เกิดมาทำไม ทำไมต้องเกิด มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมีคติธรรมและข้อคิด
เรื่องที่หลายๆ ท่านอาจจะสงสัย ว่าเราเกิดมาทำไม
ทำไมต้องเกิด และมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มาฝากครับ
หลายๆท่าน อาจจะมีความสงสัยว่า เราเกิดมาทำไม ทำไมเราต้องเกิด และจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิด ของครูบาอาจารย์มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ได้คลายสงสัย เราเกิดมาทำไม และจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ความเข้าใจในเรื่องนี้ มีความสำคัญต่อชีวิตอย่างมาก เพราะหากว่าเรา เข้าใจผิด ก็จะดำเนินชีวิตไปในทางที่ผิดด้วย ความเข้าใจถูก จะนำพาชีวิตไปในทางที่ถูก และไม่เสียโอกาส ที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งกว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น ครูบาอาจารย์ ท่านกล่าวว่า เป็นของยากอย่างยิ่ง
ครูบาอาจารย์ ท่านได้ให้ข้อคิดเตือนสติไว้ว่า เหตุที่เรา ยังต้องเกิดมา หรืออยู่ในกระแส ของการเวียนว่ายตายเกิด (วัฏสงสาร) นั้น เพราะเราไม่รู้ความเป็นจริง หรืออวิชชา คือไม่รู้ในหลักของ อริยสัจสี่ ว่าชีวิต ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความทุกข์ และเหตุแห่งทุกข์ก็คือ ตัณหา อันได้แก่ ความอยาก หรือความยินดีพอใจ (กามตัณหา ภวตัณหา) กับความไม่ยินดีพอใจ (วิภวตัณหา) โดยมีความยึด หรืออุปาทาน ต่อตัณหาดังกล่าว นี่ก็คือเหตุ ที่นำเรามาเกิด หรือสายเกิดนั้นเอง ส่วนการที่เรา จะตัดกระแสของการเกิด หรือนิโรธนั้น ก็มีอยู่ นั่นก็คือ การถอดถอนตัณหา ออกจากจิตโดยสิ้นเชิง วิธีการที่จะปฏิบัติ เพื่อถอดถอนตัณหาได้ ก็คือ มรรคมีองค์แปด หากเราปฏิบัติตามมรรค ทั้งแปดองค์ได้สมบูรณ์แล้ว ก็จะถึงอรหัตผล ซึ่งไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ที่เรียกว่าสายดับ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก สำหรับเรา ที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรมะอย่างลึกซึ้ง อย่างจริงจัง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากเราจะลงมือปฏิบัติ ฉะนั้นลองมาดูกันว่า ที่เราได้เกิดมาแล้ว เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
เมื่อเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีชีวิตอยู่ เพื่อทำหน้าที่ และหน้าที่ ที่เราจะต้องทำ มีอยู่สองประเภทก็คือ
๑.หน้าที่ต่อผู้อื่น และสิ่งอื่น
๒.หน้าที่ต่อตนเอง
ซึ่งหน้าที่ต่อผู้อื่น ได้แก่ หน้าที่ต่อบุคคล ที่เราสัมพันธ์ด้วย นับตั้งแต่บุคคลใกล้ชิด ที่มีความสัมพันธ์กัน แนบแน่นในครอบครัว เช่น มารดา บิดา สามี ภรรยา บุตร ญาติพี่น้อง และห่างออกไป ก็มีมิตรสหาย บุคคลในองค์กร ที่เราร่วมงานด้วย ตลอดจน ผู้คนในสังคม ไม่เว้นแม้แต่สัตว์เลี้ยง ซึ่งเรา จะต้องปฏิบัติ ต่อบุคคลดังกล่าว ตามขนบธรรมเนียม ประเพณี ค่านิยม ตามกฎระเบียบข้อบังคับ และพันธกรณี ที่มีต่อกัน การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว มีเป้าหมาย ที่เราจะอยู่ร่วมกันโดยสันติสุข จึงต้องยึดหลัก ของการทำเพื่อประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น อยู่อย่างเอาใจเขา มาใส่ใจเรา รู้จักรับผิดชอบในหน้าที่ รู้จักข่มใจ ต่อสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย มีความอดทนอดกลั้น ต่อความทุกข์ยากลำบาก ทั้งทางใจ และทางกาย รู้จักเสียสละแบ่งปัน รู้จักให้อภัยผู้อื่น นอกจากนี้ ควรให้หลักพรหมวิหารธรรม อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา มาเป็นแนวทาง ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ธรรมดังกล่าวนี้ เป็นหลักธรรมกว้างๆ แต่เราก็ใช้ได้ผลดี
การทำหน้าที่ต่อผู้อื่น จะต้องมีความเข้าใจว่า คนเรานั้น มีความแตกต่างกัน ทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ พฤติกรรม จึงต่างกันเป็นธรรมดา เมื่อเป็นเช่นนี้ จะให้คนที่เราสัมพันธ์ด้วย มีพฤติกรรม อย่างที่เราต้องการ ในทุกกรณีนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ เราจะต้องเข้าใจ ในความแตกต่าง ยอมรับ กับความแตกต่าง โดยเราไม่แตกแยก ส่วนหน้าที่ต่อสิ่งอื่น หมายถึง ต่อสิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ เช่น ของใช้ เพื่อการยังชีพ และประกอบธุรกิจการงาน เราก็ต้องมีหน้าที่ ดูแลรักษา เพื่อยืดอายุการใช้งาน หรือเพื่อชะลอความเสื่อม แต่อย่างไรก็ตาม วัตถุสิ่งของทั้งหลาย มีธรรมชาติ ที่จะต้องเสื่อมไป เป็นธรรมดา ต่อให้ดูแลรักษา ดีเพียงใดก็ตาม ก็ไม่สามารถ ทำให้มันคงอยู่ในสภาพเดิมได้
หน้าที่ต่อตนเอง ในข้อแรกนั้น หน้าที่ในการเลี้ยงดูกาย ซึ่งคนส่วนใหญ่ ก็จะเอาใจใส่ ในการเลี้ยงดูกายของตัวเองอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน จะเลือกกิน แต่อาหารที่ตนเองชอบ แม้ว่าอาหารบางอย่าง จะไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพก็ตาม ซึ่งหากบริโภคเข้าไปมากๆ กลับเป็นผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย โรคภัยไข้เจ็บหลายอย่าง จึงเข้าทางปาก และการดูแลรักษาร่างกาย ก็เพื่อให้มีอายุยืนยาว มีสุขภาพดี แต่ว่า ต่อให้เราดูแลรักษาสุขภาพ ดีเพียงใดก็ตาม ร่างกายของเรา ก็ต้องแก่ เจ็บ และตายเป็นธรรมดา ไม่ต่างไปจาก การดูแลรักษาวัตถุสิ่งของเช่นกัน เราจึงต้องเตรียมใจ ที่จะยอมรับความแก่ ความเจ็บ และความตาย ซึ่งกำลังเดินทางเข้ามา ด้วยใจที่กล้าหาญ ไม่หวั่นไหว เพราะเป็นความจริง ที่ทุกคนจะต้องพบเจอ
และหน้าที่ ต่อตนเองอีกประการหนึ่งที่สำคัญ ก็คือ การดูแลรักษา และพัฒนาจิตใจ ซึ่งมีความสำคัญที่สุด สำหรับการเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะจิตที่ได้รับการพัฒนาแล้ว จะนำสุขมาให้ นอกจากนี้ จะคิดทำการสิ่งใด ก็ย่อมดี นำคุณประโยชน์มาสู่ตนเอง และผู้อื่น คนเรานั้น จะดีจะชั่ว จะสุขหรือทุกข์ ก็ขึ้นอยู่กับจิตของตน ทุกคนต่างก็ปรารถนาความสุข แต่กลับสร้างทุกข์ ให้ตนเองอยู่ร่ำไป เรารู้ว่า อารมณ์เหล่านี้เป็นทุกข์ เช่น ความโกรธ ความเครียด ความวิตกกังวล ความห่วงใย ความอิจฉาริษยา ความเหงา ซึมเศร้า แต่เรา ก็กลับมาปล่อยให้อารมณ์เหล่านี้ เกิดขึ้น กับตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่สามารถระงับยั้ง หรือสลัด ละวางออกจากจิต กลับสร้างความคุ้นเคย เป็นพฤติกรรมของจิต จนยากที่จะแก้ไขได้
การเลี้ยงดูกายนั้น หากอาหารชนิดใดที่บูดเน่า เป็นของเสีย หรือมีรสไม่อร่อย เราก็จะไม่กิน แต่กับจิตใจ เรากลับให้จิต เสพของเสียที่บูดเน่า คำพูดส่อเสียด นินทาว่าร้าย หรือพฤติกรรมที่ไม่ดี ของคนบางคน เป็นเสมือนของเสียที่บูดเน่า เพราะแสดงออกมา จากใจที่เสีย เมื่อสิ่งนั้นมากระทบ เรากลับรับมาเสพ เป็นอารมณ์ของจิต จิตจึงพลอยเสียไปด้วย แทนที่จะรีบเอาไปทิ้งเสีย กลับหวงแหน เก็บเอาไว้เสพ หรือครุ่นคิดอยู่เรื่อยไป โดยที่ไม่มีใครบังคับ ให้ทำเช่นนั้น ความรู้ต่างๆ ที่อุตส่าห์เล่าเรียนมา ในทางโลก กลับไม่ช่วยอะไรได้เลย มีความรู้ท่วมหัว แต่ก็เอาตัวไม่รอด จากความทุกข์ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะทุกคนเกิดมา มีกิเลสตัณหา ติดมากับตัวด้วย หากหมดกิเลสตัณหา ก็คงไม่ต้องเกิดอีก กิเลสตัณหา ไม่เคยเกรงกลัวใคร และไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะเอาชนะมันได้ มีแต่ธรรมะเท่านั้น ที่จะเอาชนะกิเลสตัณหาได้ การดูแลรักษา และพัฒนาจิต จึงต้องใช้ธรรมะ เป็นเครื่องมือ ในการพัฒนา เพราะลำพังความรู้ทางโลก มีแต่จะส่งเสริม ให้กิเลสตัณหา และอุปาทาน มีกำลังเข้มแข็งขึ้น ไม่สามารถ ที่จะสร้างสันติสุข ภายในให้เกิดขึ้น ได้อย่างแท้จริง
พระพุทธองค์ ทรงให้แนวทาง ในการพัฒนาจิตไว้ ก็คือ สมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน ทางปฏิบัติทั้งสองนี้ จะช่วยให้จิตได้รับการพัฒนา จากจิตหยาบ ไร้คุณธรรม สู่จิตประณีต มีคุณธรรม จากจิตที่มากด้วยความทุกข์ ไปสู่จิตที่มีสันติสุข จากจิตที่มากด้วยตัณหา ไปสู่จิต ที่เปี่ยมด้วยปัญญา หรือวิชชา เปลี่ยนจากจิตปุถุชน เข้าสู่ จิตอริยชนได้ในที่สุด ครับ ขอให้ทุกท่าน ใช้โอกาส ของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พัฒนาจิตของเราเอง ตามแนวทางที่พระพุทธองค์ประทานไว้ อย่าให้เสียโอกาส ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
หลายๆท่าน อาจจะมีความสงสัยว่า เราเกิดมาทำไม ทำไมเราต้องเกิด และจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิด ของครูบาอาจารย์มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ได้คลายสงสัย เราเกิดมาทำไม และจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ความเข้าใจในเรื่องนี้ มีความสำคัญต่อชีวิตอย่างมาก เพราะหากว่าเรา เข้าใจผิด ก็จะดำเนินชีวิตไปในทางที่ผิดด้วย ความเข้าใจถูก จะนำพาชีวิตไปในทางที่ถูก และไม่เสียโอกาส ที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งกว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น ครูบาอาจารย์ ท่านกล่าวว่า เป็นของยากอย่างยิ่ง
ครูบาอาจารย์ ท่านได้ให้ข้อคิดเตือนสติไว้ว่า เหตุที่เรา ยังต้องเกิดมา หรืออยู่ในกระแส ของการเวียนว่ายตายเกิด (วัฏสงสาร) นั้น เพราะเราไม่รู้ความเป็นจริง หรืออวิชชา คือไม่รู้ในหลักของ อริยสัจสี่ ว่าชีวิต ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความทุกข์ และเหตุแห่งทุกข์ก็คือ ตัณหา อันได้แก่ ความอยาก หรือความยินดีพอใจ (กามตัณหา ภวตัณหา) กับความไม่ยินดีพอใจ (วิภวตัณหา) โดยมีความยึด หรืออุปาทาน ต่อตัณหาดังกล่าว นี่ก็คือเหตุ ที่นำเรามาเกิด หรือสายเกิดนั้นเอง ส่วนการที่เรา จะตัดกระแสของการเกิด หรือนิโรธนั้น ก็มีอยู่ นั่นก็คือ การถอดถอนตัณหา ออกจากจิตโดยสิ้นเชิง วิธีการที่จะปฏิบัติ เพื่อถอดถอนตัณหาได้ ก็คือ มรรคมีองค์แปด หากเราปฏิบัติตามมรรค ทั้งแปดองค์ได้สมบูรณ์แล้ว ก็จะถึงอรหัตผล ซึ่งไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ที่เรียกว่าสายดับ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก สำหรับเรา ที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรมะอย่างลึกซึ้ง อย่างจริงจัง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากเราจะลงมือปฏิบัติ ฉะนั้นลองมาดูกันว่า ที่เราได้เกิดมาแล้ว เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
เมื่อเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีชีวิตอยู่ เพื่อทำหน้าที่ และหน้าที่ ที่เราจะต้องทำ มีอยู่สองประเภทก็คือ
๑.หน้าที่ต่อผู้อื่น และสิ่งอื่น
๒.หน้าที่ต่อตนเอง
ซึ่งหน้าที่ต่อผู้อื่น ได้แก่ หน้าที่ต่อบุคคล ที่เราสัมพันธ์ด้วย นับตั้งแต่บุคคลใกล้ชิด ที่มีความสัมพันธ์กัน แนบแน่นในครอบครัว เช่น มารดา บิดา สามี ภรรยา บุตร ญาติพี่น้อง และห่างออกไป ก็มีมิตรสหาย บุคคลในองค์กร ที่เราร่วมงานด้วย ตลอดจน ผู้คนในสังคม ไม่เว้นแม้แต่สัตว์เลี้ยง ซึ่งเรา จะต้องปฏิบัติ ต่อบุคคลดังกล่าว ตามขนบธรรมเนียม ประเพณี ค่านิยม ตามกฎระเบียบข้อบังคับ และพันธกรณี ที่มีต่อกัน การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว มีเป้าหมาย ที่เราจะอยู่ร่วมกันโดยสันติสุข จึงต้องยึดหลัก ของการทำเพื่อประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น อยู่อย่างเอาใจเขา มาใส่ใจเรา รู้จักรับผิดชอบในหน้าที่ รู้จักข่มใจ ต่อสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย มีความอดทนอดกลั้น ต่อความทุกข์ยากลำบาก ทั้งทางใจ และทางกาย รู้จักเสียสละแบ่งปัน รู้จักให้อภัยผู้อื่น นอกจากนี้ ควรให้หลักพรหมวิหารธรรม อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา มาเป็นแนวทาง ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ธรรมดังกล่าวนี้ เป็นหลักธรรมกว้างๆ แต่เราก็ใช้ได้ผลดี
การทำหน้าที่ต่อผู้อื่น จะต้องมีความเข้าใจว่า คนเรานั้น มีความแตกต่างกัน ทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ พฤติกรรม จึงต่างกันเป็นธรรมดา เมื่อเป็นเช่นนี้ จะให้คนที่เราสัมพันธ์ด้วย มีพฤติกรรม อย่างที่เราต้องการ ในทุกกรณีนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ เราจะต้องเข้าใจ ในความแตกต่าง ยอมรับ กับความแตกต่าง โดยเราไม่แตกแยก ส่วนหน้าที่ต่อสิ่งอื่น หมายถึง ต่อสิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ เช่น ของใช้ เพื่อการยังชีพ และประกอบธุรกิจการงาน เราก็ต้องมีหน้าที่ ดูแลรักษา เพื่อยืดอายุการใช้งาน หรือเพื่อชะลอความเสื่อม แต่อย่างไรก็ตาม วัตถุสิ่งของทั้งหลาย มีธรรมชาติ ที่จะต้องเสื่อมไป เป็นธรรมดา ต่อให้ดูแลรักษา ดีเพียงใดก็ตาม ก็ไม่สามารถ ทำให้มันคงอยู่ในสภาพเดิมได้
หน้าที่ต่อตนเอง ในข้อแรกนั้น หน้าที่ในการเลี้ยงดูกาย ซึ่งคนส่วนใหญ่ ก็จะเอาใจใส่ ในการเลี้ยงดูกายของตัวเองอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน จะเลือกกิน แต่อาหารที่ตนเองชอบ แม้ว่าอาหารบางอย่าง จะไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพก็ตาม ซึ่งหากบริโภคเข้าไปมากๆ กลับเป็นผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย โรคภัยไข้เจ็บหลายอย่าง จึงเข้าทางปาก และการดูแลรักษาร่างกาย ก็เพื่อให้มีอายุยืนยาว มีสุขภาพดี แต่ว่า ต่อให้เราดูแลรักษาสุขภาพ ดีเพียงใดก็ตาม ร่างกายของเรา ก็ต้องแก่ เจ็บ และตายเป็นธรรมดา ไม่ต่างไปจาก การดูแลรักษาวัตถุสิ่งของเช่นกัน เราจึงต้องเตรียมใจ ที่จะยอมรับความแก่ ความเจ็บ และความตาย ซึ่งกำลังเดินทางเข้ามา ด้วยใจที่กล้าหาญ ไม่หวั่นไหว เพราะเป็นความจริง ที่ทุกคนจะต้องพบเจอ
และหน้าที่ ต่อตนเองอีกประการหนึ่งที่สำคัญ ก็คือ การดูแลรักษา และพัฒนาจิตใจ ซึ่งมีความสำคัญที่สุด สำหรับการเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะจิตที่ได้รับการพัฒนาแล้ว จะนำสุขมาให้ นอกจากนี้ จะคิดทำการสิ่งใด ก็ย่อมดี นำคุณประโยชน์มาสู่ตนเอง และผู้อื่น คนเรานั้น จะดีจะชั่ว จะสุขหรือทุกข์ ก็ขึ้นอยู่กับจิตของตน ทุกคนต่างก็ปรารถนาความสุข แต่กลับสร้างทุกข์ ให้ตนเองอยู่ร่ำไป เรารู้ว่า อารมณ์เหล่านี้เป็นทุกข์ เช่น ความโกรธ ความเครียด ความวิตกกังวล ความห่วงใย ความอิจฉาริษยา ความเหงา ซึมเศร้า แต่เรา ก็กลับมาปล่อยให้อารมณ์เหล่านี้ เกิดขึ้น กับตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่สามารถระงับยั้ง หรือสลัด ละวางออกจากจิต กลับสร้างความคุ้นเคย เป็นพฤติกรรมของจิต จนยากที่จะแก้ไขได้
การเลี้ยงดูกายนั้น หากอาหารชนิดใดที่บูดเน่า เป็นของเสีย หรือมีรสไม่อร่อย เราก็จะไม่กิน แต่กับจิตใจ เรากลับให้จิต เสพของเสียที่บูดเน่า คำพูดส่อเสียด นินทาว่าร้าย หรือพฤติกรรมที่ไม่ดี ของคนบางคน เป็นเสมือนของเสียที่บูดเน่า เพราะแสดงออกมา จากใจที่เสีย เมื่อสิ่งนั้นมากระทบ เรากลับรับมาเสพ เป็นอารมณ์ของจิต จิตจึงพลอยเสียไปด้วย แทนที่จะรีบเอาไปทิ้งเสีย กลับหวงแหน เก็บเอาไว้เสพ หรือครุ่นคิดอยู่เรื่อยไป โดยที่ไม่มีใครบังคับ ให้ทำเช่นนั้น ความรู้ต่างๆ ที่อุตส่าห์เล่าเรียนมา ในทางโลก กลับไม่ช่วยอะไรได้เลย มีความรู้ท่วมหัว แต่ก็เอาตัวไม่รอด จากความทุกข์ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะทุกคนเกิดมา มีกิเลสตัณหา ติดมากับตัวด้วย หากหมดกิเลสตัณหา ก็คงไม่ต้องเกิดอีก กิเลสตัณหา ไม่เคยเกรงกลัวใคร และไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะเอาชนะมันได้ มีแต่ธรรมะเท่านั้น ที่จะเอาชนะกิเลสตัณหาได้ การดูแลรักษา และพัฒนาจิต จึงต้องใช้ธรรมะ เป็นเครื่องมือ ในการพัฒนา เพราะลำพังความรู้ทางโลก มีแต่จะส่งเสริม ให้กิเลสตัณหา และอุปาทาน มีกำลังเข้มแข็งขึ้น ไม่สามารถ ที่จะสร้างสันติสุข ภายในให้เกิดขึ้น ได้อย่างแท้จริง
พระพุทธองค์ ทรงให้แนวทาง ในการพัฒนาจิตไว้ ก็คือ สมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน ทางปฏิบัติทั้งสองนี้ จะช่วยให้จิตได้รับการพัฒนา จากจิตหยาบ ไร้คุณธรรม สู่จิตประณีต มีคุณธรรม จากจิตที่มากด้วยความทุกข์ ไปสู่จิตที่มีสันติสุข จากจิตที่มากด้วยตัณหา ไปสู่จิต ที่เปี่ยมด้วยปัญญา หรือวิชชา เปลี่ยนจากจิตปุถุชน เข้าสู่ จิตอริยชนได้ในที่สุด ครับ ขอให้ทุกท่าน ใช้โอกาส ของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พัฒนาจิตของเราเอง ตามแนวทางที่พระพุทธองค์ประทานไว้ อย่าให้เสียโอกาส ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น