มีความทุกข์ จะปล่อยวางได้อย่างไร

สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมีคติธรรมและข้อคิด เรื่องของคนที่มีความทุกข์ ว่าจะปล่อยวางได้อย่างไร มาฝากครับ



หลายๆ ท่าน ในตอนนี้ คงจะกำลังมีความทุกข์ อาจจะเป็นเรื่องขอความรัก เรื่องของเงินทอง เรื่องชีวิตครอบครัว เรื่องของการงาน เรื่องของการเรียน หรือเห็นใครทำอะไร ไม่ถูกใจตนเอง เราก็เกิดความทุกข์ใจว่า ทำไมเขาไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมเขาไม่เป็นอย่างนี้ เป็นต้น จนทำให้ตัวเองเกิดอาการเครียด คิดหาทางออกไม่เจอ ปล่อยวางไม่ได้ จนทำให้ชีวิตและจิตใจ เกิดความทุกข์อย่างหนัก มองไปทางไหน หรือจไปปรึกษาใครก็ไม่ได้ คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิด ของครูบาอาจารย์มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ที่กำลังมีความทุกข์ อยู่ในตอนนี้ มีคำกล่าวไว้ว่า ไม่เห็นความทุกข์ จะไม่เห็นธรรม คำกล่าวนี้ หมายความว่าอย่างไร โดยปกติแล้วคนเรา เมื่อมีความสุข ก็จะหลงอยู่ในความสุข ที่ตนมีอยู่ มีความประมาทว่า สถานภาพเช่นนี้ จะยังคง ดำรงอยู่ไปเรื่อยๆ ไม่เสื่อมทราม จึงไม่สนใจ ที่จะศึกษาธรรมะ ก่อนที่ความสุขจะหายไป ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่า เราไม่เข้าใจธรรมะ อย่างแท้จริงว่า คือ อะไร



ความที่เราไม่เข้าใจในธรรมะ ประกอบกับมีความเห็นผิดแบบต่างๆ จึงทำให้เรา ดูหมิ่นดูแคลนธรรมะ หรือดูหมิ่นดูแคลนพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ ตลอดจนผู้ที่ปฏิบัติธรรม หรือศึกษาธรรมะ ครั้นเมื่อตัวเราเองมีความทุกข์ ดังเช่นว่า วันนี้เราต้องพลัดพราก จากบุคคลอันเป็นที่รัก หรือของรัก เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย ถูกเขาโกง ถูกเขากลั่นแกล้ง ใส่ร้ายป้ายสี ให้ร้าย กดขี่ข่มเหง จนทำให้ธุรกิจตกต่ำ มีหนี้มีสินจำนวนมากมาย เป็นต้น มีเจอปัญหาแบบนี้ ก็ทำให้เรามีความทุกข์ เมื่อมีความทุกข์ เราก็จะหาทางดับทุกข์ ด้วยวิธีการต่างๆ อย่างเช่น เข้าหาอบายมุข เข้าหาหมอดูเจ้าเข้าทรง ไปบนบานศาลกล่าว หรือสะเดาะเคราะห์ แก้กรรม เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล ตั้งศาลพระภูมิ เปลี่ยนดวง สารพัดอย่าง ที่เราจะทำได้ จนในที่สุด เมื่อวิธีการต่างๆ ดังที่กล่าวมา ไม่อาจจะแก้ความทุกข์ หรือปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่ได้ ในที่สุด เราก็หันมาพึ่งธรรมะ บางคนก็บวช บางคนก็ปฏิบัติธรรม หรือบางคนก็ศึกษาเรียนรู้ธรรมะ เป็นต้น เมื่อเราได้เข้ามาสู่กระแสธรรม ได้ศึกษาเรียนรู้ธรรมะอย่างเข้าใจ ความทุกข์นั้น ก็บรรเทาเบาบางลงได้ หรือบางคน ความทุกข์ที่มีอยู่ก็ดับลงไปได้ แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

การเรียนรู้ธรรมะ ก็คือ การเรียนรู้ความเป็นจริงของชีวิต การปฏิบัติธรรม ก็คือ การฝึกใจ ให้ยอมรับความเป็นจริงของชีวิต แล้วความเป็นจริงของชีวิตนั้น คืออะไร ชีวิตของคนเรา มีร่างกายกับจิตใจ และร่างกายของคนเราทุกคนนั้น ก็จะมีความทุกข์ติดตามมาด้วย ดังเช่นว่า เราต้องหิว เราต้องขับถ่าย เราต้องปวดเมื่อยเมื่อย เราอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ ไม่ได้ เราต้องเหนื่อยล้า จากการทำงานหนัก เราต้องง่วงนอน เป็นต้น ความทุกข์ดังกล่าวนี้ มีอยู่กับเราทุกวัน แต่เราก็บำบัดได้ง่าย หรือป้องกัน ก่อนที่ความทุกข์นั้น มันจะเกิดขึ้นก็ได้ อย่างเช่น เรากินก่อนที่จะหิว เราขับถ่ายก่อนที่จะปวด เราเปลี่ยนอิริยาบถก่อนที่จะปวดเมื่อย เราพักผ่อน ก่อนที่จะเหนื่อยล้า หรือเรานอนก่อนที่จะง่วง เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงเห็นว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่ความทุกข์ ทั้งๆ ที่อาการเหล่านี้ เป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของร่างกาย

สิ่งที่เราเห็นว่า เป็นความทุกข์ทางกาย ก็คือ ความแก่ ทำให้อวัยวะบางอย่างเสื่อมลง จนไม่สามารถ จะใช้การได้ตามปกติ ทำให้ช่วยตัวเองไม่ได้ ความเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง ทำให้เจ็บปวด ได้รับความทุกข์ทรมาน และความตาย ซึ่งคนทั่ว ก็ไปไม่อยากตาย เพราะไม่ว่า อยากพลัดพราก จากของรักของหวง แต่เราทุกคนก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตายด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อมีร่างกาย จึงมีความทุกข์ ติดมากับร่างกายด้วย เราจะปฏิเสธ ไม่อความทุกข์ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เราลองหันมาดูจิตใจของเรา ธรรมชาติของจิต มีหน้าที่อยู่ ๔ อย่าง คือ รับรู้ สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ โดยอาศัยประสาทสัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อรับสิ่งใด ก็จะจำในสิ่งนั้น รู้สึกต่อสิ่งนั้น และคิดต่อสิ่งนั้น แต่ร่างกาย ไม่มีความคิด จึงแสดงออก ในสิ่งที่เป็นอยู่ อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีมารยา เช่น หิว ก็แสดงอาการว่าหิวออกมา ง่วง เหนื่อยล้าหรือเจ็บป่วย ก็แสดงอาการนั้นๆ ออกมาให้เห็น เป็นต้น ซึ่งตรงข้ามกับจิตใจ ที่มากด้วยมารยา เพราะถูกกิเลสตัณหา ชักนำให้ลุ่มหลง ในสิ่งต่างๆ ที่มากด้วยอคติ ไม่มีความเที่ยงธรรม อยากได้ อยากมี อยากเป็น ในสิ่งที่ชาวโลก เขาชื่นชมนิยมกัน ครั้นเมื่อได้ หรือมี หรือเป็นในสิ่งที่ปรารถนา ก็หลงยึดติดในสิ่งนั้น ไม่อยากให้สิ่งนั้น เปลี่ยนแปลงไป ในทางเสื่อม และเมื่อสิ่งนั้น เปลี่ยนไปในทางที่ตนเอง เสียประโยชน์ ก็มีความทุกข์ นอกจากนี้ เมื่อปรารถนาสิ่งใดแล้ว ไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์ เป็นต้น

ความต้องการของคนเรานั้น ไม่มีที่สิ้นสุด และสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการ ก็ไม่มีจริงในโลก เช่น ต้องการให้สิ่งที่ตนรัก ตนพอใจ ดำรงอยู่เช่นนั้นตลอดไป ไม่ต้องการพลัดพราก จากสิ่งอันเป็นที่รัก หรือที่พอใจ ความต้องการเช่นนี้ มันไม่มีอยู่จริง เพราะทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่าง ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะร่างกายของเรา จะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความแก่ ความเจ็บ และความตาย จิตใจของคน อันสะท้อนออกมา เป็นนิสัยใจคอ และพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงไปตามกิเลสตัณหา ที่คอยบงการ จะยึดถือว่า ต้องเหมือนเดิมไม่ได้เลย ส่วนวัตถุสิ่งของ ที่ตนครอบครองอยู่ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเก่า ความชำรุดและทรุดโทรม แล้วที่สุด ก็ต้องพังลงไปเป็นธรรมดา
ชีวิตของเรา จึงมาด้วยความทุกข์ บางคนอยู่กับความทุกข์ โดยไม่รู้ว่ามีความทุกข์ บางคนเมื่อมีความทุกข์ เกิดขึ้นอย่างรุนแรงแล้ว ก็ไม่สามารถดับทุกข์ ของตนเองได้ และตรงกันข้าม กลับทำร้ายตนเอง ให้มีความทุกข์ยิ่งขึ้นไปอีก

ความทุกข์ของเรานั้น ก็เป็นเพราะมีใจเห็นผิด มีมิจฉาทิฐิ หรือมีความเห็นไม่สอดคล้อง กับความเป็นจริง ในทางธรรม ความเป็นจริงในทางธรรมนั้น เป็นสิ่งที่เป็นสากล เป็นจริงทุกกาลสมัย และเป็นจริงต่อมวลมนุษยชาติทุกศาสนา ทุกเผ่าพันธุ์ ความเป็นจริงที่ว่านี้ ก็คือ
๑. ทุกชีวิต เกิดมามีความทุกข์เป็นพื้นฐาน ไม่มีใครจะหนีความทุกข์ไปได้ แต่หากมีปัญญา ก็จะดับทุกข์ลงได้ ทุกข์ทางกายนั้น เป็นเรื่องของสังขาร ที่ต้องแก่ เจ็บ และตาย ส่วนทุกข์ทางใจ เป็นเรื่องของกิเลสตัณหา ธรรมะ จะช่วยพัฒนาจิต ให้มีปัญญา สู้กับกิเลสตัณหาได้ เมื่อจิตมีปัญญาที่เข้มแข็ง ก็จะไม่ทุกข์ใจ แม้ร่างกายจะเป็นทุกข์ แต่ใจของเราก็จะไม่เป็นทุกข์
๒. ทุกชีวิตสร้างกรรมดี และกรรมชั่ว ซึ่งเราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ทั้งกรรมเก่า ในอดีตชาติ ที่ยังให้ผลอยู่ และกรรมในชาติปัจจุบัน ที่ได้ทำไว้ ไม่มีใคร สามารถแบ่งเบา หรือรับกรรมแทนกันได้
๓. สรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งสิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คงทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ไม่สามารถบังคับได้ อย่างใจปรารถนา ว่าขอให้สิ่งทั้งหลาย จงเป็นไปอย่างที่ตนพอใจ และอยู่อย่างนั้นนานๆ อย่าได้เป็นไปในสิ่งที่ตนไม่ต้องการเลย ซึ่งเป็นไปไม่ได้

การรู้ความเป็นจริง แล้วฝึกใจยอมรับกับความเป็นจริง ใจก็จะปล่อยวาง ความยึดมั่น สำคัญผิด เป็นเหตุแห่งความทุกข์ นอกจากนี้ ใจของเราจะยกระดับขึ้นสู่การพัฒนา มีความเกรงกลัวต่อบาป ละอายต่อบาป ขจัดอารมณ์โกรธให้เบาบางลง มีความอดทน อดกลั้นมากยิ่งขึ้น ลดความเห็นแก่ตัว คิดทำประโยชน์ให้แก่ตนเอง และผู้อื่นมากยิ่งขึ้น ธรรมะนั้น เป็นเสมือนแสงสว่าง ที่ให้คนได้เห็นทางเดิน และนำไปสู่ สันติสุขของชีวิต ครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

บาปกรรมหนัก 3 ข้อ ของการเป็นชู้ คบชู้และนอกใจ

กรรมของคน ชอบใส่ร้ายป้ายสี และนินทาผู้อื่น

หนทาง 7 สาย กรรมดีกรรมชั่ว ชีวิตหลังความตาย

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

พุทธประวัติ EP.4 การจุติจากดุสิตลงสู่ครรภ์ เกิดแสงสว่าง และแผ่นดินไหว เนื่องด้วยการจุติ

ผ้าเปลือกปอ (เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม)

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

วันอาสาฬหบูชา มีความสำคัญอย่างไร

ประโยชน์ของการเจริญสมาธิ (สัมมาสมาธิ)