วิธีทำบุญ ให้ได้บุญ
สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมีคติธรรมและข้อคิด
เรื่องเกี่ยวกับวิธีทำบุญ ให้ได้บุญ มาฝากครับ
คนไทยเรานั้น เป็นคนที่ชอบทำบุญอย่างมาก แต่บุญที่ทำกันเป็นส่วนใหญ่นั้น ก็มักจะเป็นการบริจาคเงิน หรือปัจจัย ในโอกาสต่างๆ เช่น ช่วยไถ่ชีวิตโค-กระบือ ซื้อโลงศพ ช่วยบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม สร้างห้องส้วมให้โรงเรียน หรือช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ แม้ดูเหมือนว่า จะเป็นการทำบุญที่หลากหลาย แต่โดยแท้จริงแล้ว ก็ยังอยู่ในเรื่องของการ "ให้ทาน” เป็นหลัก แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่มีโอกาสทำทานดังกล่าวมานี้ และบางคนก็ห่างเหิน จากการทำบุญไปมาก จนหลายคน เกิดปริวิตกว่า การที่ตน ไม่ค่อยทำบุญเลยเช่นนี้ เกิดชาติหน้า หรือภายหน้า ชีวิตคงต้องตกระกำลำบาก กว่าคนที่ชอบทำบุญ ให้ทานประจำเป็นแน่ คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิด จากครูบาอาจารย์ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิด ให้กับทุกท่านในการทำบุญ ซึ่งคำว่าบุญนั้น หมายถึง การกระทำความดี มาจากภาษาบาลีว่า "ปุญญะ” แปลว่า เครื่องชำระจิตใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ดังนั้น บุญ จึงเป็นเสมือน เครื่องกำจัดสิ่งเศร้าหมอง ที่เราเรียกกันว่า "กิเลส” ให้ออกไปจากใจ บุญจะช่วยให้เรา ลด ละ เลิกความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความมีจิตใจคับแคบ อันเป็นสาเหตุ ให้เกิดความทุกข์ ต่างๆ นานา และช่วยให้ใจเป็นอิสระ พร้อมจะก้าวไปสู่ การทำคุณงามความดี ในขั้นต่อๆ ไป เป็นการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ทำให้เกิดความอิ่มเอิบใจ มีความสุข และเป็นความสุข ที่สงบและยั่งยืน ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ผู้ปฏิบัติ เป็นบุคคลที่มีคุณธรรม น่าเคารพยกย่อง เพราะถือว่าเป็น "คนดี” นั่นเอง ในทางพระพุทธศาสนา การทำบุญมีด้วยกัน ๑๐ วิธี ที่เรียกว่า "บุญกิริยาวัตถุ ๑๐” หรือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่ง การทำบุญ ๑๐ ประการ ซึ่งมีดังต่อไปนี้
๑. การให้ทาน หรือ ทานมัย อันหมายถึง การให้ การสละ หรือการเผื่อแผ่แบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใด และไม่ว่าจะให้แก่ใคร ก็ถือว่า เป็นบุญทั้งสิ้น เพราะการให้ทาน เป็นการลดความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ถี่เหนียว และความคับแคบ ในจิตใจ ให้น้อยลง ทำให้เราไม่ยึดติด ในวัตถุสิ่งของ อีกทั้ง สิ่งที่เราบริจาค หรือให้ทานแก่ผู้อื่น ก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และเป็นประโยชน์ ต่อผู้รับและสังคมโดยส่วนรวม การให้ทานนี้ อยู่ที่ไหน เราก็ทำได้ และไม่จำเป็นต้องเงินอย่างเดียว เช่น การแบ่งปันของกินให้แก่กับผู้อื่น เป็นต้น และข้อสำคัญ สิ่งที่บริจาค หรือให้ทานแก่ผู้อื่น ควรจะเป็นสิ่งของที่ยังใช้ได้ มิใช่เป็นการกำจัดของเหลือใช้ ที่หมดอายุ หมดคุณภาพให้ผู้อื่น ผลของการให้ทานดังกล่าว จะทำให้ผู้ปฏิบัติ เกิดความปีติอิ่มเอิบใจ
๒. การรักษาศีล หรือ สีลมัย คำว่า ศีล หมายถึง ข้อบัญญัติ ทางพระพุทธศาสนา ที่กำหนดการปฏิบัติ ทางกายและวาจา เช่น ศีล ๕ ศีล ๘ หรือ อาจจะหมายถึง การรักษากาย วาจาให้เรียบร้อย การรักษาศีล เป็นการฝึกฝน มิให้ไปเบียดเบียนผู้อื่น ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการลด ละ เลิกความชั่ว มุ่งให้กระทำความดี อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต มิให้ตกต่ำลง เช่น ไม่ไปเป็นชู้ เป็นกิ๊ก ผิดลูกผิดผัว กับใครอื่น จนทำให้ครอบครัวเขาแตกแยก เดือดร้อน หรือเป็นแม่ค้า ก็ไม่โกหกหลอกขายของ ไม่ดีแก่ลูกค้า เป็นพ่อบ้าน ไม่กินเหล้าเมายา ทำให้ลูกเมียมีแต่ความสุข เพื่อนบ้านก็เป็นสุข เพราะไม่ต้องทน ฟังเสียงรบกวน จากการทะเลาะวิวาทกันในครอบครัว สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นการรักษาศีล และเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ในการทำบุญ ซึ่งผลบุญในข้อนี้ จะทำให้เรา กลายเป็นคนเยือกเย็น และสุขุมด้วย
๓. การเจริญภาวนา หรือภาวนามัย เป็นการทำบุญ อีกรูปแบบหนึ่ง ที่มุ่งพัฒนาจิตใจ และปัญญา ทำให้จิตใจสงบ เห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ซึ่งในข้อนี้ หลายคน อาจจะทำเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น นั่งสมาธิ วิปัสสนา แต่หลายคน อาจจะคิดว่า เป็นเรื่องที่ยากเกินกำลัง ดังนั้น อาจจะลองทำง่ายๆ ด้วยวิธีการสวดมนต์ เป็นคาถาสั้นๆ บูชาพระ ที่เราเคารพ บูชาก่อนนอนทุกคืน เช่น คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร คาถาหลวงปู่ทวด เป็นต้น การสวดมนต์เป็นประจำนั้น อย่างน้อย ก็เป็นการน้อมนำจิตใจของเรา ไปสู่สิ่งที่เป็นมงคลในชีวิต เป็นการเตือนสติ ให้เรายึดมั่น ในการประพฤติปฏิบัติ ชอบตามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เรานับถือ และผลบุญในข้อนี้ จะทำให้เกิดปัญญา แก่ผู้ปฏิบัติด้วย
๔. การอ่อนน้อมถ่อมตน หรือ อปจายนมัย หลายๆ คนคงคิดไม่ถึงว่า การประพฤติตน เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนนั้น ก็ถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ ก็เพราะว่า การอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าจะเป็นผู้น้อย ประพฤติต่อผู้ใหญ่ และการที่ผู้ใหญ่ แสดงตอบ ด้วยความเมตตา หรือการอ่อนน้อม ต่อผู้มีคุณธรรม รวมถึงการให้เกียรติ ให้ความเคารพต่อความคิด ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติของบุคคล หรือสังคมอื่น ที่แตกต่างจากเรานั้น เป็นการลดความยึดมั่น ถือมั่น ในความเป็นตัวตนของเรา ช่วยให้สังคม ทุกระดับ เกิดความเข้าใจต่อกัน และช่วยให้ชาติบ้านเมือง เกิดความสงบสุข จึงถือว่า เป็นบุญอย่างหนึ่ง และผลบุญข้อนี้ จะทำให้เกิด ความเมตตาต่อกัน
๕. การช่วยขวนขวายทำในกิจที่ชอบ หรือไวยาวัจจมัย พูดง่ายๆ ว่า เป็นการให้ความช่วยเหลือ แก่สังคมรอบข้าง ในการทำกิจกรรมความดีต่างๆ เช่น ช่วยพ่อแม่ทำงาน ไม่นิ่งดูดาย หรือช่วยสอดส่อง ดูแลบ้านให้เพื่อนบ้าน ยามที่เขาต้องไปธุระต่างจังหวัด ช่วยงานเพื่อน ที่ทำงานให้แล้วเสร็จทันเวลา หรือให้กำลังใจแก่เพื่อน ที่เขากำลังมีความทุกข์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ ถือเป็นบุญอีกแบบหนึ่ง และผลบุญในข้อนี้ ก็จะช่วยให้เกิดความรัก ความสามัคคีขึ้นด้วย
๖. การให้ผู้อื่น มาร่วมทำบุญกับเรา หรือ ปัตติทานมัย กล่าวคือ ไม่ว่าเรา จะทำบุญอะไรก็ตาม ก็เปิดโอกาส ให้คนอื่นได้มาร่วมทำบุญด้วย ไม่ขี้เหนียว หรืองกบุญ เพราะอยากได้บุญใหญ่ ไว้คนเดียว เช่น จะทำบุญสร้างระฆัง ก็เปิดโอกาส ให้คนอื่นได้ร่วมสร้างด้วย ไม่คิด จะทำเพียงคนเดียว เพราะคิดว่า ทำบุญระฆัง จะได้กุศล กลายเป็นคนเด่นคนดัง เลยอยากเด่นอยากดังคนเดียว ไม่อยากให้ใคร มาร่วมทำบุญด้วย เป็นต้น นอกจากนี้ การเปิดโอกาส ให้คนอื่นมาร่วมทำงาน หรือร่วมแสดงความคิดเห็น รวมไปถึง การทำบุญ อุทิศส่วนกุศล ให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็ถือ เป็นการทำบุญในข้อนี้ด้วย และผลบุญดังกล่าว จะช่วยให้เรา เป็นคนใจกว้าง และปราศจาก อคติต่างๆ เพราะเรา พร้อมเปิดใจ รับผู้อื่น
๗. การอนุโมทนาส่วนบุญ หรือ ปัตตานุโมทนามัย คือ การยอมรับ หรือยินดี ในการทำความดี หรือการทำบุญของผู้อื่น เมื่อใครก็ตาม เขาไปทำบุญมา เราก็รู้สึก ชื่นชมยินดีไปด้วย โดยไม่คิดอิจฉา หรือระแวงสงสัย ในการทำความดีของผู้อื่น เช่น เพื่อนเดินทาง ไปไหว้พระทำบุญมา เราก็ร่วมอนุโมทนา ที่เขามีโอกาส ได้ไปทำบุญ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่อิจฉาเขา แม้ว่าเราไม่ได้ไป ก็อย่าไปคิดอกุศลว่า เขาได้ไป เพราะมีคนออกเงินให้ เป็นต้น และการไม่คิด ในแง่ร้าย จะทำให้เรา มีจิตใจไม่เศร้าหมอง แต่จะแช่มชื่นอยู่เสมอ เพราะได้ยินดี กับกุศลผลบุญต่างๆ อยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเรา จะมิได้ทำเอง โดยตรงก็ตาม
๘. การฟังธรรม หรือ ธรรมสวนมัย การฟังธรรมนั้น จะทำให้เรา ได้ฟังเรืองที่ดี มีประโยชน์ ทั้งต่อสติปัญญา และการดำเนินชีวิต ซึ่งการฟังธรรมนี้ เราสามารถฟังที่วัด จากพระท่านโดยตรง หรืออาจจะฟังจากสื่อต่างๆ หรือฟังจากผู้รู้ต่างๆ และธรรมในที่นี้ ก็มิได้หมายถึง แต่เฉพาะหลักธรรม ในทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง เรื่องจริง เรื่องที่ดี มีประโยชน์ ที่ทำให้ผู้ฟัง เกิดความรู้ และปัญญา ซึ่งผลบุญในข้อนี้ จะทำให้ผู้ฟัง เกิดการรู้แจ้งเห็นจริง ยิ่งขึ้น
๙. การแสดงธรรม หรือ ธรรมเทศนามัย คือการให้ธรรมะ หรือข้อคิดที่ดี แก่ผู้อื่น ด้วยการนำธรรมะ หรือเรื่องที่ดี ที่เป็นประโยชน์ ไปบอกต่อ หรือให้คำแนะนำ ให้เขาได้รู้จัก วิธีการดำเนินชีวิตที่ดี เช่น สอนวิธีทำงานให้ แนะนำหลักธรรมที่ดี ที่เราได้ยิน ได้ฟังมา และปฏิบัติได้ผล แก่เพื่อนๆ เป็นต้น และผลบุญในข้อนี้ นอกจากจะทำให้ผู้อื่น ได้รับรู้ สิ่งที่เป็นประโยชน์แล้ว ยังทำให้ ผู้ที่บอกกล่าว ได้รับการยกย่อง สรรเสริญอีกด้วย
๑๐.การทำความเห็นให้ถูกต้อง เหมาะสม หรือ ทิฏฐุชุกรรม คือ การไม่ถือทิฐิ เอาแต่ความคิดเห็น ของตนเป็นใหญ่ แต่ให้รู้จักแก้ไข ปรับปรุงพัฒนา ความคิดเห็น และความเข้าใจ ในเรื่องต่างๆ ให้ถูกต้อง ตามธรรมอยู่เสมอ หรือจะพูดง่ายๆ ว่า ให้คิด และประพฤติตน ให้ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรมก็ได้ ซึ่งในข้อนี้ แม้จะเป็นข้อสุดท้าย แต่ก็สำคัญยิ่ง เพราะ ไม่ว่าเรา จะทำบุญใด ทั้ง ๙ ข้อที่กล่าวมา หากมิได้ตั้งอยู่ ในทำนองคลองธรรม การทำบุญนั้น ก็ไม่บริสุทธิ์ และให้ผลได้ไม่เต็มที่ เพราะการทำบุญ ที่จะให้ได้ผลบุญมาก หรือผลบุญน้อย มีหลักเกณฑ์อยู่ ๓ ประการ ดังต่อไปนี้
๑. ผู้รับ จะต้องเป็นผู้มีศีล มีคุณธรรมความดี ทั้งพระสงฆ์ นักบวช หรือคนทั่วไป ถ้าผู้รับดี ผู้ทำก็ได้บุญมาก หากผู้รับไม่ดี ก็อาจจะทำให้เรา ได้บุญน้อย เพราะเขา อาจจะอาศัยผลบุญของเรา ไปทำชั่วได้ เช่น ให้เงินช่วยเหลือคนอื่น แต่เขากลับ เอาไปใช้ในทางไม่ดี จนสร้างความเดือดร้อน ให้แก่ผู้อื่น เป็นต้น ครับ
๒. วัตถุสิ่งของ ที่เราให้ต้องบริสุทธิ์ หรือได้มาโดยสุจริต และเป็นของที่เหมาะสม มีประโยชน์ต่อผู้รับ เช่น ให้เสื้อผ้า หรือของเล่น แก่เด็กกำพร้า เป็นต้น ของที่ให้ดี ผู้ทำก็ได้บุญมาก แต่หากวัตถุสิ่งของ ได้มาโดยทุจริต แม้จะเอาไปทำบุญ ก็ได้บุญน้อย ครับ
๓. ผู้ให้ ต้องมีศีลมีธรรม และมีเจตนา ที่เป็นบุญกุศล ในการทำ จึงจะได้บุญมาก นอกจากนี้ เจตนา หรือจิตใจในขณะทำบุญ ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญ กล่าวคือ ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ หากผู้ให้ มีความตั้งใจดี ตั้งใจทำ เมื่อทำแล้ว ก็เบิกบานใจ คิดถึงบุญกุศล ที่ได้ทำเมื่อใด จิตใจ ก็ผ่องใสเมื่อนั้น เช่นนี้ ก็จะทำให้ผู้ทำ ได้บุญมาก แต่ถ้าไม่รู้สึกเช่นนั้น บุญก็ลดน้อยถอยลงตามเจตนา ครับ
เป็นยังไงบ้างครับคุณผู้ชม วิธีทำบุญ ให้ได้บุญ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า ใครก็ตาม แม้จะไม่มีโอกาส "ให้ทาน” อันเป็นการทำบุญที่ง่าย และเป็นรูปธรรมที่สุด แต่เราทุกคน ก็สามารถเลือกทำบุญ ในลักษณะอื่นๆ ได้อีกถึง ๙ วิธี และเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก เช่น การอ่อนน้อมถ่อมตน การช่วยเหลือแนะนำสิ่งดีให้ผู้อื่น การไม่ถือทิฐิ หรือดื้อจนหัวชนฝา การร่วมยินดี กับการทำบุญของผู้อื่น เป็นต้น ดังนั้น เมื่อเราเริ่มต้นทำบุญเมื่อใด ผลบุญ ก็ส่งให้เห็นผล เมื่อนั้น ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
คนไทยเรานั้น เป็นคนที่ชอบทำบุญอย่างมาก แต่บุญที่ทำกันเป็นส่วนใหญ่นั้น ก็มักจะเป็นการบริจาคเงิน หรือปัจจัย ในโอกาสต่างๆ เช่น ช่วยไถ่ชีวิตโค-กระบือ ซื้อโลงศพ ช่วยบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม สร้างห้องส้วมให้โรงเรียน หรือช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ แม้ดูเหมือนว่า จะเป็นการทำบุญที่หลากหลาย แต่โดยแท้จริงแล้ว ก็ยังอยู่ในเรื่องของการ "ให้ทาน” เป็นหลัก แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่มีโอกาสทำทานดังกล่าวมานี้ และบางคนก็ห่างเหิน จากการทำบุญไปมาก จนหลายคน เกิดปริวิตกว่า การที่ตน ไม่ค่อยทำบุญเลยเช่นนี้ เกิดชาติหน้า หรือภายหน้า ชีวิตคงต้องตกระกำลำบาก กว่าคนที่ชอบทำบุญ ให้ทานประจำเป็นแน่ คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิด จากครูบาอาจารย์ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิด ให้กับทุกท่านในการทำบุญ ซึ่งคำว่าบุญนั้น หมายถึง การกระทำความดี มาจากภาษาบาลีว่า "ปุญญะ” แปลว่า เครื่องชำระจิตใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ดังนั้น บุญ จึงเป็นเสมือน เครื่องกำจัดสิ่งเศร้าหมอง ที่เราเรียกกันว่า "กิเลส” ให้ออกไปจากใจ บุญจะช่วยให้เรา ลด ละ เลิกความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความมีจิตใจคับแคบ อันเป็นสาเหตุ ให้เกิดความทุกข์ ต่างๆ นานา และช่วยให้ใจเป็นอิสระ พร้อมจะก้าวไปสู่ การทำคุณงามความดี ในขั้นต่อๆ ไป เป็นการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ทำให้เกิดความอิ่มเอิบใจ มีความสุข และเป็นความสุข ที่สงบและยั่งยืน ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ผู้ปฏิบัติ เป็นบุคคลที่มีคุณธรรม น่าเคารพยกย่อง เพราะถือว่าเป็น "คนดี” นั่นเอง ในทางพระพุทธศาสนา การทำบุญมีด้วยกัน ๑๐ วิธี ที่เรียกว่า "บุญกิริยาวัตถุ ๑๐” หรือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่ง การทำบุญ ๑๐ ประการ ซึ่งมีดังต่อไปนี้
๑. การให้ทาน หรือ ทานมัย อันหมายถึง การให้ การสละ หรือการเผื่อแผ่แบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใด และไม่ว่าจะให้แก่ใคร ก็ถือว่า เป็นบุญทั้งสิ้น เพราะการให้ทาน เป็นการลดความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ถี่เหนียว และความคับแคบ ในจิตใจ ให้น้อยลง ทำให้เราไม่ยึดติด ในวัตถุสิ่งของ อีกทั้ง สิ่งที่เราบริจาค หรือให้ทานแก่ผู้อื่น ก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และเป็นประโยชน์ ต่อผู้รับและสังคมโดยส่วนรวม การให้ทานนี้ อยู่ที่ไหน เราก็ทำได้ และไม่จำเป็นต้องเงินอย่างเดียว เช่น การแบ่งปันของกินให้แก่กับผู้อื่น เป็นต้น และข้อสำคัญ สิ่งที่บริจาค หรือให้ทานแก่ผู้อื่น ควรจะเป็นสิ่งของที่ยังใช้ได้ มิใช่เป็นการกำจัดของเหลือใช้ ที่หมดอายุ หมดคุณภาพให้ผู้อื่น ผลของการให้ทานดังกล่าว จะทำให้ผู้ปฏิบัติ เกิดความปีติอิ่มเอิบใจ
๒. การรักษาศีล หรือ สีลมัย คำว่า ศีล หมายถึง ข้อบัญญัติ ทางพระพุทธศาสนา ที่กำหนดการปฏิบัติ ทางกายและวาจา เช่น ศีล ๕ ศีล ๘ หรือ อาจจะหมายถึง การรักษากาย วาจาให้เรียบร้อย การรักษาศีล เป็นการฝึกฝน มิให้ไปเบียดเบียนผู้อื่น ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการลด ละ เลิกความชั่ว มุ่งให้กระทำความดี อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต มิให้ตกต่ำลง เช่น ไม่ไปเป็นชู้ เป็นกิ๊ก ผิดลูกผิดผัว กับใครอื่น จนทำให้ครอบครัวเขาแตกแยก เดือดร้อน หรือเป็นแม่ค้า ก็ไม่โกหกหลอกขายของ ไม่ดีแก่ลูกค้า เป็นพ่อบ้าน ไม่กินเหล้าเมายา ทำให้ลูกเมียมีแต่ความสุข เพื่อนบ้านก็เป็นสุข เพราะไม่ต้องทน ฟังเสียงรบกวน จากการทะเลาะวิวาทกันในครอบครัว สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นการรักษาศีล และเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ในการทำบุญ ซึ่งผลบุญในข้อนี้ จะทำให้เรา กลายเป็นคนเยือกเย็น และสุขุมด้วย
๓. การเจริญภาวนา หรือภาวนามัย เป็นการทำบุญ อีกรูปแบบหนึ่ง ที่มุ่งพัฒนาจิตใจ และปัญญา ทำให้จิตใจสงบ เห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ซึ่งในข้อนี้ หลายคน อาจจะทำเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น นั่งสมาธิ วิปัสสนา แต่หลายคน อาจจะคิดว่า เป็นเรื่องที่ยากเกินกำลัง ดังนั้น อาจจะลองทำง่ายๆ ด้วยวิธีการสวดมนต์ เป็นคาถาสั้นๆ บูชาพระ ที่เราเคารพ บูชาก่อนนอนทุกคืน เช่น คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร คาถาหลวงปู่ทวด เป็นต้น การสวดมนต์เป็นประจำนั้น อย่างน้อย ก็เป็นการน้อมนำจิตใจของเรา ไปสู่สิ่งที่เป็นมงคลในชีวิต เป็นการเตือนสติ ให้เรายึดมั่น ในการประพฤติปฏิบัติ ชอบตามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เรานับถือ และผลบุญในข้อนี้ จะทำให้เกิดปัญญา แก่ผู้ปฏิบัติด้วย
๔. การอ่อนน้อมถ่อมตน หรือ อปจายนมัย หลายๆ คนคงคิดไม่ถึงว่า การประพฤติตน เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนนั้น ก็ถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ ก็เพราะว่า การอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าจะเป็นผู้น้อย ประพฤติต่อผู้ใหญ่ และการที่ผู้ใหญ่ แสดงตอบ ด้วยความเมตตา หรือการอ่อนน้อม ต่อผู้มีคุณธรรม รวมถึงการให้เกียรติ ให้ความเคารพต่อความคิด ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติของบุคคล หรือสังคมอื่น ที่แตกต่างจากเรานั้น เป็นการลดความยึดมั่น ถือมั่น ในความเป็นตัวตนของเรา ช่วยให้สังคม ทุกระดับ เกิดความเข้าใจต่อกัน และช่วยให้ชาติบ้านเมือง เกิดความสงบสุข จึงถือว่า เป็นบุญอย่างหนึ่ง และผลบุญข้อนี้ จะทำให้เกิด ความเมตตาต่อกัน
๕. การช่วยขวนขวายทำในกิจที่ชอบ หรือไวยาวัจจมัย พูดง่ายๆ ว่า เป็นการให้ความช่วยเหลือ แก่สังคมรอบข้าง ในการทำกิจกรรมความดีต่างๆ เช่น ช่วยพ่อแม่ทำงาน ไม่นิ่งดูดาย หรือช่วยสอดส่อง ดูแลบ้านให้เพื่อนบ้าน ยามที่เขาต้องไปธุระต่างจังหวัด ช่วยงานเพื่อน ที่ทำงานให้แล้วเสร็จทันเวลา หรือให้กำลังใจแก่เพื่อน ที่เขากำลังมีความทุกข์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ ถือเป็นบุญอีกแบบหนึ่ง และผลบุญในข้อนี้ ก็จะช่วยให้เกิดความรัก ความสามัคคีขึ้นด้วย
๖. การให้ผู้อื่น มาร่วมทำบุญกับเรา หรือ ปัตติทานมัย กล่าวคือ ไม่ว่าเรา จะทำบุญอะไรก็ตาม ก็เปิดโอกาส ให้คนอื่นได้มาร่วมทำบุญด้วย ไม่ขี้เหนียว หรืองกบุญ เพราะอยากได้บุญใหญ่ ไว้คนเดียว เช่น จะทำบุญสร้างระฆัง ก็เปิดโอกาส ให้คนอื่นได้ร่วมสร้างด้วย ไม่คิด จะทำเพียงคนเดียว เพราะคิดว่า ทำบุญระฆัง จะได้กุศล กลายเป็นคนเด่นคนดัง เลยอยากเด่นอยากดังคนเดียว ไม่อยากให้ใคร มาร่วมทำบุญด้วย เป็นต้น นอกจากนี้ การเปิดโอกาส ให้คนอื่นมาร่วมทำงาน หรือร่วมแสดงความคิดเห็น รวมไปถึง การทำบุญ อุทิศส่วนกุศล ให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็ถือ เป็นการทำบุญในข้อนี้ด้วย และผลบุญดังกล่าว จะช่วยให้เรา เป็นคนใจกว้าง และปราศจาก อคติต่างๆ เพราะเรา พร้อมเปิดใจ รับผู้อื่น
๗. การอนุโมทนาส่วนบุญ หรือ ปัตตานุโมทนามัย คือ การยอมรับ หรือยินดี ในการทำความดี หรือการทำบุญของผู้อื่น เมื่อใครก็ตาม เขาไปทำบุญมา เราก็รู้สึก ชื่นชมยินดีไปด้วย โดยไม่คิดอิจฉา หรือระแวงสงสัย ในการทำความดีของผู้อื่น เช่น เพื่อนเดินทาง ไปไหว้พระทำบุญมา เราก็ร่วมอนุโมทนา ที่เขามีโอกาส ได้ไปทำบุญ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่อิจฉาเขา แม้ว่าเราไม่ได้ไป ก็อย่าไปคิดอกุศลว่า เขาได้ไป เพราะมีคนออกเงินให้ เป็นต้น และการไม่คิด ในแง่ร้าย จะทำให้เรา มีจิตใจไม่เศร้าหมอง แต่จะแช่มชื่นอยู่เสมอ เพราะได้ยินดี กับกุศลผลบุญต่างๆ อยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเรา จะมิได้ทำเอง โดยตรงก็ตาม
๘. การฟังธรรม หรือ ธรรมสวนมัย การฟังธรรมนั้น จะทำให้เรา ได้ฟังเรืองที่ดี มีประโยชน์ ทั้งต่อสติปัญญา และการดำเนินชีวิต ซึ่งการฟังธรรมนี้ เราสามารถฟังที่วัด จากพระท่านโดยตรง หรืออาจจะฟังจากสื่อต่างๆ หรือฟังจากผู้รู้ต่างๆ และธรรมในที่นี้ ก็มิได้หมายถึง แต่เฉพาะหลักธรรม ในทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง เรื่องจริง เรื่องที่ดี มีประโยชน์ ที่ทำให้ผู้ฟัง เกิดความรู้ และปัญญา ซึ่งผลบุญในข้อนี้ จะทำให้ผู้ฟัง เกิดการรู้แจ้งเห็นจริง ยิ่งขึ้น
๙. การแสดงธรรม หรือ ธรรมเทศนามัย คือการให้ธรรมะ หรือข้อคิดที่ดี แก่ผู้อื่น ด้วยการนำธรรมะ หรือเรื่องที่ดี ที่เป็นประโยชน์ ไปบอกต่อ หรือให้คำแนะนำ ให้เขาได้รู้จัก วิธีการดำเนินชีวิตที่ดี เช่น สอนวิธีทำงานให้ แนะนำหลักธรรมที่ดี ที่เราได้ยิน ได้ฟังมา และปฏิบัติได้ผล แก่เพื่อนๆ เป็นต้น และผลบุญในข้อนี้ นอกจากจะทำให้ผู้อื่น ได้รับรู้ สิ่งที่เป็นประโยชน์แล้ว ยังทำให้ ผู้ที่บอกกล่าว ได้รับการยกย่อง สรรเสริญอีกด้วย
๑๐.การทำความเห็นให้ถูกต้อง เหมาะสม หรือ ทิฏฐุชุกรรม คือ การไม่ถือทิฐิ เอาแต่ความคิดเห็น ของตนเป็นใหญ่ แต่ให้รู้จักแก้ไข ปรับปรุงพัฒนา ความคิดเห็น และความเข้าใจ ในเรื่องต่างๆ ให้ถูกต้อง ตามธรรมอยู่เสมอ หรือจะพูดง่ายๆ ว่า ให้คิด และประพฤติตน ให้ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรมก็ได้ ซึ่งในข้อนี้ แม้จะเป็นข้อสุดท้าย แต่ก็สำคัญยิ่ง เพราะ ไม่ว่าเรา จะทำบุญใด ทั้ง ๙ ข้อที่กล่าวมา หากมิได้ตั้งอยู่ ในทำนองคลองธรรม การทำบุญนั้น ก็ไม่บริสุทธิ์ และให้ผลได้ไม่เต็มที่ เพราะการทำบุญ ที่จะให้ได้ผลบุญมาก หรือผลบุญน้อย มีหลักเกณฑ์อยู่ ๓ ประการ ดังต่อไปนี้
๑. ผู้รับ จะต้องเป็นผู้มีศีล มีคุณธรรมความดี ทั้งพระสงฆ์ นักบวช หรือคนทั่วไป ถ้าผู้รับดี ผู้ทำก็ได้บุญมาก หากผู้รับไม่ดี ก็อาจจะทำให้เรา ได้บุญน้อย เพราะเขา อาจจะอาศัยผลบุญของเรา ไปทำชั่วได้ เช่น ให้เงินช่วยเหลือคนอื่น แต่เขากลับ เอาไปใช้ในทางไม่ดี จนสร้างความเดือดร้อน ให้แก่ผู้อื่น เป็นต้น ครับ
๒. วัตถุสิ่งของ ที่เราให้ต้องบริสุทธิ์ หรือได้มาโดยสุจริต และเป็นของที่เหมาะสม มีประโยชน์ต่อผู้รับ เช่น ให้เสื้อผ้า หรือของเล่น แก่เด็กกำพร้า เป็นต้น ของที่ให้ดี ผู้ทำก็ได้บุญมาก แต่หากวัตถุสิ่งของ ได้มาโดยทุจริต แม้จะเอาไปทำบุญ ก็ได้บุญน้อย ครับ
๓. ผู้ให้ ต้องมีศีลมีธรรม และมีเจตนา ที่เป็นบุญกุศล ในการทำ จึงจะได้บุญมาก นอกจากนี้ เจตนา หรือจิตใจในขณะทำบุญ ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญ กล่าวคือ ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ หากผู้ให้ มีความตั้งใจดี ตั้งใจทำ เมื่อทำแล้ว ก็เบิกบานใจ คิดถึงบุญกุศล ที่ได้ทำเมื่อใด จิตใจ ก็ผ่องใสเมื่อนั้น เช่นนี้ ก็จะทำให้ผู้ทำ ได้บุญมาก แต่ถ้าไม่รู้สึกเช่นนั้น บุญก็ลดน้อยถอยลงตามเจตนา ครับ
เป็นยังไงบ้างครับคุณผู้ชม วิธีทำบุญ ให้ได้บุญ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า ใครก็ตาม แม้จะไม่มีโอกาส "ให้ทาน” อันเป็นการทำบุญที่ง่าย และเป็นรูปธรรมที่สุด แต่เราทุกคน ก็สามารถเลือกทำบุญ ในลักษณะอื่นๆ ได้อีกถึง ๙ วิธี และเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก เช่น การอ่อนน้อมถ่อมตน การช่วยเหลือแนะนำสิ่งดีให้ผู้อื่น การไม่ถือทิฐิ หรือดื้อจนหัวชนฝา การร่วมยินดี กับการทำบุญของผู้อื่น เป็นต้น ดังนั้น เมื่อเราเริ่มต้นทำบุญเมื่อใด ผลบุญ ก็ส่งให้เห็นผล เมื่อนั้น ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น