วันเข้าพรรษา มีความสำคัญอย่างไร

สวัสดีครับคุณผู้ชม เนื่องในวันเข้าพรรษา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นวันที่ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ให้พระภิกษุจำพรรษา ๓ เดือน ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หรือ วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หลัง ในปีอธิกมาส คลิบนี้ผมจึงเอาประวัติความเป็นมาของวันเข้าพรรษา มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ในการทำบุญ เนื่องในวันเข้าพรรษา ครับ



ความเป็นมาของวันเข้าพรรษานั้น กล่าวถึง การบัญญัติพระวินัย เรื่องการเข้าพรรษา ไว้ในพระไตรปิฏก กล่าวคือ สมัยเมื่อ พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศธรรม สั่งสอนธรรม ได้มีผู้เลื่อมใสศรัทธา ในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จึงได้เข้ามาอุปสมบท บรรพชา เป็นพระภิกษุมากขึ้น ซึ่งเวลานั้น พระพุทธเจ้า ยังมิได้ทรงบัญญัติ ให้พระภิกษุจำพรรษา ดังนั้น พระภิกษุ จึงเที่ยวจาริกตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ทำให้คนทั้งหลาย ติเตียน ที่พระภิกษุ ได้เที่ยวจาริก ไปตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน อีกทั้ง ได้เผลอเหยียบย่ำ ต้นข้าว แปลงนา พืชพันธัญหาร พืชผลทางการเกษตรเสียหาย และอาจเบียดเบียน สัตว์เล็กสัตว์น้อย จำนวนมากจนตาย นอกจากนี้ คนทั้งหลาย ได้บอกให้ดู อย่างพวกนอกศาสนา ที่ยังหยุดพักในช่วงฤดูฝน เมื่อพระภิกษุได้ยิน คนพวกนั้นติเตียน จึงนำเรื่องการถูกติเตียนนี้ กราบทูลแด่พระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้า ทรงรับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ให้ภิกษุทั้งหลาย จำพรรษาตลอดถ้วน ไตรมาส ๓ เดือน” พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ให้พระภิกษุจำพรรษา ในฤดูฝน ตลอดระยะเวลา ๓ เดือน โดยวันเข้าพรรษา ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต มีอยู่ ๒ วัน คือ

๑. ปุริมิกา หรือ ปุริมพรรษา หรือ วันเข้าพรรษาต้น ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หรือ วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หลัง ในปีอธิกมาส (วันถัดจากวันอาสาฬหบูชา) และออกพรรษาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑
๒. ปัจฉิมิกา หรือ ปัจฉิมพรรษา หรือ วันเข้าพรรษาหลัง ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ซึ่งบัญญัติไว้ ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น ไม่สามารถเข้าพรรษาต้น ก็ให้เลื่อน ไปเข้าพรรษา ในวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๙ ก็ได้ และไปออกพรรษา ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒



การเข้าพรรษา คือ การที่พระภิกษุสงฆ์ ตกลงตั้งใจว่า จะอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่ง ตลอดถ้วน ไตรมาส ๓ เดือน ในฤดูฝน โดยเมื่อตกลงใจ ที่จะอยู่จำพรรษาที่วัดใดแล้ว ในช่วงตลอดระยะเวลา ๓ เดือนนั้น พระภิกษุสงฆ์ ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ที่อยู่จำพรรษา โดยไม่มีเหตุจำเป็น อันมีบัญญัติไว้ ในพระวินัย หากพระภิกษุรูปใดฝ่าฝืน ถือว่าอาบัติ ซึ่งการอยู่จำพรรษานี้ ถือเป็นข้อปฏิบัติ สำหรับพระภิกษุโดยตรง โดยมีพระวินัยบัญญัติไว้ ให้พระภิกษุสงฆ์ ปฏิบัติตามทุกรูป และละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ แต่อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้า ได้ทรงอนุโลม ให้เดินทางได้ ในระหว่างพรรษา เรียกว่า “สัตตาหกรณียะ” คือ มีกิจจำเป็น ซึ่งพระวินัยได้อนุญาตให้ ไปค้างแรมที่อื่นได้ โดยมีข้อจำกัดว่า จะต้องกลับมายังสถานที่ ที่อยู่จำพรรษาเดิม ภายใน ๗ วัน ซึ่งกรณี ที่พระพุทธเจ้า ทรงอนุโลมได้แก่
๑.เมื่อทายก ทายิกา ปรารถนา จะบำเพ็ญกุศลแล้ว มานิมนต์ ก็ให้ไปเพื่อรักษาศรัทธาได้
๒. ถ้าสงฆ์ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เกิดอธิกรณ์ขึ้น ก็ให้ไป เพื่อระงับอธิกรณ์ได้
๓. ถ้าบิดา มารดา ญาติ พี่น้อง พระอุปัชฌาย์ เป็นไข้เจ็บป่วย เมื่อทราบก็ให้ไปได้
๔. พระวิหาร ในที่แห่งอื่น เกิดชำรุดเสียหาย ให้ไปหาสิ่งของ เพื่อมาปฏิสังขร พระวิหารนั้นได้
๕. เมื่อถูกสัตว์ร้ายรบกวน ถูกโจรปล้น พระวิหารถูกไฟไหม้ หรือถูกน้ำท่วม ก็ให้ไปจากที่นั้นได้
๖. เมื่อชาวบ้านถูกโจรปล้น อพยพหนีไป ก็ให้ไปกับพวกชาวบ้านได้ โดยให้ไปกับชาวบ้าน ที่มีความเลื่อมใสศรัทธา สามารถที่จะให้ความอุปถัมภ์ได้
๗. เมื่อที่ใด เกิดความขาดแคลนอาหาร หรือยารักษาโรค ขาดผู้อุปถัมภ์บำรุง ได้รับความลำบาก ก็อนุญาตให้ไปจากที่นั้นได้
๘. ถ้าหากมีผู้เอาทรัพย์มาล่อ ก็อนุญาตให้ไปจากที่นั้นได้
๙. หากภิกษุสงฆ์ หรือภิกษุณีสงฆ์แตกกัน หรือมีผู้พยายาม จะให้แตกกัน ถ้าการไปจากที่นั้น สามารถระงับการแตกกันได้ ก็อนุญาตให้ไปได้

พิธีการปฏิบัติ ในวันเข้าพรรษา ของพุทธศาสนิกชนนั้น สามารถกระทำได้ ตั้งแต่ก่อนวันเข้าพรรษา โดยการไปช่วยเหลือ พระภิกษุสงฆ์ ทำความสะอาดเสนาสนะ กุฏิวิหาร หากมีสิ่งใดชำรุด ก็จะช่วยกันซ่อมแซม เพื่อให้พระภิกษุ ได้บำเพ็ญศาสนกิจ ได้อย่างเต็มที่ในช่วงเข้าพรรษา และเมื่อถึงวันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชน จะนิยมทำบุญตักบาตรกัน ๓ วัน คือ วันขึ้น ๑๔ ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ และขนมที่นิยมทำกัน ในวันเข้าพรรษา ก็ได้แก่ ขนมเทียน ก่อนวันเข้าพรรษา มักมีธรรมเนียม สำหรับอุบาสก อุบาสิกา โดยจะนำเครื่องสักการะ ไปถวายภิกษุ สามเณร ที่ตนเคารพนับถือ เครื่องสักการะนั้น นิยมมี ดอกไม้ ธูป เทียน ผ้าอาบน้ำฝน และเครื่องปัจจัยสี่ เช่น สบู่ แปลงสีฟัน ยาสีฟัน กระดาษชำระ เป็นต้น จัดเป็นสักการะ ถวายเฉพาะรูป นอกจากนี้ พุทธศาสนิกชนบางส่วน ยังปวารณา ต่อพระสงฆ์ เพื่อรับเป็น โยมอุปัฏฐาก จัดหาเครื่องสักการะ หรือจัดหาสิ่งที่ขาดเหลือ มาถวายให้แก่พระภิกษุ หรือสามเณร ที่ตนเองนับถือ หรือบางราย ก็รับอาสา จัดหาให้กับพระทั้งวัด ในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน

กิจกรรมต่างๆ ที่ปฏิบัติในวันเข้าพรรษา ก็คือ กิจกรรมทำเทียนจำนำพรรษา กิจกรรมถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัย แก่พระภิกษุสามเณร ร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟังธรรมเทศนา รักษาอุโบสถศีล และอธิษฐาน งดเว้นอบายมุขต่างๆ ส่วนประเพณีการหล่อเทียนพรรษา (วันเข้าพรรษา) นับว่า เป็นประเพณี ที่ปฏิบัติทำกันมา ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล มูลเหตุ ที่ต้องมีการหล่อเทียนเข้าพรรษานั้น เนื่องมาจากในฤดูฝน หรือเรียกว่า “ฤดูการเข้าพรรษา” พระสงฆ์ต้องจำพรรษาสวดมนต์ ทำวัตรทุกเช้าค่ำ ซึ่งมีความจำเป็น ที่ต้องใช้เทียน ไว้สำหรับจุดบูชา ให้ตลอดพรรษา พุทธศาสนิกชน จึงพร้อมใจกันหล่อพรรษา เพื่อนำไปถวาย แก่พระสงฆ์ ไว้จุดบูชา ทำกิจของสงฆ์ตลอด ๓ เดือน จึงเรียกเทียนที่หล่อขึ้นมานี้ว่า “เทียนพรรษา” หรือ “เทียนจำนำพรรษา”

แม้ว่าการเข้าพรรษา จะเป็นเรื่องของภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชน ก็ถือเป็นโอกาสดี ที่จะได้ทำบุญรักษาศีล และชำระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษา ชาวบ้านก็จะไปช่วยพระ ทำความสะอาด เสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่นๆ พอถึงวันเข้าพรรษา ก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้นอบายมุขต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น อนึ่ง บิดามารดา มักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลานของตน โดยถือกันว่า การเข้าบวชเรียน และอยู่จำพรรษาในระหว่างนี้ จะได้รับ อานิสงส์อย่างสูง ครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

บาปกรรมหนัก 3 ข้อ ของการเป็นชู้ คบชู้และนอกใจ

กรรมของคน ชอบใส่ร้ายป้ายสี และนินทาผู้อื่น

หนทาง 7 สาย กรรมดีกรรมชั่ว ชีวิตหลังความตาย

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

พุทธประวัติ EP.4 การจุติจากดุสิตลงสู่ครรภ์ เกิดแสงสว่าง และแผ่นดินไหว เนื่องด้วยการจุติ

ผ้าเปลือกปอ (เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม)

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

วันอาสาฬหบูชา มีความสำคัญอย่างไร

เปรตรับผลบุญได้ การสงเคราะห์ผู้ล่วงลับไปแล้ว