ตายแล้วไปไหน รู้ไว้ก่อนตาย จะได้เตรียมตัวเตรียมใจ
สวัสดีครับ วันนี้ผมมีคติธรรม และข้อคิด เรื่องของความตาย ที่เราทุกคนควรจะรู้ไว้ก่อนตาย มาฝาก
เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม ด้วยนะครับ
ความตายนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ จะหลีกเลี่ยงหรือหลบหนีไม่ได้เป็นอันขาด และจริงอยู่ที่ว่า คนเรานั้นไม่สามารถรู้ได้ว่า เราจะตายเมื่อไร และตายอย่างไร หรืออาจจะตายแบบรู้ตัว อาจจะป่วยตาย หรืออยู่ดีๆ ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุตายไป แบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้ วันนี้ผมจึงเอาคติธรรม จากครูบาอาจารย์ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ได้รู้ไว้ก่อนตาย โดยพระพุทธศาสนาสอนว่า ถ้าเราเผชิญกับความตาย ด้วยใจที่สงบ หรือวางจิตให้เป็นกุศลได้ จิตนั้นก็จะนำไปสู่สุคติ ซึ่งการเตรียมตัวที่จะตาย จะทำให้เรากล้าเผชิญหน้ากับมัน
หลายๆ ท่าน อาจจะคิดว่า ความตายเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริงๆ แล้วความตายนั้น ติดตามเราไปทุกที่ ไม่มีใครเลือกได้ว่า จะตายตอนไหน เพราะเราทุกคนนั้น เกิดมาก็ต้องตาย ไม่มีใครที่จะหลีกหนี สัจธรรมข้อนี้ได้พ้น แต่จะมีสักกี่คน ที่กล้าและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตาย เตรียมตัวตาย แบบไม่ต้องมีห่วงและกังวลอะไรที่อยู่ข้างหลัง บางคนคิดว่า การเตรียมตัวตายเป็นการแช่ง เป็นเรื่องอัปมงคล แต่ถึงอย่างไร คนเราก็จะต้องตาย และเพื่อให้ชินกับความตาย ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง และคนใกล้ชิด การนึกถึงความตายอยู่เนืองๆ ก็เป็นการเตือนสติให้ตัวเอง ได้เป็นอย่างดี ให้เราพร้อมที่จะรับมือ กับความตายอย่างมีสติมากขึ้น
ในยามที่เรายังมีชีวิตอยู่ เรามักไม่ได้คิดถึง เรื่องความตายอย่างลึกซึ้งว่า คนเราตายแล้วไปไหน ตายแล้วจะได้เกิดอีกหรือไม่ และนรกสวรรค์มีอยู่จริงหรือไม่ ในทางพระพุทธศาสนา องค์พระสัมมาสัมพุพธเจ้า ได้ทรงกล่าวถึงความตายไว้ว่า ความตายที่แท้จริงนั้นไม่มี การที่ร่างกายเสื่อมสลายหายไป เป็นเพียงการแตกสลาย แยกกันไปของธาตุ ที่เคยรวมกันอยู่ เหลือเพียงดวงจิตของเรา ซึ่งจะท่องไปตามเหตุ ตามกรรม ในต่างวาระ นั่นก็คือ การเวียนว่ายตายเกิด หรือที่เรียกว่า “สังสารวัฏ” โดยเชื่อว่า คนเราทุกคน ล้วนเคยเกิดมาแล้วทั้งสิ้น นับครั้งไม่ถ้วน ในภพภูมิที่ดีบ้าง และไม่ดีบ้าง ตามกฏแห่งกรรม หรือผลของการกระทำ ที่ได้ทำไว้ทั้งดี และชั่ว หากเรายังประกอบกรรมชั่วไว้มาก จิตยังมีกิเลสอยู่มาก ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่อย่างนั้น ในภพภูมิที่ต่ำ ซึ่งมีแต่ความทุกข์ทรมาน หากประกอบกรรมดีมากขึ้น รู้จักขัดเกลาจิต ให้ละกิเลสได้มากขึ้น ก็จะทำให้ ไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งมีความประเสริฐสุขมากขึ้น และหากประกอบแต่กรรมดี สามารถอบรมจิตให้บริสุทธิ์สะอาดปราศจากซึ่งกิเลสทั้งมวล ก็จะได้ “นิพพาน” นั่นคือ การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งถือเป็นความสุขอันแท้จริงยิ่งใหญ่ และเป็นจุดหมายสูงสุด ในทางพระพุทธศาสนา
สิ่งที่แน่นอนที่สุด อย่างความตายนั้น เป็นเรื่องที่เราต้องเตือนตัวเองตลอดเวลาว่า ไม่มีใครหนีพ้นจากความตาย เพราะทุกคนนั้น เกิดมาก็ต้องตาย เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะเตรียมตัวตายอย่างมีสติ พยายามเตือนตัวเอง ให้รู้ไว้เสมอว่า คนเราเกิดมาต้องตาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เราควรจะต้องรู้ และเข้าใจอย่างยิ่ง แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่คิด และไม่สนใจในเรื่องนี้ จึงได้ใช้ชีวิตอย่างประมาท เลื่อนลอย ไร้จุดหมาย เพราะยังไม่คิดว่า ตัวเองจะต้องตายในเร็ววันนี้ ถึงแม้ว่า ความตายนั้น จะไม่เคยเลือกสถานที่และเวลา แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อย ที่คิดว่าความตาย เป็นเรื่องไกลตัว สุดท้าย พอชีวิตใกล้ความตายเข้าจริงๆ ก็มีห่วง มีบ่วง ทำให้ชีวิตจากไป อย่างไม่สงบ จากไปด้วยใจที่เป็นทุกข์ เป็นต้น
การวางแผนชีวิตไว้ก่อนตายนั้น ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อเราไม่ได้อยู่แล้ว คนข้างหลังจะอยู่ และใช้ชีวิตอย่างไร ซึ่งเป็นความห่วงอันดับต้นๆ ที่ทุกคนมี เพราะฉะนั้น ก่อนชีวิตจะจบลง ก็ต้องคลายห่วงต่างๆ เหล่านี้เสียก่อน เช่น เราจะเตรียมอะไรไว้ให้ลูกหลาน และคนรอบตัวได้บ้าง เมื่อวางแผน และจัดการทุกอย่างเรียบร้อย จะจากไปเมื่อไรก็หมดห่วง แล้วเราจะได้ใช้ชีวิตที่เหลือ อย่างมีความสุข เพราะได้เตรียมตัวไว้พร้อมที่จะตายอย่างหมดห่วง ซึ่งก็แปลว่าเรา ได้ตระหนักแล้วว่า ชีวิตนี้มันสั้นนัก และมีเวลาเหลืออีกไม่นาน ทำให้เราใช้ชีวิตในทุกวัน อย่างรู้คุณค่า และมีสติในทุกย่างก้าว ไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง มีจุดโฟกัส ที่ชัดเจนให้กับชีวิต เพราะในที่สุดแล้ว เราก็หนีความจริงไปไม่พ้น จะเตรียมหรือไม่เตรียมตัวไว้ ทุกคนก็ต้องตาย เพราะฉะนั้น ถ้าเลือกได้ ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ พร้อมรับความตายอย่างมีสติ ดีกว่าตายอย่างตระหนก ทุรนทุราย ทำให้ชีวิตในช่วงสุดท้าย เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาณ
แม้ชีวิตหลังความตาย จะยังคงเป็นปริศนา ที่ยังหาคำตอบได้ยาก แต่ถ้าหากเรา พิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว คติความเชื่อ ทั้งหลายเหล่านี้ ก็ได้กลายเป็นกุศโลบายอันยอดเยี่ยม ที่ทำให้มนุษย์อย่างเราทั้งหลาย มีความเกรงกลัว ต่อการทำบาป หรือการทำความชั่ว ด้วยความกลัวที่ว่า จะต้องตกนรก หรือได้รับความทุกข์ ความทรมาน ในภพชาติหน้า และในทางตรงกันข้าม ได้กลายเป็นแรงจูงใจ ให้เราทำแต่ความดี เพื่อจะได้เสวยสุข ในสวรรค์ชั้นฟ้า หรือหากชาติหน้าเกิดมา ก็จะมีแต่ความสมบูรณ์พูนสุข และมากไปกว่านั้น หากผู้ใดสามารถรู้แจ้ง และปฏิบัติตามแนวทาง ที่องค์พระสัมมาสัมพุธเจ้า ทรงสั่งสอนไว้ ได้อย่างเคร่งครัด และสมบูรณ์ คือประกอบแต่ความดีทั้งสิ้น ละเว้นความชั่วทั้งหลาย และตัดกิเลส อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงได้ ก็จะได้ไปสู่ “นิพพาน” อันเป็นความสุขสูงสุดที่แท้จริง ยิ่งกว่าสวรรค์ชั้นใดๆ เป็นความสุข ซึ่งหาที่เปรียบมิได้เลย ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ขอขอบคุณที่มา ..http://www.suriyafuneral.com/article4/
เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม ด้วยนะครับ
ความตายนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ จะหลีกเลี่ยงหรือหลบหนีไม่ได้เป็นอันขาด และจริงอยู่ที่ว่า คนเรานั้นไม่สามารถรู้ได้ว่า เราจะตายเมื่อไร และตายอย่างไร หรืออาจจะตายแบบรู้ตัว อาจจะป่วยตาย หรืออยู่ดีๆ ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุตายไป แบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้ วันนี้ผมจึงเอาคติธรรม จากครูบาอาจารย์ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ได้รู้ไว้ก่อนตาย โดยพระพุทธศาสนาสอนว่า ถ้าเราเผชิญกับความตาย ด้วยใจที่สงบ หรือวางจิตให้เป็นกุศลได้ จิตนั้นก็จะนำไปสู่สุคติ ซึ่งการเตรียมตัวที่จะตาย จะทำให้เรากล้าเผชิญหน้ากับมัน
หลายๆ ท่าน อาจจะคิดว่า ความตายเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริงๆ แล้วความตายนั้น ติดตามเราไปทุกที่ ไม่มีใครเลือกได้ว่า จะตายตอนไหน เพราะเราทุกคนนั้น เกิดมาก็ต้องตาย ไม่มีใครที่จะหลีกหนี สัจธรรมข้อนี้ได้พ้น แต่จะมีสักกี่คน ที่กล้าและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตาย เตรียมตัวตาย แบบไม่ต้องมีห่วงและกังวลอะไรที่อยู่ข้างหลัง บางคนคิดว่า การเตรียมตัวตายเป็นการแช่ง เป็นเรื่องอัปมงคล แต่ถึงอย่างไร คนเราก็จะต้องตาย และเพื่อให้ชินกับความตาย ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง และคนใกล้ชิด การนึกถึงความตายอยู่เนืองๆ ก็เป็นการเตือนสติให้ตัวเอง ได้เป็นอย่างดี ให้เราพร้อมที่จะรับมือ กับความตายอย่างมีสติมากขึ้น
ในยามที่เรายังมีชีวิตอยู่ เรามักไม่ได้คิดถึง เรื่องความตายอย่างลึกซึ้งว่า คนเราตายแล้วไปไหน ตายแล้วจะได้เกิดอีกหรือไม่ และนรกสวรรค์มีอยู่จริงหรือไม่ ในทางพระพุทธศาสนา องค์พระสัมมาสัมพุพธเจ้า ได้ทรงกล่าวถึงความตายไว้ว่า ความตายที่แท้จริงนั้นไม่มี การที่ร่างกายเสื่อมสลายหายไป เป็นเพียงการแตกสลาย แยกกันไปของธาตุ ที่เคยรวมกันอยู่ เหลือเพียงดวงจิตของเรา ซึ่งจะท่องไปตามเหตุ ตามกรรม ในต่างวาระ นั่นก็คือ การเวียนว่ายตายเกิด หรือที่เรียกว่า “สังสารวัฏ” โดยเชื่อว่า คนเราทุกคน ล้วนเคยเกิดมาแล้วทั้งสิ้น นับครั้งไม่ถ้วน ในภพภูมิที่ดีบ้าง และไม่ดีบ้าง ตามกฏแห่งกรรม หรือผลของการกระทำ ที่ได้ทำไว้ทั้งดี และชั่ว หากเรายังประกอบกรรมชั่วไว้มาก จิตยังมีกิเลสอยู่มาก ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่อย่างนั้น ในภพภูมิที่ต่ำ ซึ่งมีแต่ความทุกข์ทรมาน หากประกอบกรรมดีมากขึ้น รู้จักขัดเกลาจิต ให้ละกิเลสได้มากขึ้น ก็จะทำให้ ไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งมีความประเสริฐสุขมากขึ้น และหากประกอบแต่กรรมดี สามารถอบรมจิตให้บริสุทธิ์สะอาดปราศจากซึ่งกิเลสทั้งมวล ก็จะได้ “นิพพาน” นั่นคือ การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งถือเป็นความสุขอันแท้จริงยิ่งใหญ่ และเป็นจุดหมายสูงสุด ในทางพระพุทธศาสนา
สิ่งที่แน่นอนที่สุด อย่างความตายนั้น เป็นเรื่องที่เราต้องเตือนตัวเองตลอดเวลาว่า ไม่มีใครหนีพ้นจากความตาย เพราะทุกคนนั้น เกิดมาก็ต้องตาย เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะเตรียมตัวตายอย่างมีสติ พยายามเตือนตัวเอง ให้รู้ไว้เสมอว่า คนเราเกิดมาต้องตาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เราควรจะต้องรู้ และเข้าใจอย่างยิ่ง แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่คิด และไม่สนใจในเรื่องนี้ จึงได้ใช้ชีวิตอย่างประมาท เลื่อนลอย ไร้จุดหมาย เพราะยังไม่คิดว่า ตัวเองจะต้องตายในเร็ววันนี้ ถึงแม้ว่า ความตายนั้น จะไม่เคยเลือกสถานที่และเวลา แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อย ที่คิดว่าความตาย เป็นเรื่องไกลตัว สุดท้าย พอชีวิตใกล้ความตายเข้าจริงๆ ก็มีห่วง มีบ่วง ทำให้ชีวิตจากไป อย่างไม่สงบ จากไปด้วยใจที่เป็นทุกข์ เป็นต้น
การวางแผนชีวิตไว้ก่อนตายนั้น ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อเราไม่ได้อยู่แล้ว คนข้างหลังจะอยู่ และใช้ชีวิตอย่างไร ซึ่งเป็นความห่วงอันดับต้นๆ ที่ทุกคนมี เพราะฉะนั้น ก่อนชีวิตจะจบลง ก็ต้องคลายห่วงต่างๆ เหล่านี้เสียก่อน เช่น เราจะเตรียมอะไรไว้ให้ลูกหลาน และคนรอบตัวได้บ้าง เมื่อวางแผน และจัดการทุกอย่างเรียบร้อย จะจากไปเมื่อไรก็หมดห่วง แล้วเราจะได้ใช้ชีวิตที่เหลือ อย่างมีความสุข เพราะได้เตรียมตัวไว้พร้อมที่จะตายอย่างหมดห่วง ซึ่งก็แปลว่าเรา ได้ตระหนักแล้วว่า ชีวิตนี้มันสั้นนัก และมีเวลาเหลืออีกไม่นาน ทำให้เราใช้ชีวิตในทุกวัน อย่างรู้คุณค่า และมีสติในทุกย่างก้าว ไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง มีจุดโฟกัส ที่ชัดเจนให้กับชีวิต เพราะในที่สุดแล้ว เราก็หนีความจริงไปไม่พ้น จะเตรียมหรือไม่เตรียมตัวไว้ ทุกคนก็ต้องตาย เพราะฉะนั้น ถ้าเลือกได้ ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ พร้อมรับความตายอย่างมีสติ ดีกว่าตายอย่างตระหนก ทุรนทุราย ทำให้ชีวิตในช่วงสุดท้าย เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาณ
แม้ชีวิตหลังความตาย จะยังคงเป็นปริศนา ที่ยังหาคำตอบได้ยาก แต่ถ้าหากเรา พิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว คติความเชื่อ ทั้งหลายเหล่านี้ ก็ได้กลายเป็นกุศโลบายอันยอดเยี่ยม ที่ทำให้มนุษย์อย่างเราทั้งหลาย มีความเกรงกลัว ต่อการทำบาป หรือการทำความชั่ว ด้วยความกลัวที่ว่า จะต้องตกนรก หรือได้รับความทุกข์ ความทรมาน ในภพชาติหน้า และในทางตรงกันข้าม ได้กลายเป็นแรงจูงใจ ให้เราทำแต่ความดี เพื่อจะได้เสวยสุข ในสวรรค์ชั้นฟ้า หรือหากชาติหน้าเกิดมา ก็จะมีแต่ความสมบูรณ์พูนสุข และมากไปกว่านั้น หากผู้ใดสามารถรู้แจ้ง และปฏิบัติตามแนวทาง ที่องค์พระสัมมาสัมพุธเจ้า ทรงสั่งสอนไว้ ได้อย่างเคร่งครัด และสมบูรณ์ คือประกอบแต่ความดีทั้งสิ้น ละเว้นความชั่วทั้งหลาย และตัดกิเลส อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงได้ ก็จะได้ไปสู่ “นิพพาน” อันเป็นความสุขสูงสุดที่แท้จริง ยิ่งกว่าสวรรค์ชั้นใดๆ เป็นความสุข ซึ่งหาที่เปรียบมิได้เลย ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ขอขอบคุณที่มา ..http://www.suriyafuneral.com/article4/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น