การปล่อยวาง จากความทุกข์ เราต้องทำอย่างไร

สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมีคติธรรมและข้อคิด เรื่องของการปล่อยวาง จากความทุกข์ ว่าเราต้องทำอย่างไร มาฝาก ครับ



ในปัจจุบันนี้ หลายๆ ท่าน คงจะมีเรื่องทุกข์ใจเป็นอย่างมาก จนไม่อาจจะปล่อยวางได้ หรือไม่กล้า แม้จะไปปรึกษาใคร ได้แต่เก็บไว้ในใจ จนนำไปสู่ความเครียด และก็เป็นทุกข์ คลิบนี้ผมจึงเอาคติธรรม ของครูบาอาจารย์มาให้รับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิด ให้กับทุกท่านที่อยากจะปล่อยวาง เรามาดู เหตุและผล ที่ทำให้เราเป็นทุกข์ และปล่อยวางไม่ได้ ว่าเกิดจากอะไร และเราควรจะทำอย่างไร เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ ที่เรากำลังพบเจออยู่ในตอนนี้

พุทธศาสนา สอนในเรื่องเหตุและผล การที่เราได้ หรือเผชิญกับอะไรอยู่นั้น มันไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ ล้วนแล้ว แต่เป็นผลจากกรรม ที่เราทำมาทั้งสิ้น ซึ่งกรรม ก็คือ การกระทำโดยเจตนา ที่เราทำไปแล้ว และจะมีผลตามมาเสมอ โดยกรรมนั้น จะส่งผลตรงมา ที่ความรู้สึก เมื่อกรรมส่งผล กรรมนั้น ก็อาจจะชักจูงให้เราไปอยู่ ในสถานการณ์ที่คล้ายกัน หรือต่างกัน แต่ความรู้สึก ที่เรารู้สึกนั้น จะเหมือนกันกับ ที่เราเคยทำไว้กับคนอื่น ไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้น หากเราอยากรู้ว่า ไปทำกรรมอะไรไว้บ้าง จึงต้องมารู้สึกแบบนี้ เราก็ไม่ต้องไปถามใครที่ไหน ให้ดูเข้ามา ข้างในใจของเรา ที่ความรู้สึกปรากฎอยู่ เพราะเหตุ และผลของกรรม จะส่งมาที่กาย และใจของเราทั้งหมด เมื่อมีความทุกข์ ก็ให้ดูไปตรงที่ ความรู้สึก ที่ปรากฎทุกครั้ง ที่ระลึกถึงเรื่องนั้นๆ รูปแบบของกรรม ที่เราเคยทำไว้ ผู้ที่ถูกกระทำในอดีต ก็จะรู้สึกอย่างเดียวกับ ที่เรารู้สึกอยู่ตอนนี้ ถ้าเรารู้สึก ไม่เป็นกลางต่อเรื่องใดๆ หรือยิ่งเป็นทุกข์มากเท่าไหร่ ก็เป็นตัวสะท้อน ถึงระดับความรุนแรงของเหตุ ที่เราเคย ได้สร้างไว้นั่นเอง

ถ้าเราอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น เราก็ต้องลงมือ ปรับเปลี่ยนใหม่ที่ตนเอง โดยต้องเข้าใจกฎ ของธรรมชาติก่อนว่า เราไม่สามารถย้อนอดีต ไปแก้ไขเรื่องที่ผ่าน หรือกรรมที่เราทำไปแล้ว เราจึงหลีกเลี่ยง การที่จะได้รับผลนี้ไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่า เราจะไม่สามารถ หลีกเลี่ยงผลของกรรมได้ แต่เรา ก็ยังสามารถ เลือกกระทำกรรม ที่จะส่งผลให้เรา มีทุกข์ทางใจน้อยลง เมื่อวิบากส่งผล และเราก็สามารถ เลือกสร้างเหตุ ที่จะทำให้ ไม่ต้องเจอความทุกข์แบบนี้ อีกตลอดไปได้ ด้วยการปรับเปลี่ยน ที่วิธีคิด อันมาจากมุมมอง หรือจุดยืน เพราะทุกข์ เกิดขึ้นที่ใจ การจะพ้นทุกข์ได้นั้น ก็ต้องแก้ที่ใจเรา และก็ต้องแก้ให้ถูก ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

ข้อที่ ๑ แก้ให้ถูกตัว นั้นก็คือ แก้ที่ตัวเรา และใจของเรา แทนที่จะโทษคนอื่น หรือพยายามไปเปลี่ยน ที่คนอื่น เช่น เปลี่ยนให้เขา ทำตามอย่างที่เราหวังให้เป็น หรือให้คนอื่นทำอย่างนั้น อย่างนี้ ให้ได้ดังใจเรา แล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น ก็ให้กลับมามอง และเปลี่ยนที่ตัวเราเองก่อน ด้วยเหตุที่ว่า เราจะต้องการ แก้ปัญหาความทุกข์ของเรา เราจะรู้สึกทุกข์ รู้สึกแย่อย่างไร ก็ด้วยกรรมที่เรา เคยมีเจตนา ทำให้ผู้อื่นรู้สึกอย่างนั้นมาก่อน กรรมของใคร ก็ของคนนั้น ความทุกข์ของเรา มันก็มาจากกรรมเก่าของเรา แทนที่จะไปเปลี่ยนแปลง การกระทำของคนอื่นในปัจจุบัน ซึ่งถ้าเขายอมเปลี่ยน เขาคนนั้นต่างหาก ที่จะเป็นผู้ ได้รับผลในอนาคต แต่ถ้าเรา ยังใช้กรรม ในส่วนของเราไม่หมด ก็เหมือนกับเรา ยังต้องเป็นทุกข์เพราะมีหนี้ ซึ่งเป็นหนี้ ที่ยังไม่ได้ใช้ ถ้าเราไม่สำนึก ก็จะต้อง ไปรับผลของกรรมในอดีต จากคนอื่นๆ ในอนาคตอยู่ดี การที่เรา จะหลุดออกจากทุกข์ได้ จึงไม่ได้ ทำได้ด้วยการต่อว่า บีบบังคับให้คนอื่นเปลี่ยน หรือด้วยการหนี แต่เราจะหลุด จากความทุกข์ได้ ด้วยการยอมรับความจริง นั้นก็คือ ยอมรับ ในสิ่งที่กรรมจัดสรรมาให้ และถ้าอยากได้ผลอย่างไร ก็ต้องสร้างเหตุใหม่ อย่างเดียวกันนั้น ด้วยการแก้ ที่นิสัยของเรา

ข้อที่ ๒ คือ แก้ให้ถูกจุด เกาให้ถูกที่ ใส่ยาให้ถูกแผล การที่เราต้องเจอ กับความทุกข์ซ้ำๆ ก็เพราะเราทำ ซึ่งในการกระทำกรรมแต่ละครั้ง เมื่อเราทำ เราก็จะมีนิสัย หรือสันดานนั้นๆ ฝังอยู่ในใจ เช่น แรกๆ เราจะเป็นคนใจเย็น แต่พอโตขึ้น เรามีปัญหาเข้ามาหลายอย่าง เราก็จะเริ่มหงุดหงิด พอเราชิน ที่จะขี้หงุดหงิด เราก็จะกลายเป็นคนขี้โมโห และถ้าเราขี้โมโหมากๆ เราก็จะชอบ พูดจาไม่ดีกับคนอื่น ใช้โทสะ หรือความโกรธนั้นๆ ในการกระทำกรรม หรือสร้างกรรมขึ้นมาให้ตัวเอง ทำให้คนอื่นรู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี พอกรรมมันจะสนอง มันก็จะส่งให้เราไปเจอ หรือไปอยู่ท่ามกลางคน ที่พูดจาไม่รักษาน้ำใจ ทำให้เรา รู้สึกไม่ดี รู้สึกแย่เช่นกัน เพราะฉะนั้น คนที่ชอบเอาแต่ใจ ก็ต้องพึงระวัง เพราะวันหนึ่ง จะหนีกรรม ที่ตัวเองก่อไปพ้นแน่นอน ถึงแม้ว่าเรา รับผลของกรรมแล้ว แต่ถ้าจิตของเรา ยังไม่เรียนรู้ ยังไม่ยอมเปลี่ยนนิสัย ยังเลือกที่จะทำแบบเดิม โดยไม่เชื่อว่า มันเป็นผลจากสิ่งที่เราทำ จิตยังไม่ได้เรียนรู้ว่า มีอะไรที่ไม่ดี ที่ยังค้างอยู่ในจิต ให้ต้องสืบภพ จิตก็จะมีอนุสัยสืบต่อ ให้ไปทำกรรมแบบนั้น แล้วก็จะได้รับผลแบบเดิมอีก และโดยส่วนมาก จะยุ่งยาก ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะธรรมชาติ ของจิตมนุษย์นั้น ไหลลงต่ำ ที่อยู่ๆ จะกลับนิสัย จากร้ายกลายเป็นดีได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าไม่เจอทุกข์หนักจริงๆ ไม่ย้อนกลับมาดูที่ตนเอง ก็จะไม่มีโอกาส เข้ามาเรียนรู้ ข้อบกพร่องของตัวเอง มีแต่จะเคยชิน ยิ่งนาน ก็จะยิ่งสะสม นิสัยด้านไม่ดี ไว้มากขึ้น ดังนั้น หากเราจะถอดถอน วงจรการรับผลของกรรมนี้ เราก็จะต้องหยุด ที่ต้นเหตุ นั้นก็คือตัวเรา คือนิสัย ที่จะสืบเนื่อง ให้เราได้รับ ผลของกรรมนั้นต่อไป

ถ้าหากเรานึกขึ้นได้ว่า เคยทำกับใครไว้ในชาตินี้ ผู้ที่ถูกกระทำ ไม่จำเป็นว่า จะต้องเป็นใครอื่น แต่โดยมากแล้ว จะเป็นกรรม ที่เราเคยทำไว้กับพ่อแม่ รองลงมาก็จะเป็นแฟนเก่า คู่รักเก่า คนที่มาชอบเรา และคนอื่นๆ เมื่อคิดได้ ก็ให้รีบ ไปขออโหสิกรรม จากคนเหล่านั้น โดยเร็วที่สุด ตั้งสัจจะกับตนเอง อาจจะต่อหน้า คนที่เราเคยไปกระทำเขาไว้ หรือต่อหน้าพระพุทธรูปว่า เราจะไม่ทำกรรมอย่างนี้ กับใครอีก ไม่ว่า จะมีเหตุการณ์มาบีบบังคับ ลำบากเพียงใด แต่ถ้าเรา นึกเท่าไหร่ ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่า เคยไปทำอะไรแบบนี้ ไว้กับใครตอนไหน ในชาติปัจจุบัน ก็เป็นไปได้ว่า เป็นผลของกรรม ที่เราทำมา ในอดีตชาติ ก็ขอให้ ระลึกขออโหสิกรรม และตั้งใจอย่างเดียวกันว่า จะไม่ทำแบบนี้อีกเด็ดขาด

การตั้งใจ อันมีเจตนา และสัจจะอธิษฐาน ที่จะละเว้น การกระทำนี้ ก็คือ ศีล ซึ่งเป็นมโนกรรม ที่จะส่งผล ในการปกป้องความทุกข์ทางใจ เป็นอันดับแรก เพราะว่า ความตั้งใจทางมโนกรรมนั้น เป็นการกระทำ ด้วยเจตนาอย่างหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีผลตามมา และผลของกรรมนี้ ก็คือ ปราการป้องกันใจเรา จากความทุกข์ เพราะเราตั้งใจ ไม่ให้ผู้อื่น เป็นทุกข์เพราะเรา ยิ่งถ้าเราตั้งใจหนักแน่น มากขึ้นเท่าไหร่ ความหนักแน่น ในการปกป้องความทุกข์ ก็จะยิ่ง มั่นคงมากขึ้นตามไปด้วย และเมื่อเรามีศีล จิตใจของเรา ก็จะเริ่มสงบ จากอาการแส่ส่าย ร้อนรนเพราะความทุกข์ ความตั้งใจ ที่จะละเว้นนี้ จะส่งผลให้จิตเกิดความปกติ เกิดนิสัยที่จะสำรวม การกระทำทางกาย และค่อยๆ เคลื่อนมาที่ การสำรวจวาจา คำพูด และในที่สุดก็คือ ความคิด อันเป็นต้นเหตุ ว่าสิ่งใด นำไปสู่การละเมิดใจผู้อื่น เมื่อเราสำรวจบ่อยๆ เข้า และตัดออกไปมากเข้า ก็จะกลายเป็นเปลี่ยนนิสัย หรือลดกรรมส่วนนี้ได้ ซึ่งจะเป็นทางออกจริงๆ ที่จะทำให้เรา ออกจากความทุกข์ได้



เพราะฉะนั้นสาระสำคัญ ของการลดวิบากกรรมนั้น ก็คือ
๑. เข้าใจกฏแห่งกรรม

๒. ชำระหนี้เก่า ยอมรับสิ่งที่ได้เจอ สำนึกผิด และไปขออโหสิกรรม จากคนที่เราไปทำเขาไว้ รวมทั้งอโหสิกรรม ให้กับคนที่เคยทำกับเรา

๓. สร้างเหตุใหม่ที่ดี ตั้งใจว่า จะไม่ทำให้ใครเป็นทุกข์ แบบเดียวกับที่เรา มีความทุกข์อีก และเมื่อมีโอกาส ก็แนะนำช่วยคนอื่น ไม่ให้ทำผิดตามเรา ครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ 3 ประการ

บาปกรรมหนัก 3 ข้อ ของการเป็นชู้ คบชู้และนอกใจ

กรรมของคน ชอบใส่ร้ายป้ายสี และนินทาผู้อื่น

หนทาง 7 สาย กรรมดีกรรมชั่ว ชีวิตหลังความตาย

อาฆาตแรง ชอบด่าว่า สาปแช่งคนอื่น จะได้รับผลกรรมอะไร

พุทธประวัติ EP.4 การจุติจากดุสิตลงสู่ครรภ์ เกิดแสงสว่าง และแผ่นดินไหว เนื่องด้วยการจุติ

ผ้าเปลือกปอ (เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม)

พูดโกหก ชอบด่าว่า พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ กรรมหนักแค่ไหน

วันอาสาฬหบูชา มีความสำคัญอย่างไร

เปรตรับผลบุญได้ การสงเคราะห์ผู้ล่วงลับไปแล้ว