ฝึกปล่อยวาง ด้วยคำสอนของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท
สวัสดีครับ วันนี้ผมมีคติธรรม และข้อคิดสอนใจเกี่ยวกับการปล่อยวาง ด้วยคำสอน ของหลวงพ่อชา สุภทฺโท มาฝากครับ
ในตอนนี้คงจะมีหลายๆ ท่าน ที่กำลังมีความทุกข์ จากเรื่องงาน เรื่องความรัก เรื่องเงินทอง หรือเรื่องชีวิต และก็ไม่รู้จะหาวิธีปล่อยวาง จากเรื่องต่างๆ เหล่านี้อย่างไร วันนี้ ผมจึงเอาคติธรรม คำสอน ของหลวงพ่อชา สุภทฺโท บางส่วน มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ที่กำลังอยากปล่อยวาง จากความทุกข์ หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร) เป็นพระวิปัสสนาจารย์ ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทั้งชาวไทย และต่างชาติ ซึ่งเป็นเพราะ คำสอนของท่าน ตรงใจคน และท่านยังนำธรรมอันลึกซึ้ง มาเปรียบเปรยให้เข้าใจได้ง่าย โดยเฉพาะเรื่องการปล่อยวางความทุกข์ และความสุข คำสอนของหลวงพ่อ ที่จะทำให้เรารู้จักปล่อยวาง จะมีอะไรบ้าง ไปชมกันเลยครับ
๑. ความสุข และความทุกข์นี้ ก็เปรียบเสมือนงูตัวหนึ่ง ทางหัว มันเป็นทุกข์ ทางหาง มันเป็นสุข เพราะถ้าลูบทางหัว มันมีพิษ ทางปากมันมีพิษ ไปใกล้ทางหัวมัน มันก็กัดเอา ไปจับหาง มันก็ดูเหมือนเป็นสุข แต่ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมา กัดได้เหมือนกัน เพราะทั้งหัวงู และหางงู มันก็อยู่ในงูตัวเดียวกัน คือ ตัณหา ความลุ่มหลงนั่นเอง
๒. เมื่อเราทำบุญ แต่ยังไม่ละบาป ก็เหมือนกับเรา เอากะละมังไปคว่ำ ไว้กลางแจ้ง เมื่อฝนตกลงมา ก็ถูกก้นกะละมังเหมือนกัน แต่มันถูกข้างนอก ไม่ได้ถูกข้างใน น้ำก็ไม่มีโอกาส ที่จะเต็มกะละมังได้
๓. ไม้อันที่หลวงพ่อถืออยู่นี้ มันสั้น หรือว่ามันยาว ไม้อันนี้ เป็นธรรมชาติแท้ๆ ของมันมีแค่นี้ เท่านี้ มันไม่สั้น และมันก็ไม่ยาว ความต้องการ ที่จะให้ไม้นี้ มันสั้นเข้า หรือยาวออก นั่นแหละ คือ ความทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรายอมตามธรรมชาติ ที่มันเป็นอยู่ ยอมที่ไหน ทุกข์ ก็ไม่เกิดที่นั่น
๔. หน้าที่ของเรานั้น ทำเหตุ ให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนผลที่จะได้รับ เป็นเรื่องของเขา ถ้าเราดำเนินชีวิต โดยมีการปล่อยวาง เช่นนี้แล้ว ความทุกข์ ก็ไม่รุมล้อมตัวเรา
๕. ถ้าไฟมันไหม้ ก็อย่าให้มันไหม้หัวใจเรา ถ้าน้ำมันท่วม ก็อย่าให้มันท่วมหัวใจเรา ให้มันท่วมแต่บ้าน ให้มันไหม้แต่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ นอกกายของเรา ส่วนจิตใจของเรานั้น ให้มันปล่อยวาง
๖. โลกนี้เป็นของพอดี แต่เรามีความโลภ ความทะเยอทะยานไปเอง ไม่รู้จักโลก ไม่รู้จักภาษาของโลก ไม่รู้จักความหมาย ของโลกว่า มันเปลี่ยนแปลง อยู่ตามธรรมชาติของมัน อยู่ทุกวินาที ว่าเมื่อมันเกิด แล้วมันก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เมื่อเจ็บแล้ว มันก็ตาย
๗. ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้ว จะปล่อยหมด สิ่งที่ดี ก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่ว ก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชอบใจ ก็ปล่อยมันไป เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่า ตัวที่มีพิษร้ายนั้น ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไป มันก็เลื้อย ไปทั้งที่มี “พิษ” อยู่ในตัวมัน นั่นเอง
๘. ถ้าเราอยากได้กระโถน เราก็ยกมันขึ้นมา มีความรู้สึกว่ามันหนักเพิ่มขึ้นมา มันมีเหตุ หนักมันจะเกิดเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่ เพราะเราไปยกมัน ถ้าเราไม่ยกมัน มันก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่ยก มันก็เบา อะไรเป็นเหตุผล เท่านี้เราก็คงจะรู้ ถ้าเราไปยึดอะไร อันนั้นแหละ เป็นเหตุ ให้ทุกข์เกิด ถ้าเรา ปล่อย มันก็ไม่มีทุกข์
๙. ถ้วยเอาไว้ที่ไหน มันก็ต้องแตก จานเอาไว้ที่ไหน ก็ต้องแตก แต่ถ้าเราสอนเด็กว่า ล้างให้มันสะอาด เก็บไว้ให้ดี ที่เราสอนเด็กอย่างนี้ ก็เพื่อเรา จะได้ใช้ถ้วยไปนานๆ ซึ่งอันนี้ เรารู้จักธรรมะ เราเอาธรรมะมาปฏิบัติ แต่ถ้าเราเห็นว่า ถ้วยหรือจาน มันกำลังจะแตกอยู่แล้ว เราก็บอกเด็กว่า ช่างมันเถอะ กินแล้วก็ไม่ต้องล้างมันหรอก มันจะตกก็ช่างมันเถอะ ไม่ใช่ของเราหรอก เอาทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้ มันจะแตกอยู่แล้ว ซึ่งอย่างนี้ ก็เป็นคนโง่ไป ถ้าเราเป็น “ผู้รู้สมมุติ” อันนี้ เมื่อมันเจ็บไข้ ก็หาหยูกยาให้มันกิน เมื่อมันร้อน ก็อาบน้ำให้มัน เมื่อมันเย็น ก็หาความอบอุ่นให้มัน เมื่อมันหิว ก็หาข้าวให้มันกิน แต่ให้เรารู้ว่า ให้ข้าวมันกิน มันก็จะตายอยู่ แต่ในเวลานี้ ยังไม่ถึงคราวจะตาย เหมือนกับถ้วยใบนี้ ยังไม่แตก ก็รักษาถ้วยใบนี้ ให้มันเกิดประโยชน์ เสียก่อน
๑๐. สมมุติว่า วันนี้ เราหาเงินได้ ๑๐๐ บาท ธรรมชาติของมันแค่ ๑๐๐ บาท จะอยากให้ได้มากกว่านั้น ก็ไม่ได้ จะอยากให้ได้น้อยกว่านั้น ก็ไม่ได้ หาได้ ๕๐ บาท ธรรมชาติของเขาก็แค่นั้น หาไม่ได้เลย ธรรมชาติของมัน ก็เท่ากับหาไม่ได้เลย ยอมตามธรรมชาติ ที่มันเป็นทุกอย่าง ทุกแห่ง ทุกข์ก็จะไม่เกิด ธรรมะอย่างนี้ ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ ใครๆ ก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติเมื่อไร ที่ไหน ความทุกข์ก็ไม่เกิดเมื่อนั้น ที่นั่น เป็นยังไงบ้างครับคุณผู้ชม การฝึกปล่อยวาง ด้วยคำสอน ของหลวงพ่อชา สุภทฺโท หวังว่าคำสอนของหลวง จะเกิดประโยชน์กับทุกท่าน ที่อยากจะฝึก เพื่อให้รู้จักการปล่อยวางน่ะครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้" สาธุครับ
ในตอนนี้คงจะมีหลายๆ ท่าน ที่กำลังมีความทุกข์ จากเรื่องงาน เรื่องความรัก เรื่องเงินทอง หรือเรื่องชีวิต และก็ไม่รู้จะหาวิธีปล่อยวาง จากเรื่องต่างๆ เหล่านี้อย่างไร วันนี้ ผมจึงเอาคติธรรม คำสอน ของหลวงพ่อชา สุภทฺโท บางส่วน มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ที่กำลังอยากปล่อยวาง จากความทุกข์ หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร) เป็นพระวิปัสสนาจารย์ ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทั้งชาวไทย และต่างชาติ ซึ่งเป็นเพราะ คำสอนของท่าน ตรงใจคน และท่านยังนำธรรมอันลึกซึ้ง มาเปรียบเปรยให้เข้าใจได้ง่าย โดยเฉพาะเรื่องการปล่อยวางความทุกข์ และความสุข คำสอนของหลวงพ่อ ที่จะทำให้เรารู้จักปล่อยวาง จะมีอะไรบ้าง ไปชมกันเลยครับ
๑. ความสุข และความทุกข์นี้ ก็เปรียบเสมือนงูตัวหนึ่ง ทางหัว มันเป็นทุกข์ ทางหาง มันเป็นสุข เพราะถ้าลูบทางหัว มันมีพิษ ทางปากมันมีพิษ ไปใกล้ทางหัวมัน มันก็กัดเอา ไปจับหาง มันก็ดูเหมือนเป็นสุข แต่ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมา กัดได้เหมือนกัน เพราะทั้งหัวงู และหางงู มันก็อยู่ในงูตัวเดียวกัน คือ ตัณหา ความลุ่มหลงนั่นเอง
๒. เมื่อเราทำบุญ แต่ยังไม่ละบาป ก็เหมือนกับเรา เอากะละมังไปคว่ำ ไว้กลางแจ้ง เมื่อฝนตกลงมา ก็ถูกก้นกะละมังเหมือนกัน แต่มันถูกข้างนอก ไม่ได้ถูกข้างใน น้ำก็ไม่มีโอกาส ที่จะเต็มกะละมังได้
๓. ไม้อันที่หลวงพ่อถืออยู่นี้ มันสั้น หรือว่ามันยาว ไม้อันนี้ เป็นธรรมชาติแท้ๆ ของมันมีแค่นี้ เท่านี้ มันไม่สั้น และมันก็ไม่ยาว ความต้องการ ที่จะให้ไม้นี้ มันสั้นเข้า หรือยาวออก นั่นแหละ คือ ความทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรายอมตามธรรมชาติ ที่มันเป็นอยู่ ยอมที่ไหน ทุกข์ ก็ไม่เกิดที่นั่น
๔. หน้าที่ของเรานั้น ทำเหตุ ให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนผลที่จะได้รับ เป็นเรื่องของเขา ถ้าเราดำเนินชีวิต โดยมีการปล่อยวาง เช่นนี้แล้ว ความทุกข์ ก็ไม่รุมล้อมตัวเรา
๕. ถ้าไฟมันไหม้ ก็อย่าให้มันไหม้หัวใจเรา ถ้าน้ำมันท่วม ก็อย่าให้มันท่วมหัวใจเรา ให้มันท่วมแต่บ้าน ให้มันไหม้แต่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ นอกกายของเรา ส่วนจิตใจของเรานั้น ให้มันปล่อยวาง
๖. โลกนี้เป็นของพอดี แต่เรามีความโลภ ความทะเยอทะยานไปเอง ไม่รู้จักโลก ไม่รู้จักภาษาของโลก ไม่รู้จักความหมาย ของโลกว่า มันเปลี่ยนแปลง อยู่ตามธรรมชาติของมัน อยู่ทุกวินาที ว่าเมื่อมันเกิด แล้วมันก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เมื่อเจ็บแล้ว มันก็ตาย
๗. ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้ว จะปล่อยหมด สิ่งที่ดี ก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่ว ก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชอบใจ ก็ปล่อยมันไป เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่า ตัวที่มีพิษร้ายนั้น ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไป มันก็เลื้อย ไปทั้งที่มี “พิษ” อยู่ในตัวมัน นั่นเอง
๘. ถ้าเราอยากได้กระโถน เราก็ยกมันขึ้นมา มีความรู้สึกว่ามันหนักเพิ่มขึ้นมา มันมีเหตุ หนักมันจะเกิดเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่ เพราะเราไปยกมัน ถ้าเราไม่ยกมัน มันก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่ยก มันก็เบา อะไรเป็นเหตุผล เท่านี้เราก็คงจะรู้ ถ้าเราไปยึดอะไร อันนั้นแหละ เป็นเหตุ ให้ทุกข์เกิด ถ้าเรา ปล่อย มันก็ไม่มีทุกข์
๙. ถ้วยเอาไว้ที่ไหน มันก็ต้องแตก จานเอาไว้ที่ไหน ก็ต้องแตก แต่ถ้าเราสอนเด็กว่า ล้างให้มันสะอาด เก็บไว้ให้ดี ที่เราสอนเด็กอย่างนี้ ก็เพื่อเรา จะได้ใช้ถ้วยไปนานๆ ซึ่งอันนี้ เรารู้จักธรรมะ เราเอาธรรมะมาปฏิบัติ แต่ถ้าเราเห็นว่า ถ้วยหรือจาน มันกำลังจะแตกอยู่แล้ว เราก็บอกเด็กว่า ช่างมันเถอะ กินแล้วก็ไม่ต้องล้างมันหรอก มันจะตกก็ช่างมันเถอะ ไม่ใช่ของเราหรอก เอาทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้ มันจะแตกอยู่แล้ว ซึ่งอย่างนี้ ก็เป็นคนโง่ไป ถ้าเราเป็น “ผู้รู้สมมุติ” อันนี้ เมื่อมันเจ็บไข้ ก็หาหยูกยาให้มันกิน เมื่อมันร้อน ก็อาบน้ำให้มัน เมื่อมันเย็น ก็หาความอบอุ่นให้มัน เมื่อมันหิว ก็หาข้าวให้มันกิน แต่ให้เรารู้ว่า ให้ข้าวมันกิน มันก็จะตายอยู่ แต่ในเวลานี้ ยังไม่ถึงคราวจะตาย เหมือนกับถ้วยใบนี้ ยังไม่แตก ก็รักษาถ้วยใบนี้ ให้มันเกิดประโยชน์ เสียก่อน
๑๐. สมมุติว่า วันนี้ เราหาเงินได้ ๑๐๐ บาท ธรรมชาติของมันแค่ ๑๐๐ บาท จะอยากให้ได้มากกว่านั้น ก็ไม่ได้ จะอยากให้ได้น้อยกว่านั้น ก็ไม่ได้ หาได้ ๕๐ บาท ธรรมชาติของเขาก็แค่นั้น หาไม่ได้เลย ธรรมชาติของมัน ก็เท่ากับหาไม่ได้เลย ยอมตามธรรมชาติ ที่มันเป็นทุกอย่าง ทุกแห่ง ทุกข์ก็จะไม่เกิด ธรรมะอย่างนี้ ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ ใครๆ ก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติเมื่อไร ที่ไหน ความทุกข์ก็ไม่เกิดเมื่อนั้น ที่นั่น เป็นยังไงบ้างครับคุณผู้ชม การฝึกปล่อยวาง ด้วยคำสอน ของหลวงพ่อชา สุภทฺโท หวังว่าคำสอนของหลวง จะเกิดประโยชน์กับทุกท่าน ที่อยากจะฝึก เพื่อให้รู้จักการปล่อยวางน่ะครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้" สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น