประชุมทำนาย พระลักษณะในคราวนั้น ได้อีก ๔ คน รวมเป็น ๕ ออกคอยติดตามพระโพธิสัตว์ และเมื่อพระโพธิสัตว์ ได้ทรงบำเพ็ญ ทุกร กิริยา ก็เป็นที่สบอัธยาศัย ของท่านทั้ง ๕ ซึ่งนิยมในทางนั้น ก็พากัน ไปคอยเฝ้าปฏิบัติ ครั้นพระองค์ ได้ทรงเลิกละเสียท่านทั้ง ๕ นั้น ก็เห็นว่าพระองค์ ได้ทรงเวียนมาเป็นผู้มักมาก จะไม่สามารถตรัสรู้พระธรรมได้ ก็พากันหลีก ไปพักอยู่ ที่ตำบลอิสิปตน มฤ คทายวัน เมื่อพระพุทธองค์ ได้บำเพ็ญจนสำเร็จ เป็นพระอนุตรสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงพิจารณาที่จะแสดงธรรมโปรด ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก่อน จึงเสด็จออกเดินทาง จากควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ ที่ประทับอยู่ มุ่งพระพักตร์เสด็จไปยังป่า อิสิปตน มฤ คทายวัน แขวงเมืองพาราณสี การที่เสด็จ จากตำบลพระศรีมหาโพธิ์ จนกระทั่งถึงกรุงพาราณสี แสดงให้เห็นพระวิริยอุตสาหะ อันแรงกล้า และการตั้งพระทัยแน่วแน่ ที่จะประทานปฐมเทศนา แก่ปัญจวัคคีย์ เป็นพวกแรกอย่างแท้จริง เพราะระยะทาง ระหว่างตำบลพระศรีมหาโพธิ์ ถึงพาราณสีนั้นไกลมาก ซึ่งการเสด็จดำเนิน ด้วยพระบาทเปล่า อาจใช้เวลาหลายวัน แต่ปรากฏว่าพอตอนเย็น วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนอาสาฬหะนั้น พระพุทธองค์ก็เสด็จถึง ป่าอิสิปตน มฤ คทายวัน แขวงเมืองพาราณสี อันเป็นที่อยู่ของปัจจวัคคีย์

ทรงโปรดเหล่าปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เมื่อเหล่าปัญจวัคคีย์ มองเห็นพระพุทธเจ้า เสด็จมาแต่ไกล ก็นัดหมายกันว่า จะไม่ทำการลุกต้อนรับ ไม่ให้ทำการอภิวาท และไม่รับบาตรจีวร แต่ให้ปูอาสนะไว้ ถ้าทรงประสงค์ จะนั่งก็นั่ง แต่ถ้าไม่ประสงค์ก็แล้วไป แต่ครั้นพระองค์เสด็จถึง ต่างก็ลืมกติกาที่ตั้งกันไว้ พากันลุกขึ้น และอภิวาทกราบไหว้ และนำน้ำล้างพระบาท ตั่งรองพระบาท ผ้าเช็ดพระบาท มาคอยปฏิบัติ พระพุทธเจ้า ได้เสด็จประทับบนอาสนะ ทรงล้างพระบาทแล้ว เหล่าปัญจวัคคีย์ ก็เรียกพระองค์ ด้วยถ้อยคำตีเสมอ คือเรียกพระองค์ว่าอาวุโส ที่แปลว่า ผู้มีอายุ หรือแปลอย่างภาษาไทยว่า คุณ โดยไม่มีความเคารพ พระองค์ตรัสห้าม และทรงบอกว่า พระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว จะแสดงอมตธรรมให้ท่านทั้งหลายฟัง เมื่อท่านทั้งหลายตั้งใจฟัง และปฏิบัติโดยชอบ ก็จะเกิดความรู้ จนถึงที่สุดของทุกข์ได้ เหล่าปัญจวัคคีย์ ก็กราบทูลคัดค้านว่า เมื่อทรงบำเพ็ญ ทุกร กิริยา ยังไม่ได้ตรัสรู้ เมื่อทรงเลิกเสีย จะตรัสรู้ได้อย่างไร พระพุทธเจ้า ก็ยังตรัสยืนยันเช่นนั้น และเหล่าปัญจวัคคีย์ ก็คงคัดค้านเช่นนั้น ถึง ๓ ครั้ง พระพุทธองค์ จึงตรัสให้ระลึกว่า แต่ก่อนนี้ พระองค์ได้เคยตรัส พระวาจาเช่นนี้ หรือไม่ เหล่าปัญจวัคคีย์ ก็ระลึกได้ว่า พระองค์ไม่เคยตรัส พระวาจาเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้ยินยอม เพื่อจะฟังพระธรรม พระพุทธเจ้า เมื่อทรงเห็นว่า เหล่าปัญจวัคคีย์ พากันตั้งใจ เพื่อจะฟังพระธรรม ของพระองค์แล้ว จึงได้ทรงแสดง ปฐมเทศนา คือ เทศนาครั้งแรก โปรดเหล่าปัญจวัคคีย์ พระองค์ได้ทรงแสดง ปฐมเทศนานี้ ในวันรุ่งขึ้น จากที่เสด็จไปถึง คือ ได้ทรงแสดง ในวันเพ็ญของเดือน อาสาฬหะ หรือ เดือน ๘ ก่อนวันเข้าพรรษาหนึ่งวัน ซึ่งเป็นวัน ที่ประกอบพิธีอาสาฬหบูชา ดังที่ได้กำหนดตั้งขึ้น เป็นวันบูชาวันหนึ่ง เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

ทรงแสดงปฐมเทศนา ปฐมเทศนา “ธัมมจัก กัปป วัตตนสูตร” นับเป็นเทศนากัณฑ์แรก ที่ทรงแสดง ทางที่พระองค์ทรงปฏิบัติ ได้ทรงแสดงธรรม ที่ได้ตรัสรู้ ได้ทรงแสดงญาณ คือ ความรู้ของพระองค์ ที่เกิดขึ้นในธรรมนั้น โดยใจความปฐมเทศนา มีดังนี้

ตอนที่ ๑ พระพุทธเจ้า ได้ทรงชี้ทาง ที่บรรพชิต คือ นักบวช ซึ่งมุ่งความหน่าย มุ่งความสิ้นราคะ คือ ความติด ความยินดี มุ่งความตรัสรู้ มุ่งพระนิพพาน ไม่ควรซ่องเสพ อันได้แก่ กามสุขัลลิกานุโยค คือ ความประกอบตน ด้วยความสุขสดชื่น อยู่ในทางกาม และ อัตตกิลมถา นุโยค คือ ประกอบการทรมานตน ให้ลำบากเดือดร้อนเปล่า เหล่านี้ เป็นข้อปฏิบัติ ที่เป็นของต่ำทราม เป็นกิจของปุถุชน มิใช่กิจ ของบรรพชิต ผู้มุ่งผลแห่งที่สุด

ตอนที่ ๒ ได้ทรงแสดงธรรมะ ที่ได้ตรัสรู้ เมื่อละทางทั้งสองข้างต้น และมาเดินทางสายกลาง เรียกว่า “มัชฌิมา ปฏิปทา” คือ ข้อปฏิบัติที่เป็นกลาง ที่เป็นข้อปฏิบัติ อันสมควรแล้ว ทรงแสดงทางสายกลาง หรือ อริยมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ ๒. สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริชอบ ๓. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ ๔. สัมมากัมมันตะ คือ ทำการงานชอบ ๕. สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีพชอบ ๖. สัมมาวายามะ คือ มีความเพียรชอบ ๗. สัมมาสติ คือ ระลึกชอบ ๘. สัมมาสมาธิ คือ ตั้งใจชอบ แล้วสรุป รวมลงซึ่งองค์ประกอบ ทั้ง ๘ นั้น ด้วย อริยสัจ ๔ ซึ่งแปลว่า ความจริงของบุคคล ผู้ประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่ ๑.ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ กล่าวโดยย่อ คือ ขันธ์ที่ยึดถือไว้ ทั้ง ๕ ประการ เป็นทุกข์ ๒. สมุทัย หรือ ทุกขสมุทัย คือ เหตุให้เกิดทุกข์ ทรงชี้ถึงตัณหา ความดิ้นรน ทะยานอยากของใจ เป็นเหตุแห่งทุกข์ ๓. นิโรธ หรือ ทุกขนิโรธ คือ ความดับทุกข์ คือ ดับตัณหาเสียได้ ไม่อาลัยพัวพัน ในตันหา ก็ถึงความดับทุกข์ ๔. มรรค หรือ ทุกขนิโรธ คามินีปฏิ ปทา คือ ข้อปฏิบัติ ให้ถึงความดับทุกข์

ตอนที่ ๓ พระพุทธองค์ ได้ทรงชี้แจงว่า ที่เรียกว่า ตรัสรู้นั้น คือ รู้อะไร มีลักษณะเช่นไร คือ ต้องเป็นความรู้ ที่ผุดขึ้นว่า นี่เป็นทุกข์ เป็นสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ควรละ เป็นนิโรธความดับทุกข์ ควรทำให้แจ้ง เป็น มรรค ทางให้ถึงความดับทุกข์ ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้อบรม ให้มีขึ้นได้บริบูรณ์แล้ว เพราะฉะนั้น ญาณ คือ ความตรัสรู้ ที่ประกอบด้วย สัจจญาณ คือ รู้ในความจริงว่า นี่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ ส่วนหนึ่งเป็น กิจจญาณ คือ ความรู้ในกิจ คือหน้าที่ ที่จะปฏิบัติทำให้ดับทุกข์ ส่วนหนึ่งเป็น กตญาณ คือ ความรู้ในการทำกิจ เสร็จแล้วคือ รู้แจ้งแห่งมรรค ดับทุกข์ได้หมดจด เพราะฉะนั้น ในพระสูตร จึงแสดงว่าความตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้านั้น เป็นปัญญาญาณ คือ ความหยั่งรู้ ที่มีวนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ คือ ต้องรู้ในอริยสัจ ๔ นั้น โดยเป็นสัจญาณ โดยเป็นกิจจญาณ โดยเป็นกตญาณ ๓ คูณ ๔ ก็เป็น ๑๒ มีอาการ ๑๒ เป็นความรู้ ที่วนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ดังกล่าวนี้ จึงเรียกว่า เป็นความตรัสรู้ จึงเรียกว่าเป็น พุทธะ คือ เป็นผู้ตรัสรู้ ถ้าจะเรียกปัญญา ของพระองค์ท่าน ก็เป็น โพธิ ที่แปลว่า ความตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรง ชี้ให้เห็นว่า เมื่อรู้ถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว ย่อมได้ชื่อว่า ตรัสรู้โดยชอบ ถึงความหลุดพ้น และสุดชาติ สุดภพเป็นแน่แท้ ขณะที่พระองค์ ทรงแสดงธรรมนี้อยู่ ท่านโกณฑัญญะ ได้ส่องญาณ ไปตามจนเกิด “ธรรมจักษุ” หรือดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญา รู้เห็นความจริง โดยเห็นแจ้งชัดว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งนั้น ย่อมดับไปเป็นธรรมดา” เมื่อนั้น พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงเปล่งพระอุทานว่า “อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ” แปลว่า “โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” เพราะพระองค์ ทรงอุทานคำนี้ ภายหลังท่านโกณฑัญญะ จึงได้นามใหม่ว่า “อัญญาโกณฑัญญะ” จากนั้น ท่านโกณฑัญญะ ก็ทูลขออุปสมบท ซึ่งพระพุทธเจ้า ทรงประทานอนุญาต โดยทำการอุปสมบทให้ แบบเอหิภิขุ อุป สัมปทา นับเป็นพระสงฆ์องค์แรก ในพระพุทธศาสนา ที่บวชตามพระพุทธองค์ จึงทำให้พระรัตนตรัย ครบองค์ ๓ คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ จากนั้นอีกห้าวัน ทรงแสดง “อนัตตลัก ขณสูตร” แก่นักบวชทั้งห้ารูป ทำให้ท่านเหล่านั้น ได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ ในเวลาต่อมา

กล่าวโดยสรุปแล้ว วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่มี เหตุการณ์สำคัญ ๆ เกิดขึ้น ดังนี้ ๑.เป็นวันที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดงปฐมเทศนา คือทรงแสดงพระธรรมเป็นครั้งแรก ซึ่งพระธรรมที่ทรงแสดง ในครั้งนั้น มีชื่อว่า “ธัมมจัก กัปป วัตตนสูตร” ซึ่งมีใจความสำคัญ คือ หลักธรรม เรื่อง อริยสัจ ๔ ๒. เป็นวันที่มี พระอริยสงฆ์สาวก บังเกิดขึ้น เป็นครั้งแรกในโลก เนื่องจาก ท่านโกณฑัญญะ ได้ฟังพระธรรมเทศนา กัณฑ์นั้นแล้ว เกิดดวงตาเห็นธรรม จึงกราบทูลขอบวช ซึ่งพระพุทธเจ้า ก็ทรงอุปสมบทให้ ดังนั้น พระโกณฑัญญะ จึงนับเป็นพระสงฆ์รูปแรก ในพระพุทธศาสนา ๓. เป็นวันแรกที่บังเกิด พระสังฆรัตนตรัย ทำให้พระรัตนตรัย ครบองค์ ๓ อันได้แก่ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และ พระสังฆรัตนะ

พิธีการปฏิบัติ ในวันอาสาฬหบูชานั้น โดยทั่วไป ก็คือ การทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล เวียนเทียน ฟังพระธรรมเทศนา (ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) และสวดมนต์ เป็นต้น ดังนั้นในนอาสาฬหบูชานี้ จึงถือว่า พุทธศาสนิกชน ควรได้รับประโยชน์ ที่เป็นสาระสำคัญจากอาสาฬหบูชา กล่าวคือ ควรทบทวน ระลึกเตือนใจ สำรวจตนว่า ชีวิตเรานั้น ได้เจริญงอกงามขึ้น ด้วยความเป็นอยู่ อย่างผู้รู้เท่าทันโลก และชีวิตนี้บ้างแล้วเพียงใด เรายังดำเนินชีวิตอยู่ อย่างลุ่มหลงมัวเมา หรือมีจิตใจอิสระ ปลอดโปร่ง ผ่องใสบ้างแล้วเพียงใด ครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

บาปกรรมหนัก 3 ข้อ ของการเป็นชู้ คบชู้และนอกใจ

กรรมของคน ชอบใส่ร้ายป้ายสี และนินทาผู้อื่น

หนทาง 7 สาย กรรมดีกรรมชั่ว ชีวิตหลังความตาย

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

พุทธประวัติ EP.4 การจุติจากดุสิตลงสู่ครรภ์ เกิดแสงสว่าง และแผ่นดินไหว เนื่องด้วยการจุติ

ผ้าเปลือกปอ (เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม)

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

เปรตรับผลบุญได้ การสงเคราะห์ผู้ล่วงลับไปแล้ว