คนที่น่ารัก นิสัยดีน่าคบหา เขามีลักษณะอย่างไร

สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมีคติธรรมและข้อคิด เรื่องของคนที่มีความน่ารัก นิสัยดีน่าและคบหา ว่าเขามีลักษณะอย่างไร มาฝาก ครับ



คนบางคนในโลกนี้ อาจเป็นที่เคารพรักใคร่ ของคนทั้งหลาย แม้เพียงแค่พบเห็นครั้งแรก จึงมีความเจริญก้าวหน้า ในชีวิตได้มาก เพราะเขามีคุณธรรม อันเป็นลักษณะของคนที่น่ารักอยู่ในตัว คนประเภทนี้ มีอยู่ไม่น้อย ในสังคมปัจจุบัน แต่บางคนนั้น ก็เป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลาย แม้เมื่อพบเห็น หรือรู้จักกันครั้งแรก จึงไม่อาจ มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้ เพราะมี ลักษณะนิสัยไม่ดี ขาดคุณธรรม คนประเภทนี้ ก็มีอยู่มากเช่นกัน ในสังคมปัจจุบัน คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรมและข้อคิด ของครูบาอาจารย์ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิด ให้กับทุกท่าน ในการดำเนินชีวิต เพราะความประพฤติ หรืออุปนิสัยใจคอนั้น เป็นตัวบ่งบอก ถึงความเจริญก้าวหน้า และความเสื่อมของตัวเราเอง



ตามหลักในพระพุทธศาสนานั้น คนที่น่ารัก ซึ่งเป็นที่รักพอใจ ของคนทั้งหลาย เมื่อกล่าวโดยทั่วไปแล้ว มีลักษณะอยู่ ๙ ประการ ด้วยกันคือ
๑. ไม่เป็นคนอวดดี
๒. ไม่พูดมากจนเขาเบื่อ
๓. เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
๔. รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว
๕. พูดจาอ่อนหวาน
๖. เป็นคนเสียสละ ไม่เอาเปรียบผู้อื่น
๗. เป็นคนกตัญญูกตเวที
๘. เป็นคนไม่มีนิสัย ริษยาเสียดสีผู้อื่น
๙. เป็นคนมีนิสัย สุขุม รอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน ซึ่งนิสัยของคนที่น่ารัก ทั้ง ๙ ประการ นั้น สามารถขยายความได้ดังต่อไปนี้ครับ

๑. คนที่น่ารัก จะไม่เป็นคนอวดดี ใครก็ตาม ถ้าเป็นคนอวดดี เช่น อวดรวย อวดเก่ง อวดยศศักดิ์ ตำแหน่งของตน ชอบคุยอวด คนโน้นคนนี้ ถึงความดีเด่นของตน อย่างโน้นอย่างนี้ หรืออวดสมบัติของตน จนทำให้คนอื่นเบื่อฟัง และรู้สึกหมั่นไส้ คนเช่นนี้ แม้ตนเอง จะมีคุณสมบัติ หรือความดีเด่นจริงๆ ก็เป็นที่ชิงชัง และเบื่อระอา ของคนทั้งหลาย เพราะเขาไม่ชอบ คนที่อวดดี ยิ่งถ้าตน ไม่มีคุณสมบัติอันใด ก็ยิ่งเป็นที่ชิงชัง ของคนทั้งหลายยิ่งขึ้น แต่คนที่มีนิสัยดี น่ารักนั้น เขาจะไม่โอ้อวด แม้จะมีดีอวด แต่เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน และบางคน ถึงกับปกปิดคุณความดีของตนเอง ถ้าใครจะทราบ ก็ค่อยรู้เอาเอง คนเช่นนี้ ย่อมเป็นที่รักใคร่ เอ็นดู หรือเป็นที่เคารพนับถือ ของคนทั้งหลาย และย่อมมีโอกาสเจริญรุ่งเรือง ในชีวิตได้มาก เพราะได้รับความช่วยเหลือ เกื้อกูลจากบุคคลทั่วไปอย่างดี

๒. คนที่น่ารัก จะเป็นคนไม่พูดมากจนคนอื่นเบื่อ ใครก็ตาม ถ้าไม่รู้จักประมาณตน ในการพูด พูดพล่าม พูดไร้สาระ หรือพูดมากจนเกินไป จนคนทั้งหลายเบื่อฟัง และรู้สึกรำคาญ ไม่อยากฟัง อยากออกไปเสียให้ห่าง เมื่อคนนั้นพูด คนเช่นนี้ แม้จะมีความรู้ ความสามารถดี ก็หาเป็นที่รัก และเป็นที่เคารพ ของคนทั้งหลายไม่ ถ้ายิ่งเป็นคนต่ำต้อย อยู่แล้ว ก็ยิ่งเป็นที่เกลียดชัง ของคนทั้งหลายยิ่งขึ้น ฉะนั้น คนที่ฉลาด และน่ารัก จึงพูดแต่พอประมาณ ไม่พูดมากจนคนอื่นเบื่อ แต่พูดมีสาระน่าฟัง เช่น พูดแนะนำ หรือพูดสร้างสรรค์ เป็นต้น และเมื่อพูดสิ่งใด ก็คิดใคร่ครวญก่อน แล้วจึงพูด คนเช่นนี้ ย่อมเป็น ที่รักใคร่ เคารพนับถือ ของคนทั้งหลาย และย่อมได้รับความเอ็นดู ความเกื้อกูล จากคนทั่วไป ฉะนั้น คนที่มีลักษณะ นิสัยที่น่ารัก จึงไม่พูดมาก จนคนเบื่อ แต่จะเป็นผู้พูด พอประมาณ

๓. คนที่น่ารัก จะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน บางคน ขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนแข็งกระด้าง ขาดสัมมาคารวะ ชอบดูหมิ่น ดูถูกคนอื่น เป็นคนไม่ยอมก้มหัวให้แก่ใคร คนประเภทนี้ จะหาความเจริญได้ยาก ย่อมเป็นที่เกลียดชัง ของคนทั้งหลาย เหมือนต้นไม้ ที่ยืนต้นตาย หรือเหมือนรวงข้าว ที่ลีบไม่มีเมล็ด ไร้ค่า ยืนชูรวงโด่ อยู่ไม่โน้มลง แต่คนที่น่ารักนั้น ย่อมมีความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นนิสัย มีสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง เคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ ที่เจริญกว่าตน ทั้งโดยวัยวุฒิ คุณวุฒิ และชาติวุฒิ คนเช่นนี้ ย่อมมีความเจริญรุ่งเรือง ในชีวิตได้มาก สมดังพุทธพจน์ แปลความว่า ธรรมะ ๔ ประการ คือ มีอายุยืน ๑ มีผิวพรรณผ่องใส ๑ มีความสุขกายสุขใจ ๑ มีกำลังกายกำลังใจ ๑ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีปกติ กราบไหว้อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิจ ฉะนั้น ผู้หวังให้ผลดีทั้ง ๔ นี้ เกิดขึ้นแก่ตน ก็ต้องสร้างเหตุ คือ นิสัยที่น่ารัก ด้วยการเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จนเป็นนิจ

๔. คนที่น่ารัก จะรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ใครก็ตาม รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ในปัญหาต่างๆ ในข้อตกลง หรือปรึกษาหารือต่างๆ ไม่ดึงดัน เอาแต่ความเห็น หรืออำนาจตามอำเภอใจ ของตนฝ่ายเดียว ย่อมรู้จักประนีประนอม ในปัญหาต่างๆ ที่ขัดแย้งกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งรุนแรง ยืนยันขันแข็งในท่าที หรือจุดประสงค์ของตน ก็ผ่อนปรนลงบ้าง ไม่ยืนกระต่ายขาเดียว ไม่ว่าปัญหาครอบครัว การทำงาน หรือในข้อขัดแย้งต่างๆ ทั้งนี้ ก็เพื่อความสามัคคี ถนอมน้ำใจกัน และความสงบสุขในครอบครัว ในหน่วยงาน หรือในสังคม ถ้าเมื่อฝ่ายหนึ่ง หย่อนยานเกินไป อันอาจจะก่อให้เกิด ผลเสียหายได้ ก็มีทีท่า เข้มงวดเข้าไว้ ให้ถูกระเบียบ และกฎเกณฑ์ ก็จะทำให้ เกิดความพอดีขึ้น คนเช่นนี้ สามารถดำเนินชีวิตไป อย่างสงบสุข ราบรื่น ไม่ค่อยมีความขัดแย้งกับใคร จึงทำให้เป็นคน มีนิสัยน่ารัก เพราะรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว การรู้จักผ่อนสั้น ผ่อนยาวนี้ ทำให้เกิดความพอดี ไม่เป็นเหตุ ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง และความขัดแย้งกับใครๆ เพราะไม่ตึง ไม่หย่อน จนเกินไป เหมือนคนที่เล่นว่าว ถ้าเล่นว่าวเป็น ว่าวก็จะไม่ตก และกินลมได้ดี คือ เมื่อลมแรงเกินไป ก็ปล่อยสายป่านให้ยาวออกไป เพราะถ้าดึงไว้ สายป่านก็จะขาด ทำให้ว่าวตก หรือ เมื่อลมอ่อนเกินไป ก็พยายามดึงสายป่านเอาไว้ ว่าวก็จะกินลมได้ดี และไม่ตก การดำเนินชีวิต ก็เหมือนกัน ถ้าจะให้ราบรื่น ก็ต้องรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ในปัญหาขัดแย้งต่างๆ ถ้าไม่รู้จัก ผ่อนสั้นผ่อนยาวแล้ว ก็จะขัดแย้ง กับคนอื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในครอบครัว หรือปัญหาใดๆ ก็ตาม ฉะนั้น การรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว จึงเป็นลักษณะนิสัยของคนที่น่ารัก ประการหนึ่ง

๕. คนที่น่ารัก จะพูดจาอ่อนหวาน การพูดจาอ่อนหวาน เป็นเสน่ห์ประการหนึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว น้ำใจของผู้อื่นไว้ได้ เพราะทำให้ผู้ฟังชื่นใจ สบายใจ ทำให้เป็นกันเอง ทำให้ผูกมิตรไมตรีไว้ได้ จึงเป็นที่รักใคร่ ของคนทั้งหลาย ผู้ที่พูดจาไม่น่าฟัง พูดขาดสัมมาคารวะ พูดไม่รู้ที่ต่ำที่สูง หรือพูดส่อเสียด ย่อมเป็นที่เกลียดชัง ของคนทั้งหลาย การพูดจาอ่อนหวานนี้ จัดเป็นวาจาสุภาษิตประการหนึ่ง

วาจาสุภาษิตนั้น มีองค์ประกอบ ๕ ประการ คือ เป็นคำจริง เป็นคำอ่อนหวาน เป็นคำมีประโยชน์ พูดถูกกาลเทศะ และ พูดประกอบด้วยเมตตา คำพูดใด แม้จะเป็นคำจริง และเป็นคำอ่อนหวาน แต่ถ้าไม่มีประโยชน์แล้ว พระพุทธเจ้า ก็ตรัสสอนไม่ให้พูด เพราะไม่ได้ประโยชน์ หรือคำพูดใด แม้จะเป็นคำจริง คำอ่อนหวาน และมีประโยชน์ แต่ถ้าพูดไม่ถูกกาลเทศะ พระองค์ ก็ตรัสสอนไม่ให้พูดเช่นกัน เพราะไม่เป็นวาจาสุภาษิต แต่ถ้าคำนั้น ประกอบด้วยลักษณะ ๕ ประการ คือ เป็นคำจริง เป็นคำอ่อนหวาน เป็นคำมีประโยชน์ พูดถูกกาลเทศะ และพูดด้วยเมตตาจิตแล้ว พระองค์ ก็ตรัสสอนให้พูดคำเช่นนี้ เพราะก่อให้เกิด คุณค่าให้แก่ตนเอง และผู้อื่นเป็นอันมาก ทำให้เป็นที่รัก ของคนทั้งหลาย และจัดเป็นมงคลแก่ชีวิตด้วย ครับ

๖. คนที่น่ารัก จะเป็นที่คนเสียสละ ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ใครก็ตาม ถ้ามีน้ำใจ เป็นนักเสียสละ ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว รู้จักแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ย่อมเป็นที่รัก ที่เคารพนับถือ ของคนทั้งหลาย โดยทั่วไป เพราะการให้ ย่อมผูกไมตรีไว้ได้ และผู้ให้ ย่อมเป็นที่รัก ของคนทั้งหลาย การเป็นคนเสียสละ หรือนักเสียสละในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง การเสียสละเงินทอง หรือวัตถุสิ่งของเท่านั้น หากแต่หมายถึง การเสียสละกำลังกาย เสียสละกำลัง สติปัญญา ช่วยเหลือกิจการ ของผู้อื่น หรือสาธารณกุศล โดยส่วนรวม หรือแม้แต่ชีวิต ก็สละได้ เมื่อมาคำนึงถึง ความยุติธรรม และความถูกต้อง แต่ไม่ใช่เป็นการฆ่าตัวเอง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แปลความว่า นรชนพึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต เมื่อระลึกถึงธรรม พึงสละทุกอย่าง คือ ทั้งทรัพย์ อวัยวะ และชีวิต นอกจากเสียสละแล้ว คนที่น่ารัก จะต้อง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นด้วย คือไม่เห็นแก่ได้ หรือความสะดวกสบายส่วนตน แต่ฝ่ายเดียว ให้ความยุติธรรม แก่ทุกฝ่าย แต่คนที่มี ลักษณะขี้เหนียว ไม่เห็นใจเพื่อนมนุษย์ หรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน เป็นคนเห็นแก่ตัว และเอารัดเอาเปรียบ ก็ย่อมเป็นที่เกลียดชังแก่ผู้อื่น

๗. คนที่น่ารัก จะเป็นคนกตัญญูกตเวที ใครก็ตาม ถ้าเป็นคน ที่มีความกตัญญูกตเวที ต่อท่าน ผู้มีพระคุณ แก่ตนมาก่อน คนนั้น จัดเป็นคนดี เป็นคนที่น่ารัก และน่าเคารพนับถือ ยกย่อง จากคนทั้งหลาย เพราะเป็นการแสดง ถึงพื้นฐานจิตใจ ของคนดี ดังคำพระบาลีที่ว่า ภูมิ เว สาธุรูปานํ กตญฺญกตเวทิตา (ความกตัญญูกตเวที เป็นพื้นใจของคนดี) กตัญญูกตเวทีนี้ แยกเป็น ๒ ศัพท์ คือ กตัญญู ศัพท์หนึ่ง และกตเวที ศัพท์หนึ่ง กตัญญู หมายถึง ผู้รู้อุปการคุณ ที่คนอื่นได้เคยทำแก่ตนมา เช่น เคยเลี้ยงดู และเคยช่วยเหลือตนมา เป็นต้น แม้ยังไม่ได้ตอบแทน แต่ถ้ารู้ ถึงบุญคุณ ที่คนอื่นเคยกระทำแก่ตนมา ก็จัดเป็นคน กตัญญูแล้ว ส่วน กตเวทีนั้น หมายถึง คนที่ได้ตอบแทนอุปการคุณ ที่เขาได้เคยทำ แก่ตนมาแล้ว เช่น ได้ตอบแทน อุปการะเลี้ยงดู พ่อแม่ของตน หรือต่อคน ที่เคยช่วยเหลือตน เป็นต้น คนที่รู้บุญคุณ ที่ผู้อื่นเคยทำมาแล้วแก่ตน และได้ตอบแทนเช่นนี้ จัดเป็นคน กตัญญูกตเวที ย่อมเป็นที่รักใคร่ ของคนทั้งหลาย ที่พบเห็น และย่อมมีความเจริญก้าวหน้า ในชีวิตได้มาก เช่น คนที่เลี้ยงดูพ่อแม่ ของตนเป็นต้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มาตาปิตุอุปฏฐานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตนํ แปลว่า การเลี้ยงดูมารดาบิดา เป็นมงคลอย่างสูงสุดของชีวิต ใครก็ตาม ถ้าได้เลี้ยงดูมารดาบิดาของตน จะมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ไม่ตกอับ ถ้าจะตกอับบ้าง ก็ด้วยอำนาจกรรมชั่ว ในปางก่อนติดตามมา แต่ก็ต้องเจริญรุ่งเรือง ในที่สุด เพราะได้บุญมาก อันเกิดจากการเลี้ยงดู มารดาบิดา ของตนนั่นแล ข้อนี้ ให้พิสูจน์ดู ถ้าผู้ใด ยังมีพ่อแม่ทั้ง ๒ ยังมีชีวิตอยู่ หรือยังอยู่ คนใดคนหนึ่ง โดยเราเอาเสื้อผ้า อาหาร หรือเงินทอง ไปมอบให้แก่ท่าน หรือได้เลี้ยงดูท่าน ด้วยความจริงใจ ในอุปการคุณของท่าน คนผู้นั้น จะได้ลาภ ยศ หรือความรุ่งเรือง ในชีวิตเกิดขึ้น อย่างเห็นได้ชัด บางที ภายในเดือนหนึ่ง หรือ ๒-๓ เดือนเท่านั้น ถ้าคนผู้นั้น มีลูกมีหลาน ก็จะเลี้ยงเขาตอบ แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้ใด เป็นคนอกตัญญูอกตเวที ไม่รู้คุณท่าน ผู้มีพระคุณแก่ตน และไม่คิดตอบแทน เช่น ไม่เลี้ยงดูมารดาบิดาของตน และซ้ำร้ายกลับด่าว่าทุบตี และเหยียดหยาม มารดาบิดาของตน และปล่อยให้ท่าน ถึงความลำบาก เมื่อท่านป่วยไข้ เข้าสู่วัยชรา คนเช่นนี้ จะไม่มีความเจริญรุ่งเรือง ในชีวิตได้เลย จะมีแต่ตกต่ำฝ่ายเดียว ถ้าจะเจริญบ้าง ก็ด้วยอำนาจกรรมดี ในปางก่อน ดลบันดาลมา แต่ก็ต้องเสื่อม ไปในที่สุด เพราะบาปมาก อันเกิดจากการประพฤติผิด ต่อมารดาบิดาของตน ถ้าเขามีลูกมีหลาน ก็จะประพฤติต่อเขา เหมือนอย่างที่เขา เคยประพฤติต่อพ่อแม่ของตน ด้วยเหตุนี้ คนส่วนใหญ่ในบ้านเรา ไม่ว่าจะยากจน หรือร่ำรวย ก็จะไม่ทอดทิ้งพ่อแม่ของตัวเอง ฉะนั้น คนแก่คนเฒ่าบางคนในบ้านเรา จึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี จากลูกหลานของตน มากกว่า คนแก่ในบางประเทศ ซึ่งมักจะถูกทอดทิ้ง ความกตัญญูกตเวที จึงมีผลอย่างมาก ต่อครอบครัว และในสังคมโดยส่วนรวม ฉะนั้น ความกตัญญูกตเวที จึงเป็นลักษณะ ของคนที่น่ารัก และเป็นประโยชน์เกื้อกูล ต่อสังคมโดยส่วนรวม

๘. คนที่น่ารัก จะเป็นคน ไม่มีนิสัยริษยา เสียดสีผู้อื่น ใครก็ตาม ถ้าเป็นคนมีนิสัย ริษยาผู้อื่น เห็นใครเขาได้ดี ทนอยู่ไม่ได้ รู้สึกเร่าร้อนใจ ไม่สบายใจ ในความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าของผู้อื่น และพยายามกลั่นแกล้ง กีดกัน ต่อผู้ที่ดี เหนือกว่าตน ไม่อยากให้เขาได้ดีเหนือตน เช่น เห็นเขาสบายกว่าตน เขารวยกว่าตน เขามีทรัพย์สมบัติ และเกียรติยศชื่อเสียง เหนือกว่าตน หรือไม่อยากให้เขาดีเสมอตน ก็มีความเร่าร้อนใจ ที่เรียกว่า อิจฉาตาร้อน ต้องการให้ผู้นั้นเสื่อมไป หรือไม่ได้รับสิ่งที่ดีนั้น เหนือตน หรือเหนือกว่า ดีกว่าคน ที่ตนรักใคร่นับถือ คนเช่นนี้ ย่อมมีใจต่ำ และจิตใจ ที่ร้อนผ่าว เมื่อเห็นคนอื่น เขาได้ดี เป็นคนขาดมุทิตา คือ การพลอยยินดี เมื่อผู้อื่นเขาได้ดี แท้ที่จริง ความริษยา เป็นพิษต่อจิตใจ ของผู้ริษยาเอง คือทำให้ใจเร่าร้อน ไม่สงบสุข แม้คนที่ถูกริษยา เขาจะทุกข์ หรือไม่ก็ตาม แต่คนที่ริษยา ก็มีความเดือดร้อนแล้ว เพราะสร้างไฟริษยาขึ้น มาเผาใจตนเอง บางคน ไม่ใช่มีนิสัยริษยาอย่างเดียว แต่ยังมีนิสัยเสียดสีผู้อื่นอีกด้วย คือ กระทำ หรือพูดกระทบกระแทก ให้คนอื่นเขาเจ็บใจ เพราะเขาทน ในความสุขความเจริญ ของผู้อื่นไม่ได้ คนเช่นนี้ นอกจากตนเอง จะเดือดร้อนแล้ว ก็ยังทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย และเป็นที่เกลียดชัง ของคนที่มีใจ เป็นธรรมทั้งหลาย แต่คนใด ที่มีนิสัย ไม่ริษยาเสียดสีผู้อื่น และพลอยยินดี เมื่อผู้อื่นเขาได้ดี เช่น เห็นเขาสวย เขารวย เขามียศตำแหน่ง ฐานะดี ก็แสดงความยินดีต่อคนผู้นั้น ด้วยจริงใจ เหมือนอย่างพ่อแม่ เห็นความเจริญรุ่งเรืองของลูก ก็รู้สึกปลื้มใจยินดี อย่างเหลือล้น และด้วยความบริสุทธิ์ใจ คนเช่นนี้ ย่อมได้รับความสุขใจ และเป็นที่รักใคร่ ยกย่อง ของคนทั้งหลาย เพราะเป็นผู้มีใจสูง ประกอบด้วยคุณธรรม ฉะนั้น การเป็นคน ไม่มีนิสัยริษยา เสียดสีผู้อื่น จึงนับว่า เป็นลักษณะ ของคนที่น่ารักประการหนึ่ง

๙. คนที่น่ารัก จะเป็นคนที่มีนิสัยสุขุม รอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน ใครก็ตาม ไม่ว่าจะทำงาน จะลุก จะเดิน จะเจรจาปราศรัย ก็ทำด้วย ความนิ่มนวล สุขุมรอบคอบ มีนิสัยเรียบร้อย สำรวม ละมุนละม่อม ไม่โฉ่งฉาง มีกิริยามารยาท น่าเลื่อมใส น่ารัก น่าเอ็นดู ถ้าเป็นผู้ใหญ่ ก็น่าเคารพนับถือ น่าบูชา และทำงาน ด้วยความเรียบร้อย ไม่ประมาท ไม่ทำให้เกิดความเสียหาย ผลงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เป็นที่พอใจ ของผู้พบเห็น ทั้งเป็นคนไม่อวดดื้อ ถือดี ไม่ยกตนข่มท่าน ให้เกียรติแก่คนทั้งหลาย คนเช่นนี้ ย่อมเป็นที่เคารพ รักใคร่ นับถือ ยกย่อง ของคนทั่วไป ทั้งได้รับความไว้วางใจ ให้ทำงาน ที่ต้องไว้วางใจสูง ที่มีเกียรติ หรือตำแหน่งสูง เพราะมีลักษณะนิสัย เป็นที่ประทับใจ ของคนทั่วไป แต่ในทางตรงกันข้าม หากว่าผู้ใด มีนิสัยขาดความสุขุมรอบคอบ ไร้มารยาท ทำงานด้วยความประมาทเลินเล่อ ทำให้การงานเสียหาย และมีนิสัยกดขี่ข่มเหงผู้อื่น ยกตน และพวกพ้อง ของตนว่าดีแต่ผู้เดียว แต่ข่มผู้อื่น แม้เขาจะดี ก็พูดไม่ให้กำลังใจ คนเช่นนี้ ไม่ค่อยมีใครอยากคบค้าสมาคม ไม่มีใครพอใจ ให้ทำงาน หรือทำงานด้วย ฉะนั้น คนดีทั้งหลาย จึงพยายามหลีกเลี่ยงนิสัย ที่ตรงกันข้ามนี้เสีย แล้วพยายามฝึกอบรม นิสัยของตนเอง ให้สุขุมรอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน เพราะย่อม เป็นไปเพื่อความน่ารัก อันมีผลสะท้อน เป็นความสุขความเจริญ ทั้งแต่ตนเอง และสังคมโดยส่วนรวม

เราจะเห็นได้ว่า คนที่มีลักษณะนิสัยน่ารักนั้น ย่อมเป็นที่รัก ของคนทั้งหลาย นำความสงบสุข และความเจริญรุ่งเรือง มาแก่ตน และสังคมส่วนรวมได้อย่างไร ส่วนคน ที่มีลักษณะนิสัยตรงกันข้าม ย่อมเป็นที่เกลียดชัง ของคนทั้งหลาย และนำความเสื่อม มาสู่ตน และโดยส่วนรวมอย่างไร เมื่อเราทราบชัดเจนเช่นนี้ ก็พึง ฝึกอบรมตน ให้มีลักษณะที่น่ารักทั้ง ๙ ประการ ไม่เป็นคนอวดดี ไม่พูดมากจนคนอื่นเบื่อ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว พูดจาอ่อนหวาน เป็นคนเสียสละ ไม่เอาเปรียบผู้อื่น เป็นคนกตัญญูกตเวที เป็นคนไม่มีนิสัย ริษยาเสียดสีผู้อื่น และเป็นคนมีนิสัยสุขุม รอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน ก็จะเป็นที่รักใคร่ ชอบใจของคนทั้งหลาย ซึ่ง ย่อมเป็นไปเพื่อ ความสุขความเจริญ ทั้งแก่ตนเอง และสังคมโดยส่วนรวม ไม่เสียที ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ขอให้ทุกท่าน จงประสบแต่ความสุขความเจริญ เป็นที่รักใคร่เคารพ นับถือ ของคนทั้งหลาย ด้วยการสร้างลักษณะ ของคนที่น่ารักทั้ง ๙ ประการ ดังที่กล่าวมาแล้ว โดยทั่วกัน ครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

บาปกรรมหนัก 3 ข้อ ของการเป็นชู้ คบชู้และนอกใจ

กรรมของคน ชอบใส่ร้ายป้ายสี และนินทาผู้อื่น

หนทาง 7 สาย กรรมดีกรรมชั่ว ชีวิตหลังความตาย

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

พุทธประวัติ EP.4 การจุติจากดุสิตลงสู่ครรภ์ เกิดแสงสว่าง และแผ่นดินไหว เนื่องด้วยการจุติ

ผ้าเปลือกปอ (เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม)

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

วันอาสาฬหบูชา มีความสำคัญอย่างไร

ประโยชน์ของการเจริญสมาธิ (สัมมาสมาธิ)