วิธีขจัดความทุกข์ ให้ออกจากใจ ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ

สวัสดีครับ วันนี้ผมมีคติธรรมและข้อคิด เรื่องวิธีขจัดความทุกข์ ให้ออกจากใจ ด้วยตัวเราเอง มาฝากครับ


ในเวลานี้ คงจะมีหลายๆ ท่าน ที่กำลังเผชิญชีวิต อยู่กับความทุกข์อย่างแสนสาหัส จนไม่สามารถ จะคิดทำอะไรได้ บางท่านนั้น อาจจะทุกข์เพราะเรื่องงาน บางท่านอาจจะทุกข์ เพราะความรัก และอีกหลายๆ ท่าน อาจจะมีความทุกข์เพราะเรื่องครอบครัว เป็นต้น วันนี้ผมจึงเอาคติธรรม คำสอน จากครูบาอาจารย์ มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และข้อคิดให้กับทุกท่านในการใช้ชีวิต ผู้ที่เข้าใจธรรมะ ก็จะเข้าใจตัวเอง ใครเข้าใจตัวเอง ก็จะเข้าใจธรรมะ ที่เราเป็นทุกข์ อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเราสัมผัส แค่เปลือกของธรรมะเท่านั้น ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ธรรมะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องหนีไปไหน แต่ถ้าหากเราจะหนี ก็ให้หนีด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา หนีด้วยความชำนิชำนาญ อย่าหนีด้วยความโง่เขลา ถ้าเราต้องการความสงบ ก็ให้สงบด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา ครับ

พระพุทธองค์ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านอยายึดมั่นในธรรม" ธรรมะคืออะไร คือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมะ ความรักความเกลียด ก็เป็นธรรมะ ความสุขความทุกข์ ก็เป็นธรรมะ ความชอบ ความไม่ชอบ ก็เป็นธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่ไหน ก็เป็นธรรมะ วิธีการฝึกจิตใจ ของตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่าน ให้มีสมาธิ และมีสติอยู่ตลอดเวลา เพื่อขจัดความทุกข์ ให้ออกจากใจ ครูบาอาจารย์ ท่านได้ชี้แนะว่า ให้ลองฝึกควบคุมจิตใจของตัวเอง ถ้าหากทำได้ ก็จะเป็นผลดีต่อตัวเรา จิตใจของเราจะได้สงบ และไม่เป็นทุกข์ ซึ่งมีวิธีฝึกควบคุมจิตใจของเรา ดังต่อไปนี้ครับ

ฝึกมองตัวเราให้เล็กเข้าไว้ ซึ่งหมายความว่า จงเป็นคนตัวเล็ก อย่าเป็นคนตัวใหญ่ จงเป็นคนธรรมดา อย่าคิดว่า ตัวเราเป็นคนสำคัญ และเมื่อเวลา มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็อย่าไปให้ความสำคัญ กับตัวเรามากจนเกินไป

ฝึกให้ตัวเราเป็นนักไม่สะสม ซึ่งหมายความว่า การสะสมอะไรสักอย่างนั้น เป็นภาระ ไม่มีอะไรที่เราสะสมแล้ว ไม่เป็นภาระ ยกเว้นความดี นอกนั้นล้วนเป็นภาระ ทั้งหมดทั้งสิ้น ซึ่งไม่มากก็น้อย

ฝึกให้ตนเราเป็นคนสบายๆ ซึ่งหมายความว่า อย่าไปบ้ากับความสมบูรณ์แบบ เพราะว่า ความสมบูรณ์แบบนั้น มันไม่มีจริง และก็มีแต่คนที่โง่เท่านั้น ที่มองว่า ความสมบูรณ์แบบนั้นมีจริง

ฝึกให้ตัวเราเป็นคนนิ่งๆ หรือไม่ก็พูด แต่ในสิ่งที่ดี ซึ่งหมายความว่า ถ้าอะไรไม่ดี เราก็อย่าไปพูดมาก ไม่ว่าสิ่งนั้น จะถูกหรือผิดก็ตาม แต่ถ้ามันไม่ดี เป็นไปได้ เราก็ไม่ต้องพูด เพราะการพูด หรือวิจารณ์ ในทางที่เสียหายนั้น มีแต่จะทำให้จิตใจของเรา ตกต่ำ และขุ่นมัว

ฝึกให้ตัวเรารู้ธรรมชาติว่า อะไรๆ ก็ผ่านไปเสมอ ซึ่งหมายความว่า เวลาเรามีความสุข ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความสุขนั้น มันก็ผ่านไป เวลาเรามีความทุกข์ ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความทุกข์นั้น ก็ผ่านไป เวลามีสถานการณ์แย่ๆ เกิดขึ้นกับเรา ก็ให้รู้ทันว่า เรื่องราวเหล่านี้ มันไม่ได้อยู่กับเรา ไปจนวันตาย

ฝึกให้ตัวเราเข้าใจเรื่อง ของการนินทา ซึ่งหมายความว่า เราเกิดมา ก็ต้องรู้ตัวว่า เราจะต้องถูกนินทาอย่างแน่นอน ดังนั้น เมื่อเราถูกนินทา ก็ขอให้รู้ว่า “เรามาถูกทางแล้ว” ซึ่งแปลว่า เรายังมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ ส่วนคนที่ชอบเต้นแร้งเต้นกา กับคำนินทานั้น ก็คือคน ที่ไม่รู้เท่าทันโลก เพราะแม้แต่คน ที่เป็นพ่อแม่ ก็ยังนินทาลูก และคนที่เป็นลูก ก็ยังคิดนินทาพ่อแม่ นับประสาอะไรกับคนอื่น ซึ่งถ้าเรา ห้ามตัวเอง ไม่ให้นินทาคนอื่น ได้เมื่อไหร่ เราค่อยมาคิดว่า เราจะไม่ถูกนินทา

ฝึกให้ตัวเรา พ้นไปจาก ความเป็นขี้ข้าของเงิน ซึ่งหมายความว่า เราต้องหัดพอใจ กับสิ่งที่ตัวเรามีอยู่ เช่น รถยนต์ใช้อะไรอยู่ ก็จงหัดพอใจกับมัน นาฬิกาใช้อะไรอยู่ ก็จงหัดพอใจกับมัน เสื้อผ้าใช้อะไรอยู่ ก็จงหัดพอใจกับมัน เพราะการที่คนเรา จะเลิกเป็นขี้ข้าเงินได้นั้น ก็ต้องเริ่มจาก การรู้จักเพียงพอก่อน และเมื่อเรารู้จักพอแล้ว ก็ไม่ต้องหาเงินมาก เมื่อเราไม่ต้องหาเงินมาก ชีวิตของเรา ก็มีโอกาสได้ทำอะไร ที่มากกว่าการหาเงิน

ฝึกให้ตัวเรารู้จักเสียสละ และยอมเสียเปรียบบ้าง ซึ่งหมายความว่า การที่คนๆ หนึ่ง ยอมเสียเปรียบผู้อื่นบ้าง เป็นเรื่องที่จำเป็น ซึ่งใครก็ตาม ที่บ้าความถูกต้อง บ้าเหตุ บ้าผล และไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลย ในไม่ช้าคนๆ นั้น ก็จะเป็นบ้าสติแตก กลายเป็นคนที่ถูกทุกอย่าง แต่ไม่มีความสุข เพราะว่าต้องสู้รบ กับคนรอบข้างตลอดเวลา เพื่อความถูกต้อง ที่ตนเอง ยึดมั่นถือมั่น

มีคำสอนของพระพุทธองค์ อยู่ ๕ ประการ ที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น ซึ่งมีดังนี้
๑. ไม่ว่าเราได้พบเจอใคร เขาเหล่านั้น คือคนที่เราจะต้องได้พบเจอ ไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเรา ด้วยเหตุบังเอิญ
๒. ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวใดๆ ขึ้น ในชีวิตเรา มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิด ไม่ว่าเรื่องนั้น จะดีหรือร้าย ไม่มีเรื่องใดที่บังเอิญ เพราะเรา ก็เคยทำอย่างนี้กับเขา มาก่อนเมื่ออดีตชาติ
๓. เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาใด นั่นคือเวลา ที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่มีอะไร ที่ไม่ควรเกิด เพราะมันต้องเกิด ต่อให้เราเตรียมตัว หรือไม่ได้เตรียมตัว เมื่อปัจจัยถึงพร้อม สิ่งเหล่านั้น ก็จะเกิดขึ้นในทันที
๔. เมื่อปัจจัยจบ ต้องยอมรับว่าจบ อย่าเหนี่ยวรั้ง อย่าเอาแต่อาลัยอาวรณ์ ขอให้รู้ว่า เมื่อสุดมือสอย ก็ให้ปล่อยมันไป กล้าเผชิญในสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องดีๆ กำลังรอเราอยู่ข้างหน้า
๕. ทำความดีในปัจจุบัน ให้มากที่สุด แล้วไม่ต้องสนใจว่า เราเคยทำกรรมอะไรมาบ้าง เพราะคิดไป ก็เปล่าประโยชน์ เราทำอะไร กรรมเก่าไม่ได้แล้ว แต่ผู้มีปัญญา จะคิดว่า กรรมใหม่ที่ดี มีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ และควรทำได้บ้าง แล้วจึงทำ สรุป เพราะกรรมดีในปัจจุบันสำคัญที่สุด



การนินทาว่าร้าย เป็นเรื่องของเขา การให้อภัยนั้น เป็นเรื่องของเรา การชอบพูดถึงความดีของเขา นั่นคือ ความดีของเรา การชอบพูดถึงความไม่ดีของเขา มันคือ ความไม่ดีของเรา ถ้าหากปฏิบัติได้อย่างนี้ ใจของเราก็จะว่าง เป็นใจที่ว่าง และอิสระจากกิเลส ความชั่วทั้งหลาย ว่างจากกิเลส แต่เต็มไปด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา ฉะนั้นไม่ว่า จะทำอะไร ก็ทำด้วยปัญญา คิดด้วยปัญญา เราจะมีแต่ปัญญาเท่านั้น

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ขอบคุณที่มา http://purifilm.blogspot.com/2017/12/ep18.html

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

บาปกรรมหนัก 3 ข้อ ของการเป็นชู้ คบชู้และนอกใจ

กรรมของคน ชอบใส่ร้ายป้ายสี และนินทาผู้อื่น

หนทาง 7 สาย กรรมดีกรรมชั่ว ชีวิตหลังความตาย

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

พุทธประวัติ EP.4 การจุติจากดุสิตลงสู่ครรภ์ เกิดแสงสว่าง และแผ่นดินไหว เนื่องด้วยการจุติ

ผ้าเปลือกปอ (เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม)

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

วันอาสาฬหบูชา มีความสำคัญอย่างไร

เปรตรับผลบุญได้ การสงเคราะห์ผู้ล่วงลับไปแล้ว