วิธีเอาชนะ ความทุกข์ แบบง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเอง
สวัสดีครับคุณผู้ชม คลิบนี้ผมมี คติธรรมและข้อคิด
เกี่ยวกับ วิธีเอาชนะความทุกข์ แบบง่ายๆ
ที่ทำได้ด้วยตัวเอง มาฝากครับ
ความทุกข์นั้น เกิดขึ้นได้หลากหลาย และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเรื่องชีวิต เรื่องทั่วไป หรือเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการงาน เรื่องการเงิน ก็ก่อให้เกิดความทุกข์ได้ หรือแม้แต่การที่เรา พยายามที่จะกำจัด หรือทำลายความทุกข์ บางครั้ง มันก็กลายเป็นตัวสร้างปัญหาใหม่ ขึ้นมาอีกด้วย คลิบนี้ผมจึงเอา คติธรรม และข้อคิด ของครูบาอาจารย์มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ในการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ที่คนเราจะไม่ชอบความทุกข์ และเมื่อไรที่มีความทุกข์ เราก็จะหาทางปลดปล่อยตัวเอง ให้พ้นจากความทุกข์ เพื่อทำให้มันไปให้พ้นๆ แต่ปัญหา ก็คือ บางคนนั้น เลือกที่จะแก้ไขความทุกข์ ด้วยแนวทางที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งการเอาชนะความทุกข์อย่างถูกต้องนั้น เราไม่ต้องใจร้อน ไม่ต้องรีบเร่งจนเกินไป เพราะฉะนั้น เราลองมาดูกับครับว่า แนวทาง ในการแก้ไขความทุกข์ ที่ไม่ถูกต้อง ที่เราอาจจะเคยทำไปแล้ว และไม่สามารถแก้ไข หรือดับความทุกข์ได้จริงๆ นั้น มีวิธีไหนบ้างที่เราไม่ควรทำ ครับ
๑. ใช้อารมณ์ในด้านลบ เชิงทำลายล้าง วิธีนี้เราคิดและหวังว่า มันจะทำให้ปัญหา ที่เกิดขึ้นยุติลง เช่น พอมีปัญหาเรื่องงาน หรือคนในครอบครัว มีเรื่องขัดแย้งกัน ก็คิดใช้กำลัง และดุด่าอีกฝ่าย โดยหวังว่า จะให้ฝ่ายตรงข้ามนั้น เกิดความกลัว แล้วเราจะได้เป็นฝ่ายชนะ และปัญหาที่เกิดขึ้นจะได้จบลง แต่โดยส่วนมากแล้ว การใช้อารมณ์ มักจะเป็นการยั่วยุให้อีกฝ่าย เกิดโทสะมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ปัญหายิ่งลุกลามใหญ่โต จนกลายเป็นการทะเลาะวิวาท แล้วทำร้ายร่างกายกัน สุดท้าย ก็เกิดการสูญเสีย และมีความทุกข์มากขึ้น
๒. ใช้อารมณ์ด้านลบ เพื่อแสดงความอ่อนแอ วิธีนี้มีหลายคน ที่เลือกใช้น้ำตา หรือความน่าสงสาร เป็นตัวช่วย เพื่อให้ปัญหาที่เกิดขึ้นบรรเทาลง เช่น พอตัวเองมีหนี้สิน ก็ใช้วิธี ทำให้เจ้าหนี้สงสาร เพื่อจะได้สามารถ ผัดผ่อนหนี้สินออกไป ซึ่งในบางครั้ง การทำเช่นนี้ ก็อาจจะยืดเวลา ในการชำระหนี้ออกไปได้ แต่ว่า หากเราเอาแต่ใช้วิธีนี้ จนติดเป็นนิสัย ตัวเราเอง ก็จะกลายเป็นคนหนีปัญหา ถึงแม้จะเอาตัวรอดได้ แต่ปัญหาที่แท้จริง ก็ยังอยู่ ซึ่งมันก็จะค่อยๆ สะสม จนขยายขนาด เป็นปัญหาใหญ่ได้ และความทุกข์ ที่มากกว่าเดิม ก็จะตรงมาหาเราในสักวันหนึ่ง
๓. ปรึกษาคนพาล แนะนำในทางที่ผิด การแก้ปัญหา โดยขอคำปรึกษาจากผู้อื่นนั้น อันที่จริงแล้ว ก็เป็นแนวทางที่ดี เพราะบางครั้ง เมื่อเราเจอกับความทุกข์ ก็จะไม่สามารถ เอาชนะปัญหา ได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง แต่ถ้าหากเรา ไปปรึกษากับคนพาล ที่พาลพาเรา ไปหาทางที่ผิด เช่น แนะนำให้เราโกง แนะนำให้เราใช้กำลัง หรือแนะนำเราให้เล่นไม่ซื่อ เป็นต้น แทนที่จะเป็นการแก้ปัญหา มันจะกลับ ทำให้เรา ต้องพบเจอกับความทุกข์ ที่มากทวีคูณ ขึ้นไปอีก
๔. เอาแต่คิด แต่ว่าไม่ลงมือทำ มีหลายคน ที่ชอบคิด หาแนวทางแก้ปัญหาทุกครั้ง รวมถึง มีความรู้เกี่ยวกับเหตุแห่งทุกข์ และแนวทางการดับทุกข์ แต่กลับไม่ลงมือทำ เอาแต่รีรอ หรือไม่ก็ ขาดความมั่นใจในตัวเอง จนในที่สุด ปัญหานั้น ก็ยังคงทำให้เราทุกข์ อย่างต่อเนื่อง ต่อไปอีก เช่นเดิม
๕.ลงมือแก้ปัญหา อย่างงูๆ ปลาๆ หลายๆ คน ที่พร้อมลงมือแก้ปัญหา แต่ว่า เป็นในเชิงทำก่อนคิด ไม่มีความรู้ หรือทักษะไม่เพียงพอ ที่จะจัดการ กับความทุกข์อย่างถูกต้อง
๖.เอาแต่คิดว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ หลายๆ คนชอบใช้วิธีนี้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหา ที่ไม่ได้ช่วยให้ จบปัญหาแต่อย่างใด เพราะเป็นการ คิดหมกมุ่นย้อนไปที่อดีต คือคิดแต่ว่า ถ้าเราไม่ทำเช่นนั้นคงจะดี หรือถ้าไม่ทำเช่นนี้ ก็คงจะสบายไปแล้ว เป็นต้น
๗.การโทษคนอื่น นี่คือที่สุด แห่งการแก้ปัญหา หรือแก้ไขความทุกข์ที่ผิดวิธี เพราะการโทษคนอื่น สำหรับความทุกข์ที่เกิดกับเรา ซึ่งแม้เหตุแห่งความทุกข์ของเรา จะเกิดเพราะความผิด ของคนอื่นจริงๆ ก็ตาม แต่นาทีนั้น ความทุกข์ ได้มาอยู่ประจำกับเรา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคนๆ เดียว ที่จะทำให้ความทุกข์ของเรา หายไปได้ ก็คือ ตัวเราเองเท่านั้น การโทษคนอื่น ไม่ได้ทำให้ปัญหานั้นหายไป แต่การรับผิดชอบ ผลแห่งทุกข์ ที่เกิดขึ้นกับเราแล้วต่างหาก ถึงจะนำพาเรา ไปสู่ทางออกจากความทุกข์ได้จริง
แนวทาง ของพุทธศาสนานั้น ไม่ว่าจะทำอะไร เราก็จะต้องไตร่ตรอง ใช้สติเป็นตัวนำทางเสมอ ดำรงชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท ซึ่งก็เป็นแนวทางที่สอดคล้อง กับทฤษฎีทางจิตวิทยาของชาติตะวันตก ที่เน้นย้ำเสมอว่า ก่อนจะลงมือทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การใช้ชีวิต การเอาชนะปัญหา หรือการเริ่มต้นสิ่งใหม่ เราก็ต้องมีการคิดก่อนทำ เพื่อจะได้ลงมือทำ ให้เกิดผล อันเป็นคุณประโยชน์ต่อตัวเรา
และการเอาชนะความทุกข์ อย่างถูกต้องนั้น เราก็ไม่ต้องใจร้อน ไม่ต้องรีบเร่งจนเกินไป จงเตือนสติตนเอง ด้วยหลักแห่งการเดินทางสายกลาง ซึ่งจะสอนให้เรา ทำอะไรอย่างพอเหมาะ ไม่ต้องเร็วเกินไป เพียงแค่ใช้สติค่อยๆ ตรึกตรอง ขอแค่เราใช้สติ ปัญญา สัมปชัญญะ เป็นเครื่องนำทางแล้ว ทางออกของปัญหาต่างๆ ก็จะปรากฏได้ ในเวลาที่เหมาะสม ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความทุกข์นั้น เกิดขึ้นได้หลากหลาย และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเรื่องชีวิต เรื่องทั่วไป หรือเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการงาน เรื่องการเงิน ก็ก่อให้เกิดความทุกข์ได้ หรือแม้แต่การที่เรา พยายามที่จะกำจัด หรือทำลายความทุกข์ บางครั้ง มันก็กลายเป็นตัวสร้างปัญหาใหม่ ขึ้นมาอีกด้วย คลิบนี้ผมจึงเอา คติธรรม และข้อคิด ของครูบาอาจารย์มาให้รับชม เผื่อจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อคิดให้กับทุกท่าน ในการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ที่คนเราจะไม่ชอบความทุกข์ และเมื่อไรที่มีความทุกข์ เราก็จะหาทางปลดปล่อยตัวเอง ให้พ้นจากความทุกข์ เพื่อทำให้มันไปให้พ้นๆ แต่ปัญหา ก็คือ บางคนนั้น เลือกที่จะแก้ไขความทุกข์ ด้วยแนวทางที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งการเอาชนะความทุกข์อย่างถูกต้องนั้น เราไม่ต้องใจร้อน ไม่ต้องรีบเร่งจนเกินไป เพราะฉะนั้น เราลองมาดูกับครับว่า แนวทาง ในการแก้ไขความทุกข์ ที่ไม่ถูกต้อง ที่เราอาจจะเคยทำไปแล้ว และไม่สามารถแก้ไข หรือดับความทุกข์ได้จริงๆ นั้น มีวิธีไหนบ้างที่เราไม่ควรทำ ครับ
๑. ใช้อารมณ์ในด้านลบ เชิงทำลายล้าง วิธีนี้เราคิดและหวังว่า มันจะทำให้ปัญหา ที่เกิดขึ้นยุติลง เช่น พอมีปัญหาเรื่องงาน หรือคนในครอบครัว มีเรื่องขัดแย้งกัน ก็คิดใช้กำลัง และดุด่าอีกฝ่าย โดยหวังว่า จะให้ฝ่ายตรงข้ามนั้น เกิดความกลัว แล้วเราจะได้เป็นฝ่ายชนะ และปัญหาที่เกิดขึ้นจะได้จบลง แต่โดยส่วนมากแล้ว การใช้อารมณ์ มักจะเป็นการยั่วยุให้อีกฝ่าย เกิดโทสะมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ปัญหายิ่งลุกลามใหญ่โต จนกลายเป็นการทะเลาะวิวาท แล้วทำร้ายร่างกายกัน สุดท้าย ก็เกิดการสูญเสีย และมีความทุกข์มากขึ้น
๒. ใช้อารมณ์ด้านลบ เพื่อแสดงความอ่อนแอ วิธีนี้มีหลายคน ที่เลือกใช้น้ำตา หรือความน่าสงสาร เป็นตัวช่วย เพื่อให้ปัญหาที่เกิดขึ้นบรรเทาลง เช่น พอตัวเองมีหนี้สิน ก็ใช้วิธี ทำให้เจ้าหนี้สงสาร เพื่อจะได้สามารถ ผัดผ่อนหนี้สินออกไป ซึ่งในบางครั้ง การทำเช่นนี้ ก็อาจจะยืดเวลา ในการชำระหนี้ออกไปได้ แต่ว่า หากเราเอาแต่ใช้วิธีนี้ จนติดเป็นนิสัย ตัวเราเอง ก็จะกลายเป็นคนหนีปัญหา ถึงแม้จะเอาตัวรอดได้ แต่ปัญหาที่แท้จริง ก็ยังอยู่ ซึ่งมันก็จะค่อยๆ สะสม จนขยายขนาด เป็นปัญหาใหญ่ได้ และความทุกข์ ที่มากกว่าเดิม ก็จะตรงมาหาเราในสักวันหนึ่ง
๓. ปรึกษาคนพาล แนะนำในทางที่ผิด การแก้ปัญหา โดยขอคำปรึกษาจากผู้อื่นนั้น อันที่จริงแล้ว ก็เป็นแนวทางที่ดี เพราะบางครั้ง เมื่อเราเจอกับความทุกข์ ก็จะไม่สามารถ เอาชนะปัญหา ได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง แต่ถ้าหากเรา ไปปรึกษากับคนพาล ที่พาลพาเรา ไปหาทางที่ผิด เช่น แนะนำให้เราโกง แนะนำให้เราใช้กำลัง หรือแนะนำเราให้เล่นไม่ซื่อ เป็นต้น แทนที่จะเป็นการแก้ปัญหา มันจะกลับ ทำให้เรา ต้องพบเจอกับความทุกข์ ที่มากทวีคูณ ขึ้นไปอีก
๔. เอาแต่คิด แต่ว่าไม่ลงมือทำ มีหลายคน ที่ชอบคิด หาแนวทางแก้ปัญหาทุกครั้ง รวมถึง มีความรู้เกี่ยวกับเหตุแห่งทุกข์ และแนวทางการดับทุกข์ แต่กลับไม่ลงมือทำ เอาแต่รีรอ หรือไม่ก็ ขาดความมั่นใจในตัวเอง จนในที่สุด ปัญหานั้น ก็ยังคงทำให้เราทุกข์ อย่างต่อเนื่อง ต่อไปอีก เช่นเดิม
๕.ลงมือแก้ปัญหา อย่างงูๆ ปลาๆ หลายๆ คน ที่พร้อมลงมือแก้ปัญหา แต่ว่า เป็นในเชิงทำก่อนคิด ไม่มีความรู้ หรือทักษะไม่เพียงพอ ที่จะจัดการ กับความทุกข์อย่างถูกต้อง
๖.เอาแต่คิดว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ หลายๆ คนชอบใช้วิธีนี้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหา ที่ไม่ได้ช่วยให้ จบปัญหาแต่อย่างใด เพราะเป็นการ คิดหมกมุ่นย้อนไปที่อดีต คือคิดแต่ว่า ถ้าเราไม่ทำเช่นนั้นคงจะดี หรือถ้าไม่ทำเช่นนี้ ก็คงจะสบายไปแล้ว เป็นต้น
๗.การโทษคนอื่น นี่คือที่สุด แห่งการแก้ปัญหา หรือแก้ไขความทุกข์ที่ผิดวิธี เพราะการโทษคนอื่น สำหรับความทุกข์ที่เกิดกับเรา ซึ่งแม้เหตุแห่งความทุกข์ของเรา จะเกิดเพราะความผิด ของคนอื่นจริงๆ ก็ตาม แต่นาทีนั้น ความทุกข์ ได้มาอยู่ประจำกับเรา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคนๆ เดียว ที่จะทำให้ความทุกข์ของเรา หายไปได้ ก็คือ ตัวเราเองเท่านั้น การโทษคนอื่น ไม่ได้ทำให้ปัญหานั้นหายไป แต่การรับผิดชอบ ผลแห่งทุกข์ ที่เกิดขึ้นกับเราแล้วต่างหาก ถึงจะนำพาเรา ไปสู่ทางออกจากความทุกข์ได้จริง
แนวทาง ของพุทธศาสนานั้น ไม่ว่าจะทำอะไร เราก็จะต้องไตร่ตรอง ใช้สติเป็นตัวนำทางเสมอ ดำรงชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท ซึ่งก็เป็นแนวทางที่สอดคล้อง กับทฤษฎีทางจิตวิทยาของชาติตะวันตก ที่เน้นย้ำเสมอว่า ก่อนจะลงมือทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การใช้ชีวิต การเอาชนะปัญหา หรือการเริ่มต้นสิ่งใหม่ เราก็ต้องมีการคิดก่อนทำ เพื่อจะได้ลงมือทำ ให้เกิดผล อันเป็นคุณประโยชน์ต่อตัวเรา
และการเอาชนะความทุกข์ อย่างถูกต้องนั้น เราก็ไม่ต้องใจร้อน ไม่ต้องรีบเร่งจนเกินไป จงเตือนสติตนเอง ด้วยหลักแห่งการเดินทางสายกลาง ซึ่งจะสอนให้เรา ทำอะไรอย่างพอเหมาะ ไม่ต้องเร็วเกินไป เพียงแค่ใช้สติค่อยๆ ตรึกตรอง ขอแค่เราใช้สติ ปัญญา สัมปชัญญะ เป็นเครื่องนำทางแล้ว ทางออกของปัญหาต่างๆ ก็จะปรากฏได้ ในเวลาที่เหมาะสม ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น