สุดยอด คติธรรมคำสอน ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
สวัสดีครับ วันนี้ผมมีคติธรรม คำสอนของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มาฝากครับ
ผู้สนใจศึกษาปฏิบัติธรรม คือผู้สนใจหาความรู้ ความฉลาด เพื่อคุณงามความดีทั้งหลาย ที่โลกเขาปรารถนากัน เพราะคนเรา จะอยู่และไป โดยไม่มีเครื่องป้องกันตัว ย่อมไม่ปลอดภัย ต่ออันตราย ทั้งภายนอกภายใน เครื่องป้องกันตัว ก็คือหลักธรรม มีสติ ปัญญา เป็นอาวุธสำคัญ จะเป็นเครื่องมั่นคง ไม่สะทกสะท้าน มีสติปัญญา แฝงอยู่กับตัว ทุกอิริยาบท จะคิด จะพูด จะทำอะไร ไม่มีการยกเว้น มีสติปัญญา สอดแทรกอยู่ด้วย ทั้งภายใน และภายนอก มีความเข้มแข็งอดทน มีความเพียร ที่จะประกอบคุณงามความดี คนอ่อนแอ โง่เง่า เต่าตุ่น วุ่นวาย อยู่กับอารมณ์ เครื่องผูกพัน ด้วยความนอนใจ และเกียจคร้าน ในกิจการ ที่จะยกตัวให้พ้นภัย นี่คือหนึ่งใน คติธรรมคำสอนของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตนั้น ท่านได้ศึกษา ด้านวิปัสสนา และศึกษาธรรมะ ตลอดเวลาในเพศบรรพชิต ท่านได้ปฏิบัติตน เป็นแบบอย่างที่ดี มีจริยวัตรอันสำรวม เคร่งครัด ในพระธรรมวินัย ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างยิ่งตลอดชีวิตของท่าน วันนี้ ผมจึงเอาคติธรรมคำสอน ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บางส่วน มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิต เรามาดูกันครับว่า คติธรรมคำสอน ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จะมีอะไรบ้าง ไปชมกันเลยครับ
๑. การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริง ก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเอง ให้ขุ่นมัวไปด้วย ความเดือดร้อนวุ่นวายใจ ที่คิดตำหนิผู้อื่น จนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ ถือเป็นความผิด และบาปกรรม ไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้แก่ท่าน ได้ในสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา มาทรมานอย่างไม่คาดฝัน การกล่าวโทษผู้อื่น โดยขาดการไตร่ตรองนั้น เป็นการสั่งสมโทษ และบาปใส่ตน ให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวช ต่อความผิดของตน งดความเห็น ที่เป็นบาปภัย แก่ตนเสีย ความทุกข์ เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุ ที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจ ที่จะสร้างขึ้นเอง
๒. ผู้เห็นคุณค่าของตัวเอง จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน ผู้มีศีลสัตย์ เมื่อทำลายขันธ์ ไปในสุคติ ในโลกสวรรค์ ไม่ตกต่ำ เพราะอำนาจศีล คุ้มครองรักษา และสนับสนุน จึงควรอย่างยิ่ง ที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์ ธรรมก็สั่งสอนแล้ว ควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติ ทุกอย่างแน่นอน
๓. ศีลนั้น อยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้ว ก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีล ก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนาคือจิตใจ คนเรา ถ้าจิตใจไม่มี ก็ไม่เรียกว่าคน มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิต ต้องอาศัย ซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่างๆ มีโทษต่างๆ ผู้มีศีลแล้ว ไม่มีโทษ จะเป็นปกติ แนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงหา หลงขอ คนที่หา คนที่ขอต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไหร่ ยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยาก ยากเข็ญ กายกับจิตเรา ได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้มาจาก บิดามารดา พร้อมบริบูรณ์ จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีล มีอยู่ที่เราแล้ว รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล ผู้มีศีล ย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีลย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์ไม่อด ไม่ยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลให้สมบูรณ์ จิตดวงเดียวเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ผู้มีศีลแท้ เป็นผู้หมดเวรหมดภัย
๔. จิต เป็นสมบัติสำคัญมาก ในตัวเรา ที่ควรได้รับการเหลียวแล ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี ควรสนใจ รับผิดชอบต่อจิต อันเป็นสมบัติ ที่มีค่ายิ่งของตน วิธีที่ควรกับจิต โดยเฉพาะ ก็คือภาวนา ฝึกหัดภาวนา ในโอกาสอันควร ตรวจดูจิตว่า มีอะไรบกพร่อง และเสียไป จะได้ซ่อมสุขภาพจิต นั่งพินิจพิจารณา ดูสังขารภายใน คือ ความคิดปรุงแต่ง ของจิตว่า คิดอะไรบ้าง มีสาระประโยชน์ไหม คิดแส่หาเรื่อง หาโทษ ขนทุกข์ มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิด รู้ถูก ของตัวบ้างหรือไม่ พิจารณาสังขารภายนอกว่า มีความเจริญขึ้น หรือเจริญลง สังขาร มีอะไรใหม่ หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดไป พยายามเตรียมตัว เตรียมใจเสีย แต่เวลาที่พอจะทำได้ ตายแล้ว จะเสียการ ให้ท่องในใจอยู่เสมอว่า เรามีความแก่ เจ็บ และตาย อยู่ประจำตัว ทั่วหน้ากัน
๕. ธรรม เป็นเครื่องปกครองสมบัติ และปกครองใจ ถ้าขาดธรรมเพียงอย่างเดียว ความอยากของใจ จะพยายามหาทรัพย์ ได้กองเท่าภูเขา ก็ยังหาความสุขไม่เจอ ไม่มีธรรมในใจ เพียงอย่างเดียว จะอยู่ในโลกใด กองสมบัติใด ก็เป็นเพียงโลก เศษเดน และกองสมบัติเดนเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไร แก่จิตใจแม้แต่นิด ความทุกข์ทรมาน ความอดทน ทนทาน ต่อสิ่งกระทบ กระทั่งต่างๆ ไม่มีอะไร จะแข็งแกร่งเท่าใจ ถ้าได้รับความช่วยเหลือที่ถูกทาง ใจจะกลายเป็นของประเสริฐ ให้เจ้าของได้ชม อย่างภูมิใจ ต่อเรื่องทั้งหลายทันที
๖. ผู้มีปัญญา ไม่ควรให้สิ่งที่ล่วงแล้วตามมา ไม่ควรหวัง ในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ผู้มีปัญญา ได้เห็นในธรรมซึ่งเป็นปัจจุบัน ควรเจริญความเห็นนั้น ไว้เนืองๆ ควรรีบทำเสีย ผู้มีปัญญา ซึ่งมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีความเพียร แยกกิเลสให้หมดไป จะไม่เกียจคร้าน ขยันหมั่นเพียร ทั้งกลางวัน และกลางคืน
๗. ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และแน่นอน ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืน ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น
๘. วาสนานั้น เป็นไปตามอัธยาศัย คนที่มีวาสนา ในทางที่ดีมาแล้ว แต่คบคนพาล วาสนา ก็อาจเป็นคนพาลได้ บางคนวาสนายังอ่อน เมื่อคบบัณฑิต วาสนาก็เลื่อนขึ้นเป็นบัณฑิต ฉะนั้น บุคคล ควรพยายามคบแต่บัณฑิต เพื่อเลื่อน ภูมิวาสนาของตน ให้สูงขึ้น
๙. คนฉลาด ปกครองตนให้มีความสุข และปลอดภัย ไม่จำเป็นต้อง เที่ยวแสวงหาทรัพย์มากมาย หรือเที่ยวกอบโกย เงินเป็นล้านๆ มาเป็นเครื่องบำรุง จึงมีความสุข ผู้มีสมบัติพอประมาณ ในทางที่ชอบ มีความสุขมากกว่า ผู้ได้มา ในทางมิชอบเสียอีก เพราะนั่น ไม่ใช่สมบัติของตนอย่างแท้จริง ทั้งๆ ที่อยู่ในกรรมสิทธิ์ แต่กฏความจริง คือ กรรมสาปแช่งไม่เห็นด้วย และให้ผลเป็นทุกข์ไม่สิ้นสุด นักปราชญ์ ท่านจึงกลัวกันหนักหนา แต่คนโง่ ผู้ชอบสุกเอาเผากิน และชอบเห็นแก่ตัว ไม่มีวันอิ่มพอ ไม่ประสบผล คือ ความสุขดังใจหมาย
๑๐. อานิสงส์ของศีล ๕ เมื่อรักษาได้
๑. ทำให้อายุยืน ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
๒. ทรัพย์สมบัติ ที่อยู่ในความปกครอง มีความปลอดภัย จากโจรผู้ร้าย มาราวี เบียดเบียน และทำลาย
๓. ระหว่าง ลูก หลาน สามี ภริยา อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้คอยล่วงล้ำ กล่ำกราย ต่างครองกันอยู่ด้วยความผาสุข
๔. พูดอะไร มีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์ เป็นที่จับใจไพเราะ ด้วยสัตย์ ด้วยศีล
๕. เป็นผู้มีสติปัญญาดี และเฉลียวฉลาดไม่หลงหน้าหลงหลัง จับโน่นชนนี่ เหมือนคนบ้า คนบอ หาสติไม่ได้ ผู้มีศีล เป็นผู้ปลูก และส่งเสริมสุข บนหัวใจคน และสัตว์ทั่วโลก ให้มีแต่ความอบอุ่นใจ ไม่เป็นที่ระแวงสงสัย ผู้ไม่มีศีล เป็นผู้ทำลายหัวใจคน และสัตว์ ให้ได้รับความทุกข์ เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ครับ
เป็นยังไงบ้างครับคุณผู้ชม คติธรรม คำสอนของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ เป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีความสูงศักดิ์มาก อย่านำเรื่องของสัตว์ มาประพฤติ มนุษย์เราจะต่ำลงกว่าสัตว์ และจะเลวกว่าสัตว์ อีกมากมาย อย่าพากันทำ ให้พากันละบาป บำเพ็ญบุญ ทำแต่คุณความดี อย่าให้เสียชีวิตเปล่า ที่มีวาสนา เกิดมาเป็นมนุษย์ ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ขอขอบคุณที่มา ..http://www.84000.org/supatipanno/katitam.html
ผู้สนใจศึกษาปฏิบัติธรรม คือผู้สนใจหาความรู้ ความฉลาด เพื่อคุณงามความดีทั้งหลาย ที่โลกเขาปรารถนากัน เพราะคนเรา จะอยู่และไป โดยไม่มีเครื่องป้องกันตัว ย่อมไม่ปลอดภัย ต่ออันตราย ทั้งภายนอกภายใน เครื่องป้องกันตัว ก็คือหลักธรรม มีสติ ปัญญา เป็นอาวุธสำคัญ จะเป็นเครื่องมั่นคง ไม่สะทกสะท้าน มีสติปัญญา แฝงอยู่กับตัว ทุกอิริยาบท จะคิด จะพูด จะทำอะไร ไม่มีการยกเว้น มีสติปัญญา สอดแทรกอยู่ด้วย ทั้งภายใน และภายนอก มีความเข้มแข็งอดทน มีความเพียร ที่จะประกอบคุณงามความดี คนอ่อนแอ โง่เง่า เต่าตุ่น วุ่นวาย อยู่กับอารมณ์ เครื่องผูกพัน ด้วยความนอนใจ และเกียจคร้าน ในกิจการ ที่จะยกตัวให้พ้นภัย นี่คือหนึ่งใน คติธรรมคำสอนของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตนั้น ท่านได้ศึกษา ด้านวิปัสสนา และศึกษาธรรมะ ตลอดเวลาในเพศบรรพชิต ท่านได้ปฏิบัติตน เป็นแบบอย่างที่ดี มีจริยวัตรอันสำรวม เคร่งครัด ในพระธรรมวินัย ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างยิ่งตลอดชีวิตของท่าน วันนี้ ผมจึงเอาคติธรรมคำสอน ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บางส่วน มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิต เรามาดูกันครับว่า คติธรรมคำสอน ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จะมีอะไรบ้าง ไปชมกันเลยครับ
๑. การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริง ก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเอง ให้ขุ่นมัวไปด้วย ความเดือดร้อนวุ่นวายใจ ที่คิดตำหนิผู้อื่น จนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ ถือเป็นความผิด และบาปกรรม ไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้แก่ท่าน ได้ในสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา มาทรมานอย่างไม่คาดฝัน การกล่าวโทษผู้อื่น โดยขาดการไตร่ตรองนั้น เป็นการสั่งสมโทษ และบาปใส่ตน ให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวช ต่อความผิดของตน งดความเห็น ที่เป็นบาปภัย แก่ตนเสีย ความทุกข์ เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุ ที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจ ที่จะสร้างขึ้นเอง
๒. ผู้เห็นคุณค่าของตัวเอง จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน ผู้มีศีลสัตย์ เมื่อทำลายขันธ์ ไปในสุคติ ในโลกสวรรค์ ไม่ตกต่ำ เพราะอำนาจศีล คุ้มครองรักษา และสนับสนุน จึงควรอย่างยิ่ง ที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์ ธรรมก็สั่งสอนแล้ว ควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติ ทุกอย่างแน่นอน
๓. ศีลนั้น อยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้ว ก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีล ก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนาคือจิตใจ คนเรา ถ้าจิตใจไม่มี ก็ไม่เรียกว่าคน มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิต ต้องอาศัย ซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่างๆ มีโทษต่างๆ ผู้มีศีลแล้ว ไม่มีโทษ จะเป็นปกติ แนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงหา หลงขอ คนที่หา คนที่ขอต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไหร่ ยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยาก ยากเข็ญ กายกับจิตเรา ได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้มาจาก บิดามารดา พร้อมบริบูรณ์ จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีล มีอยู่ที่เราแล้ว รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล ผู้มีศีล ย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีลย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์ไม่อด ไม่ยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลให้สมบูรณ์ จิตดวงเดียวเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ผู้มีศีลแท้ เป็นผู้หมดเวรหมดภัย
๔. จิต เป็นสมบัติสำคัญมาก ในตัวเรา ที่ควรได้รับการเหลียวแล ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี ควรสนใจ รับผิดชอบต่อจิต อันเป็นสมบัติ ที่มีค่ายิ่งของตน วิธีที่ควรกับจิต โดยเฉพาะ ก็คือภาวนา ฝึกหัดภาวนา ในโอกาสอันควร ตรวจดูจิตว่า มีอะไรบกพร่อง และเสียไป จะได้ซ่อมสุขภาพจิต นั่งพินิจพิจารณา ดูสังขารภายใน คือ ความคิดปรุงแต่ง ของจิตว่า คิดอะไรบ้าง มีสาระประโยชน์ไหม คิดแส่หาเรื่อง หาโทษ ขนทุกข์ มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิด รู้ถูก ของตัวบ้างหรือไม่ พิจารณาสังขารภายนอกว่า มีความเจริญขึ้น หรือเจริญลง สังขาร มีอะไรใหม่ หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดไป พยายามเตรียมตัว เตรียมใจเสีย แต่เวลาที่พอจะทำได้ ตายแล้ว จะเสียการ ให้ท่องในใจอยู่เสมอว่า เรามีความแก่ เจ็บ และตาย อยู่ประจำตัว ทั่วหน้ากัน
๕. ธรรม เป็นเครื่องปกครองสมบัติ และปกครองใจ ถ้าขาดธรรมเพียงอย่างเดียว ความอยากของใจ จะพยายามหาทรัพย์ ได้กองเท่าภูเขา ก็ยังหาความสุขไม่เจอ ไม่มีธรรมในใจ เพียงอย่างเดียว จะอยู่ในโลกใด กองสมบัติใด ก็เป็นเพียงโลก เศษเดน และกองสมบัติเดนเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไร แก่จิตใจแม้แต่นิด ความทุกข์ทรมาน ความอดทน ทนทาน ต่อสิ่งกระทบ กระทั่งต่างๆ ไม่มีอะไร จะแข็งแกร่งเท่าใจ ถ้าได้รับความช่วยเหลือที่ถูกทาง ใจจะกลายเป็นของประเสริฐ ให้เจ้าของได้ชม อย่างภูมิใจ ต่อเรื่องทั้งหลายทันที
๖. ผู้มีปัญญา ไม่ควรให้สิ่งที่ล่วงแล้วตามมา ไม่ควรหวัง ในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ผู้มีปัญญา ได้เห็นในธรรมซึ่งเป็นปัจจุบัน ควรเจริญความเห็นนั้น ไว้เนืองๆ ควรรีบทำเสีย ผู้มีปัญญา ซึ่งมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีความเพียร แยกกิเลสให้หมดไป จะไม่เกียจคร้าน ขยันหมั่นเพียร ทั้งกลางวัน และกลางคืน
๗. ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และแน่นอน ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืน ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น
๘. วาสนานั้น เป็นไปตามอัธยาศัย คนที่มีวาสนา ในทางที่ดีมาแล้ว แต่คบคนพาล วาสนา ก็อาจเป็นคนพาลได้ บางคนวาสนายังอ่อน เมื่อคบบัณฑิต วาสนาก็เลื่อนขึ้นเป็นบัณฑิต ฉะนั้น บุคคล ควรพยายามคบแต่บัณฑิต เพื่อเลื่อน ภูมิวาสนาของตน ให้สูงขึ้น
๙. คนฉลาด ปกครองตนให้มีความสุข และปลอดภัย ไม่จำเป็นต้อง เที่ยวแสวงหาทรัพย์มากมาย หรือเที่ยวกอบโกย เงินเป็นล้านๆ มาเป็นเครื่องบำรุง จึงมีความสุข ผู้มีสมบัติพอประมาณ ในทางที่ชอบ มีความสุขมากกว่า ผู้ได้มา ในทางมิชอบเสียอีก เพราะนั่น ไม่ใช่สมบัติของตนอย่างแท้จริง ทั้งๆ ที่อยู่ในกรรมสิทธิ์ แต่กฏความจริง คือ กรรมสาปแช่งไม่เห็นด้วย และให้ผลเป็นทุกข์ไม่สิ้นสุด นักปราชญ์ ท่านจึงกลัวกันหนักหนา แต่คนโง่ ผู้ชอบสุกเอาเผากิน และชอบเห็นแก่ตัว ไม่มีวันอิ่มพอ ไม่ประสบผล คือ ความสุขดังใจหมาย
๑๐. อานิสงส์ของศีล ๕ เมื่อรักษาได้
๑. ทำให้อายุยืน ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
๒. ทรัพย์สมบัติ ที่อยู่ในความปกครอง มีความปลอดภัย จากโจรผู้ร้าย มาราวี เบียดเบียน และทำลาย
๓. ระหว่าง ลูก หลาน สามี ภริยา อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้คอยล่วงล้ำ กล่ำกราย ต่างครองกันอยู่ด้วยความผาสุข
๔. พูดอะไร มีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์ เป็นที่จับใจไพเราะ ด้วยสัตย์ ด้วยศีล
๕. เป็นผู้มีสติปัญญาดี และเฉลียวฉลาดไม่หลงหน้าหลงหลัง จับโน่นชนนี่ เหมือนคนบ้า คนบอ หาสติไม่ได้ ผู้มีศีล เป็นผู้ปลูก และส่งเสริมสุข บนหัวใจคน และสัตว์ทั่วโลก ให้มีแต่ความอบอุ่นใจ ไม่เป็นที่ระแวงสงสัย ผู้ไม่มีศีล เป็นผู้ทำลายหัวใจคน และสัตว์ ให้ได้รับความทุกข์ เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ครับ
เป็นยังไงบ้างครับคุณผู้ชม คติธรรม คำสอนของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ เป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีความสูงศักดิ์มาก อย่านำเรื่องของสัตว์ มาประพฤติ มนุษย์เราจะต่ำลงกว่าสัตว์ และจะเลวกว่าสัตว์ อีกมากมาย อย่าพากันทำ ให้พากันละบาป บำเพ็ญบุญ ทำแต่คุณความดี อย่าให้เสียชีวิตเปล่า ที่มีวาสนา เกิดมาเป็นมนุษย์ ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ขอขอบคุณที่มา ..http://www.84000.org/supatipanno/katitam.html
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น