รู้จักกิเลส จากการเล่นโซเชียล สร้างเวรสร้างกรรมไม่รู้ตัว

สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมีคติธรรมและข้อคิด เรื่องของกิเลส ที่เกิดจากการเล่นโซเชียล จนทำให้เราสร้างเวรสร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว มาฝากครับ



ในยุคสมัยนี้ การใช้โซเชียลนั้น มีประโยชน์มากมายก็จริง แต่หากว่า เราหลงอยู่กับมันมากจนเกินไป หรือยึดติดกับมันมากจนเกินไป สิ่งที่มันเป็นประโยชน์ ก็อาจจะกลับมา สร้างความทุกข์ ให้กับเราได้ ในภายหลัง คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิด เรื่องของอุปกิเลส ๑๖ ประการ ที่แฝงมากับการเล่นโซเชียล มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิด ให้กับทุกท่านในการเล่นโซเชียล เพราะทุกวันนี้ มีคนจำนวนมากมาย ที่ตกเป็นทาสของโลกโซเชียล ไม่ว่าทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ทั้งคนที่มีการศึกษา และคนไร้การศึกษา ทั้งคนเก่ง และคนไม่เก่ง ทั้งคนธรรมดา และคนดังต่างๆ แต่เมื่อตราบใด ที่เราไม่ได้ใช้มันอย่างมีสติ มันก็ ย่อมจะกลืนกินชีวิตของเรา ไปสู่โลกเสมือนจริง มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนทุกวันนี้ ก็แทบจะไม่มองหน้ากันแล้ว เราเอาแต่ มองหน้าจอกันตลอดเวลา ในหนึ่งปี เราแทบนับครั้งได้ว่า เรามองท้องฟ้ากี่ครั้ง พ่อแม่อยู่กับลูก นั่งมองจอ ลูกอยู่กับพ่อแม่ ก็นั่งมองจอ อ่านคำชมบนจอเสร็จ ก็มานั่งเถียงกับคนในครอบครัวต่อ หรือเถียงกันเอง ในเรื่องคนอื่น ซึ่งหลายๆ ครอบครัวก็เป็นแบบนี้ เราอาจจะไม่อยากจะเชื่อว่า มันจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว การพิจารณาจิต คือ ตามรู้จิตตลอดกาลตลอดเวลา ทั้งเมื่ออยู่ในอิริยาบถตามปกติ และเมื่อตั้งใจปฏิบัติ เมื่อเราตั้งใจพิจารณา ตามดูจิตแล้ว เราจะมองเห็นอาการของจิตต่างๆ ทำให้เข้าใจจริต นิสัยของตัวเองมากขึ้น เมื่อเราเข้าใจตัวเอง ยอมรับตัวเอง ตามความเป็นจริง ก็จะเป็นพื้นฐาน ในการปรับปรุงพัฒนาตนเอง คือเมื่อรู้สึกตัวแล้ว ก็จะไม่หลงไปตามอามรณ์ จิตเดิมแท้ของเราทุกคน เป็นประภัสสร บริสุทธิ์ผ่องใส โดยธรรมชาติ แต่กิเลสเป็นอาคันตุกะ ที่จรเข้ามาครอบงำจิต ทำให้จิตเศร้าหมอง กิเลสหรืออกุศลมูล อันได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ เมื่อมีเหตุปัจจัย ประสมประสานกันแล้ว ก่อตัวขึ้นมาเป็นอุปนิสัยต่างๆ มี 16 ลักษณะ เรียกว่า อุปกิเลส 16 เราลองมาดูกันครับว่า กิเลสต่างๆ ที่แฝงมากับการเล่นโซเซียล จนทำให้เรานั้น สร้างเวรสร้างกรรม ให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว จะมีกิเลสอะไรบ้าง ไปชมกันเลย



๑. อภิชฌาวิสมโลภะ คือ ความละโมภ อยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่างไม่รู้จักพอ เห็นแก่ได้จนลืมตัว อย่างเช่น เมื่อเราเห็นใคร โพสรูปภาพบ้านหลังใหญ่ๆ รถหรูๆ อาหารดีๆ หรือรูปภาพ การพักผ่อน ในโรงแรมสวยๆ รูปภาพชีวิตหรูหรา เราก็เกิดความรู้สึก อยากได้อยากมีเหมือนอย่างคนอื่น เกิดความไม่พอใจชีวิตของตนเอง จนเกิดความโลภ เกิดความทุกข์ แล้วก็หดหูใจว่า ทำไมชีวิตของคนอื่น จึงดีกว่าชีวิตของตนเอง และพอนานวันเข้า ก็จะพัฒนาไปสู่ความโลภ อยากได้ ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง จนมีความรู้สึกว่า อยากจะโพส อยากจะอวดเหมือนอย่างคนอื่นเขาบ้าง เป็นต้น

๒. พยาบาท คือความคิดร้าย มุ่งจะทำร้ายเขา ใครพูดไม่ถูกใจก็คิดตำหนิเขา คิดจะทำร้ายฆ่าเขาก็มี บางครั้งทำร้ายผู้อื่นไม่ได้ ก็หันมาตำหนิตัวเอง ทำร้ายตัวเอง จนฆ่าตัวตายก็มี ซึ่งเป็นเพราะอำนาจพยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ อย่างเช่น เมื่อเราเปิดเฟสเปิดไลน์ ส่องดูคนอื่น แล้วเห็นคนที่ตนเองเกลียด เขามีความสุข เราก็มีความคิดหมั่นไส้ ไม่สบอารมย์ แต่ขณะเดียวกัน เมื่อเราเปิดดูแล้ว กลับเห็น คนที่ตนเองเกลียด เขากำลังมีความทุกข์อย่างหนัก หรือกำลังมีปัญหาชีวิต เรากลับรู้สึกยินดี และพอใจ เป็นต้น

๓. โกธะ คือ ความโกรธ มีอะไรมากระทบ ก็โกรธ เป็นลักษณะโกรธง่าย แต่เมื่อหายแล้ว ก็เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คือไม่ผูกใจเจ็บ ไม่พยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ อย่างเช่น เมื่อเราเห็น ใครโพสสิ่งใดที่ไม่ถูกใจ หรือไม่ตรงกับ ความคิดของตัวเอง เราก็นึกโกรธเขาอย่างมาก และก็จับโยง ความคิดของคนอื่น มาปะทะ กับความคิดของตนเอง จนกลายเป็นความทุกข์ใจ เป็นต้น

๔. อุปนาหะ คือ การผูกโกรธ ใครพูดอะไร ทำอะไรให้เกิดความโกรธแล้ว จะผูกใจเจ็บ เก็บไว้ ไม่ปล่อย ไม่ลืม เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น กระทบอารมณ์เมื่อไร ก็เอาเรื่องเก่ามาคิดรวมกัน คิดทวนเรื่องในอดีตว่า เขาเคยทำไม่ดีกับเราขนาดไหน เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ หรือมีความโกรธ เพราะคิดเห็นต่างกัน ก็ผูกใจเกลียนคนๆ นั้น โดยไร้เหตุผล เป็นต้น

๕. มักขะ คือ การลบหลู่คุณท่าน ปิดบังความดีของผู้อื่น ลบหลู่ความดีของผู้อื่น เช่น เขาให้ของแก่เรา แทนที่จะขอบคุณ กลับนึกตำหนิเขาว่า เอาของไม่ดีมาให้ หรือเมื่อมีใครพูดถึงความดีของเขา เราทนไม่ได้ เราไม่ชอบ จึงยกเรื่องที่ไม่ดี ของเขามาพูด เพื่อปฏิเสธว่า เขาไม่ใช่คนดีถึงขนาดนั้น เป็นต้น หรือ เห็นใครทำความดี ก็นึกหมั่นไส้เขา เห็นคำสอนปราชญ์ คำสอนพระ คำสอนศาสดา คำสอนผู้รู้ใดๆ ที่ไม่เข้ากับความคิดของตน ก็นึกดูแคลน พยามใช้ความคิดของตนหักล้าง ทั้งที่รู้ว่า สิ่งที่เขานำเสนอนั้น เป็นสิ่งที่มีประโยชน์

๖. ปลาสะ คือ การตีเสมอ ยกตัวเทียมท่าน ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตน แต่ชอบยกตัวเอง ดีกว่าเขา มักแสดงให้เขาเห็นว่า เราคิดเก่งกว่า รู้ดีกว่า ถ้าให้เราทำ เราจะทำให้ดีกว่าเขาได้ หรือไม่เคยชื่นชมใคร เห็นใครโพสอะไร ก็ไม่พอใจไปหมด ฟาดงวงฟาดงา เห็นอะไร ก็ขวางหูขวางตาไปหมด เป็นต้น

๗. อิสสา คือ ความริษยา เห็นเขาได้ดี ทนไม่ได้ เมื่อเห็นเขาได้ดีมากกว่าเรา เขาได้รับความรัก ความเอาใจใส่มากกว่าเรา เรารู้สึกน้อยใจ อยากจะได้เหมือนอย่างเขา ทั้งที่ความจริงเรา อาจจะมีมากกว่าเขาอยู่แล้ว หรือเรากับเขา ต่างก็ได้รับเท่ากัน แต่เราก็ยังเกิดความรู้สึกน้อยใจ จิตเกิดความอิจฉา จนทนไม่ได้ ต้องพิมพ์ ต้องแสดงออก ด้วยการเสียดสีประชดประชัน โพส เม้น วิจารณ์ด้วยความไม่สุภาพ ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น

๘. มัจฉริยะ คือ ความตระหนี่ ขี้เหนียว เสียดายของ ยึดในสิ่งของ ที่เราครอบครองอยู่อย่างเหนียวแน่น อยากแต่จะเก็บเอาไว้ ไม่อยากให้ใคร อย่างเช่น เมื่อเราโพสสิ่งใดไปแล้ว หรือแสดงสิ่งใดไปแล้ว วันหนึ่ง มีผู้อื่นนำความคิด หรือบทความของตนเองไปดัดแปลง ไม่ให้เครดิต ก็นึกเสียดาย เกิดความทุกข์ นึกหวงความรู้ของตนขึ้นมา ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า โลกโซเชียลนั้น เป็นโลกที่ควบคุมได้ยาก เป็นต้น

๙. มายา คือ เจ้าเล่ห์หลอกลวง ไม่จริงใจ พยายามแสดงบทบาทตัวเอง เกินความจริง หรือจริงๆ แล้ว เรามีน้อย แต่พยายามแสดงออกให้คนอื่นเข้าใจว่า มั่งมี เช่น ด้วยการแต่งตัว กินอยู่อย่างหรูหรา หรือบางกรณี ใจเราคิดตำหนิติเตียนเขา แต่กลับแสดงออก ด้วยการพูดชื่นชมอย่างมาก หรือบางทีเรา ไม่ได้มีความรู้มาก แต่ชอบคุยแสดงว่ารู้มาก เป็นต้น ยึดติดอยู่กับโลกมายา ฝังตัวอยู่หน้าคอม หน้าจอ ไปไหนมาไหน เปิดดูโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา ยึดติดกับยอดไลค์ ยอดเม้น ยอดแชร์ หลงอยู่ในมายาของโลกโซเชียล ไม่สามารถหยุดติดต่อ กับโลกโซเชียลได้นานๆ พึ่งพาโลกโซเชียล สร้างความสุขแบบปลอมๆ ให้กับตนเอง เป็นต้น

๑๐. สาเถยยะ คือ การโอ้อวด หลอกลวงเขา ชอบอวดว่าดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา พยายามแสดงให้เขาเห็น เพื่อให้เขาเกิดอิจฉาเรา เมื่อได้โอ้อวดแล้ว จะมีความสุข อย่างเช่น โพสสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง สร้างภาพว่าตนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ตนเอง ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย นำไปสู่การยึดติด กับภาพลักษณ์ที่ตนสร้างขึ้น ต้องฉลาดอยู่ตลอดเวลา ต้องแสนดีอยู่ตลอดเวลา ต้องสวย ต้องหล่ออยู่ตลอดเวลา ภาพลักษณ์ ต้องดูดีอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านี้ ก็นำมาซึ่ง ความทุกข์ในชีวิตจริงของตนเอง

๑๑. ถัมภะ คือ ความดื้อ ความกระด้าง ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง ใครแนะนำอะไรให้ ก็ไม่ยอมรับฟัง อย่างเช่น เมื่อมีใครแสดงความคิดเห็น ที่แตกต่าง ก็จะรีบโต้เถียงในทันที จ้องแต่จะเถียง โดยไม่ได้นำความคิดนั้น มาตรึกตรองจนเกิดปัญญา โพสระบายความในใจ อย่างไร้เหตุผล ไหลไปตามอารมณ์ ของตนเป็นใหญ่ บ่นตลอดเวลา ระบายอารมณ์อยู่ตลอดเวลา เป็นต้น

๑๒. สารัมภะ คือ การแข่งดี มุ่งแต่จะเอาชนะคนอื่นอยู่ตลอดเวลา จะพูดจะทำอะไร ต้องเหนือกว่าเขาตลอด เช่น เมื่อพูดเถียงกัน ก็อ้างเหตุผลต่างๆ นานา เพื่อเอาชนะให้ได้ ถึงแม้ความจริงแล้ว ตัวเองผิด ก็จะไม่ยอมแพ้ หรือ คอยแต่จะเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น แข่งดีแข่งเด่นกับเขา เขามีคนกดไลค์กี่คนแล้ว เรามีกี่คนแล้ว เขามีเพื่อนกี่คนแล้ว มีคนเม้น คนแชร์กี่คนแล้ว ทำไมของเขามีเยอะ ทำไมของเราจึงมีเท่านี้ ตั้งหน้าตั้งตา เอาชนะกันในเรื่องไร้สาระ ทั้งที่ อาจจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ

๑๓. มานะ คือ ความถือตัว ทะนงตน อย่างเช่น เมื่อมีคนกดไลค์มากๆ มีคนชื่นชมมากๆ ก็หลงว่าตนเก่ง ตนดีกว่าเขา ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกคนย่อมมีทั้งด้านดี และไม่ดี มีสิ่งที่เชี่ยวชาญ และสิ่งที่โง่เขลา มีสิ่งที่พิเศษ และสิ่งที่ธรรมดา เมื่อหลงตนเองมากๆ เข้า อัตตาตัวตน ก็จะขยายตัวใหญ่ขึ้น เกิดเป็นมานะทิฐิว่า ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่ ข้าคือคนสำคัญ เป็นต้น

๑๔. อติมานะ คือ การดูหมิ่นท่าน ความถือตัวว่า เราดียิ่งกว่าเขา ทำให้ดูถูก ดูหมิ่นคนอื่น เมื่อคิดว่าตน ดีกว่าใคร ก็จะเริ่มดูถูกผู้อื่น เริ่มพูด เริ่มเม้น เริ่มแสดงความคิดเห็น ประชดประชันว่า ตนดีกว่าเขา ดีกว่าคนอื่น เป้นต้น

๑๕. มทะ คือ ความมัวเมา หลงว่ายังเป็นหนุ่มเป็นสาว ยังไม่แก่ ยังไม่ตาย หลงในอำนาจ หลงในตำแหน่ง คิดว่าเรา จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป แล้วก็ทำอะไรเกินเหตุ หลงยึดติดอยู่กับยอดไลค์ ยอดเม้น คำชื่นชมในโลกโซเชียล เปิดอ่านคำชมทั้งวัน ปล่อยให้ใจฟู ไปกับคำชมทั้งวัน คุยแต่ว่าวันนี้ มีใครมาชมบ้าง พัฒนาไปสู่ความมัวเมา ต่อคำสรรเสริญเยินยอ เป็นต้น

๑๖. ปมาทะ คือ ความประมาท เลินเล่อ ไม่คิดให้รอบคอบ อาการที่ขาดสติ ขาดปัญญา อย่างเช่น ใช้เวลาอยู่ในโลกโซเชียลนานจนเกินไป จนไม่ได้ทำอะไร เป็นชิ้นเป็นอันในชีวิตจริง ละเลยการงาน ครอบครัว สุขภาพ หมดเวลา อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือจอโทรศัพท์ ทำให้ชีวิตจริง ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ เป็นต้น

อุปกิเลสทั้ง ๑๖ ประการนี้ แสดงให้เห็นว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นอกาลิโก ไม่จำกัดกาล เป็นสัจจะ เป็นของจริง ที่นำมาสอนใจตนเอง และสอดส่องความเป็นไป ของสังคมได้ทุกยุคทุกสมัย เพราะกิเลสทั้ง ๑๖ ประการนี้ เมื่อเกิดกับใครแล้ว พระพุทธเจ้าท่านเตือนไว้ว่า จะนำไปสู่ความขุ่นมัวในเบื้องต้น หากไม่พยายามสะสาง จะนำไปสู่ความชั่วช้าในรูปแบบอื่นๆ ได้ เพราะฉะนั้น ก็จงเล่นโซเชียล อย่างมีสติ มีปัญญา เพื่อจะได้เกิดประโยชน์ แก่ตนเองอย่างสูงสุด ครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

บาปกรรมหนัก 3 ข้อ ของการเป็นชู้ คบชู้และนอกใจ

กรรมของคน ชอบใส่ร้ายป้ายสี และนินทาผู้อื่น

หนทาง 7 สาย กรรมดีกรรมชั่ว ชีวิตหลังความตาย

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

พุทธประวัติ EP.4 การจุติจากดุสิตลงสู่ครรภ์ เกิดแสงสว่าง และแผ่นดินไหว เนื่องด้วยการจุติ

ผ้าเปลือกปอ (เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม)

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

วันอาสาฬหบูชา มีความสำคัญอย่างไร

เปรตรับผลบุญได้ การสงเคราะห์ผู้ล่วงลับไปแล้ว