ความสุข จากการให้อภัย ที่เป็นทานขั้นสูง
สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมีคติธรรมและข้อคิด
เรื่องของความสุข จากการให้อภัย
ที่เป็นทานขั้นสูง มาฝาก ครับ
มนุษย์เรา มีแนวโน้มในจิตใจแต่กำเนิด ที่จะโต้ตอบ ในทางลบมากขึ้น ต่อคนที่แสดงออกทางลบต่อเรา ธรรมชาตินี้เอง เป็นที่มาของการแก้แค้นกัน และตอบโต้กัน จนไม่รู้จักจบสิ้น เมื่อการแก้แค้นเกิดขึ้น การกระทำนั้น ก็มักจะมีความรุนแรง มากกว่าที่ถูกกระทำในตอนแรก จึงมีแนวโน้ม ให้เกิดวงจรการล้างแค้น ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราพบเห็นตัวอย่าง การโต้ตอบที่รุนแรง มากมายในสงคราม และประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การให้อภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยตัด และลดทอนการแก้แค้น ซึ่งมีแต่จะเพิ่มพูน ความสูญเสียทั้งสองฝ่าย คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิด ของครูบาอาจารย์มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ในการดำเนินชีวิต การให้อภัยนั้น เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อผู้ที่ให้อภัยเอง เพราะการให้อภัย คือ การปลดปล่อยตนเอง จากซากอดีตที่เจ็บปวด เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
การให้อภัยนั้น เราสามารถทำได้ทันที เมื่อมีผู้ใด ทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ หรือมีความขุ่นข้อง หมองมัวใจ การให้อภัย เป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด แต่ก็สะดวกสบายที่สุด เพราะไม่มีต้นทุนอะไรมาก ยกเว้น ความเป็นตัวตนของเรา การให้อภัยทานนั้น ก็คือการไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาท คิดร้ายผู้อื่น แม้แต่ศัตรู ซึ่งจะได้บุญกุศลแรง และสูงมาก เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียร เพื่อละ โทสกิเลส และเป็นการเจริญ เมตตาพรหมวิหารธรรม อันเป็นพรหมวิหารข้อหนึ่ง ในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น อันพรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นคุณธรรม ที่เป็นองค์ธรรม ของโยคีบุคคล ที่บำเพ็ญฌาน และวิปัสสนา ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ ย่อมเป็นผู้ทรงฌาน ซึ่ง เมื่อเมตตา พรหมวิหารธรรมได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อใด ก็ย่อมละเสียได้ ซึ่งพยาบาท คนผู้นั้น จึงจะสามารถให้อภัยทานได้ การให้อภัยทาน จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และยากเย็น จึงจัดเป็นทานขั้นสูง
การรู้จักขอโทษนั้น เป็นมารยาทอันดีงาม สำหรับตัวผู้ทำเอง และเป็นการช่วยระงับ หรือช่วยแก้โทสะ ของผู้ถูกกระทบกระทั่ง ให้เรียบร้อย ด้วยดีในทางหนึ่ง หรือจะกล่าวว่า การขอโทษ คือ การพยายาม ป้องกันมิให้ มีการผูกเวรกัน ก็ไม่ผิด เพราะเมื่อผู้หนึ่งทำผิด อีกผู้หนึ่งเกิดโทสะ เพราะถือความผิดนั้น เป็นความล่วงเกิน กระทบกระทั่งถึงตน แม้ไม่อาจแก้โทสะนั้นได้ ความผูกโกรธ หรือความผูกเวร ก็ย่อมมีขึ้น ถ้าแก้โทสะนั้นได้ ก็เท่ากับ แก้ความผูกโกรธ หรือผูกเวรได้ เป็นการสร้าง อภัยทานขึ้นแทน อภัยทาน ก็คือ การยกโทษให้ คือการไม่ถือความผิด หรือการล่วงเกิน กระทบกระทั่งว่า เป็นโทษ
อภัยทานนี้ เป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ เช่นเดียวกับ ทานทั้งหลายเหมือนกัน คือ อภัยทาน หรือการให้อภัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด จะยังจิตใจของคนผู้นั้น ให้ผ่องใส พ้นจากการกลุ้ม รุมบดบังของโทสะ
การที่เราโกรธ แล้วหายโกรธเอง กับการที่เราโกรธ แล้วหายโกรธเพราะให้อภัยนั้น ไม่เหมือนกัน โกรธแล้ว เราหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่ง เมื่อเกิดแล้ว ต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่ถ้าเราโกรธแล้ว หายโกรธ เพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการ ยกระดับของจิต ให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น ฉะนั้น เราจึงควรมีสติ ทำความเพียร อบรมจิตให้คุ้นเคย ต่อการให้อภัยไว้เสมอ เมื่อเกิดโทสะขึ้นกับผู้ใด เพราะการปฏิบัติ ล้วงล้ำ ก้ำเกิน ก็พยายามมีสติ พิจารณาหาทาง ให้อภัยทาน เกิดขึ้นในใจให้ได้ ก่อนที่ความโกรธ จะดับไปเสียเอง หากเราทำได้เช่นนี้ จะเป็นคุณแก่ตัวเราเอง อย่างมากมาย เพราะเมื่อปล่อย ให้ความโกรธดับไปเอง มันก็จะดับไปไม่หมดสิ้น เถ้าถ่าน คือ ความผูกโกรธ มักจะยังหลงเหลืออยู่ และอาจจะ กระพือความโกรธขึ้นอีก ในจิตใจของเราได้ ในโอกาสต่อไป
ผู้ที่อบรมจิต ให้คุ้นเคยอยู่เสมอกับ การให้อภัยเสมอ แม้จะไม่ได้รับ การขอขมา ก็ย่อมอภัยให้คนอื่นได้ และในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่เคยอบรมจิตใจ ให้คุ้นเคย กับการให้อภัยเลย เมื่อโกรธแล้ว ก็ปล่อยให้หายเอง แม้ได้รับการขอขมาโทษ ก็อาจจะ อภัยให้ไม่ได้ เป็นเรื่องของการ ไม่ฝึกใจให้เคยชิน ซึ่งใจนั้น เราฝึกได้ ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ ฝึกอย่างใด ก็จะเป็นอย่างนั้น ฝึกให้ดีก็จะดี ฝึกให้ร้ายเราก็จะร้าย และผลดี อีกประการคือ ผู้ที่มักให้อภัยผู้อื่นได้ง่าย จะมีความเป็นปฏิปักษ์น้อย ไม่หลงตัวเอง ไม่ชอบครุ่นคิด วนเวียน เป็นคนที่มีนิสัยพูดง่าย ไม่เรื่องมาก ทำให้กังวล และซึมเศร้าน้อยกว่า ป่วยเป็นโรคประสาทน้อยกว่า มีลักษณะ ที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากกว่า การให้อภัย จึงเป็นเสมือน ภูมิคุ้มกันโรคทางจิต เพิ่มสุขภาพจิตที่ดี สำหรับตัวผู้ให้อภัยนั้นเอง
การให้ทาน คือ การให้ ที่ไม่หวังผลตอบแทน โดยหมาย ให้ผู้ได้รับ ได้พ้นจากทุกข์ ได้แก่ อามิสทาน คือการให้วัตถุ สิ่งของ หรือเงิน เป็นทาน ธรรมทาน คือการสอน ให้ธรรมะ ความจริง เป็นความรู้ เป็นทาน อภัยทาน คือการให้อภัย ในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา ไม่จองเวร หรือพยาบาทกัน เป็นต้น การให้อภัย เป็นเครื่องวัด พัฒนาการของจิตใจ การให้อภัย ที่สูงที่สุด เป็นการแสดงออก ของความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข จงเริ่ม ด้วยการตั้งจิต ที่แน่วแน่ ในการให้อภัยใครบางคน ที่เคยทำให้เราเจ็บปวด การให้อภัย จะนำให้เกิดอิสรภาพ และความสุขในชีวิต ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
มนุษย์เรา มีแนวโน้มในจิตใจแต่กำเนิด ที่จะโต้ตอบ ในทางลบมากขึ้น ต่อคนที่แสดงออกทางลบต่อเรา ธรรมชาตินี้เอง เป็นที่มาของการแก้แค้นกัน และตอบโต้กัน จนไม่รู้จักจบสิ้น เมื่อการแก้แค้นเกิดขึ้น การกระทำนั้น ก็มักจะมีความรุนแรง มากกว่าที่ถูกกระทำในตอนแรก จึงมีแนวโน้ม ให้เกิดวงจรการล้างแค้น ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราพบเห็นตัวอย่าง การโต้ตอบที่รุนแรง มากมายในสงคราม และประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การให้อภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยตัด และลดทอนการแก้แค้น ซึ่งมีแต่จะเพิ่มพูน ความสูญเสียทั้งสองฝ่าย คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิด ของครูบาอาจารย์มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ในการดำเนินชีวิต การให้อภัยนั้น เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อผู้ที่ให้อภัยเอง เพราะการให้อภัย คือ การปลดปล่อยตนเอง จากซากอดีตที่เจ็บปวด เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
การให้อภัยนั้น เราสามารถทำได้ทันที เมื่อมีผู้ใด ทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ หรือมีความขุ่นข้อง หมองมัวใจ การให้อภัย เป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด แต่ก็สะดวกสบายที่สุด เพราะไม่มีต้นทุนอะไรมาก ยกเว้น ความเป็นตัวตนของเรา การให้อภัยทานนั้น ก็คือการไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาท คิดร้ายผู้อื่น แม้แต่ศัตรู ซึ่งจะได้บุญกุศลแรง และสูงมาก เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียร เพื่อละ โทสกิเลส และเป็นการเจริญ เมตตาพรหมวิหารธรรม อันเป็นพรหมวิหารข้อหนึ่ง ในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น อันพรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นคุณธรรม ที่เป็นองค์ธรรม ของโยคีบุคคล ที่บำเพ็ญฌาน และวิปัสสนา ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ ย่อมเป็นผู้ทรงฌาน ซึ่ง เมื่อเมตตา พรหมวิหารธรรมได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อใด ก็ย่อมละเสียได้ ซึ่งพยาบาท คนผู้นั้น จึงจะสามารถให้อภัยทานได้ การให้อภัยทาน จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และยากเย็น จึงจัดเป็นทานขั้นสูง
การรู้จักขอโทษนั้น เป็นมารยาทอันดีงาม สำหรับตัวผู้ทำเอง และเป็นการช่วยระงับ หรือช่วยแก้โทสะ ของผู้ถูกกระทบกระทั่ง ให้เรียบร้อย ด้วยดีในทางหนึ่ง หรือจะกล่าวว่า การขอโทษ คือ การพยายาม ป้องกันมิให้ มีการผูกเวรกัน ก็ไม่ผิด เพราะเมื่อผู้หนึ่งทำผิด อีกผู้หนึ่งเกิดโทสะ เพราะถือความผิดนั้น เป็นความล่วงเกิน กระทบกระทั่งถึงตน แม้ไม่อาจแก้โทสะนั้นได้ ความผูกโกรธ หรือความผูกเวร ก็ย่อมมีขึ้น ถ้าแก้โทสะนั้นได้ ก็เท่ากับ แก้ความผูกโกรธ หรือผูกเวรได้ เป็นการสร้าง อภัยทานขึ้นแทน อภัยทาน ก็คือ การยกโทษให้ คือการไม่ถือความผิด หรือการล่วงเกิน กระทบกระทั่งว่า เป็นโทษ
อภัยทานนี้ เป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ เช่นเดียวกับ ทานทั้งหลายเหมือนกัน คือ อภัยทาน หรือการให้อภัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด จะยังจิตใจของคนผู้นั้น ให้ผ่องใส พ้นจากการกลุ้ม รุมบดบังของโทสะ
การที่เราโกรธ แล้วหายโกรธเอง กับการที่เราโกรธ แล้วหายโกรธเพราะให้อภัยนั้น ไม่เหมือนกัน โกรธแล้ว เราหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่ง เมื่อเกิดแล้ว ต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่ถ้าเราโกรธแล้ว หายโกรธ เพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการ ยกระดับของจิต ให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น ฉะนั้น เราจึงควรมีสติ ทำความเพียร อบรมจิตให้คุ้นเคย ต่อการให้อภัยไว้เสมอ เมื่อเกิดโทสะขึ้นกับผู้ใด เพราะการปฏิบัติ ล้วงล้ำ ก้ำเกิน ก็พยายามมีสติ พิจารณาหาทาง ให้อภัยทาน เกิดขึ้นในใจให้ได้ ก่อนที่ความโกรธ จะดับไปเสียเอง หากเราทำได้เช่นนี้ จะเป็นคุณแก่ตัวเราเอง อย่างมากมาย เพราะเมื่อปล่อย ให้ความโกรธดับไปเอง มันก็จะดับไปไม่หมดสิ้น เถ้าถ่าน คือ ความผูกโกรธ มักจะยังหลงเหลืออยู่ และอาจจะ กระพือความโกรธขึ้นอีก ในจิตใจของเราได้ ในโอกาสต่อไป
ผู้ที่อบรมจิต ให้คุ้นเคยอยู่เสมอกับ การให้อภัยเสมอ แม้จะไม่ได้รับ การขอขมา ก็ย่อมอภัยให้คนอื่นได้ และในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่เคยอบรมจิตใจ ให้คุ้นเคย กับการให้อภัยเลย เมื่อโกรธแล้ว ก็ปล่อยให้หายเอง แม้ได้รับการขอขมาโทษ ก็อาจจะ อภัยให้ไม่ได้ เป็นเรื่องของการ ไม่ฝึกใจให้เคยชิน ซึ่งใจนั้น เราฝึกได้ ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ ฝึกอย่างใด ก็จะเป็นอย่างนั้น ฝึกให้ดีก็จะดี ฝึกให้ร้ายเราก็จะร้าย และผลดี อีกประการคือ ผู้ที่มักให้อภัยผู้อื่นได้ง่าย จะมีความเป็นปฏิปักษ์น้อย ไม่หลงตัวเอง ไม่ชอบครุ่นคิด วนเวียน เป็นคนที่มีนิสัยพูดง่าย ไม่เรื่องมาก ทำให้กังวล และซึมเศร้าน้อยกว่า ป่วยเป็นโรคประสาทน้อยกว่า มีลักษณะ ที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากกว่า การให้อภัย จึงเป็นเสมือน ภูมิคุ้มกันโรคทางจิต เพิ่มสุขภาพจิตที่ดี สำหรับตัวผู้ให้อภัยนั้นเอง
การให้ทาน คือ การให้ ที่ไม่หวังผลตอบแทน โดยหมาย ให้ผู้ได้รับ ได้พ้นจากทุกข์ ได้แก่ อามิสทาน คือการให้วัตถุ สิ่งของ หรือเงิน เป็นทาน ธรรมทาน คือการสอน ให้ธรรมะ ความจริง เป็นความรู้ เป็นทาน อภัยทาน คือการให้อภัย ในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา ไม่จองเวร หรือพยาบาทกัน เป็นต้น การให้อภัย เป็นเครื่องวัด พัฒนาการของจิตใจ การให้อภัย ที่สูงที่สุด เป็นการแสดงออก ของความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข จงเริ่ม ด้วยการตั้งจิต ที่แน่วแน่ ในการให้อภัยใครบางคน ที่เคยทำให้เราเจ็บปวด การให้อภัย จะนำให้เกิดอิสรภาพ และความสุขในชีวิต ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น